Monday 13 August 2007

กบฏดินปืนและแผนทำลายล้างฉันว่าไม่มีเหตุผลใด

จำเอาไว้ จงจำเอาไว้ วันที่ 5 พฤศจิกายน กบฏดินปืนและแผนทำลายล้างฉันว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เราลืมเลือนกบฏดินปืนได้ลงเดินเรื่องท่ามกลางภูมิทัศน์แห่งอนาคตของอังกฤษที่ปกครองด้วยระบบเผด็จการ V For Vendetta บอกเล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวชนชั้นกรรมาชีพที่มีนามว่าอีวี่ย์ ซึ่งได้รับการช่วยชีวิตจากสถานการณ์ความเป็นความตายโดยชายในหน้ากาก ที่รู้จักกันเพียงในนาม “วี.” เขานั้นมีความซับซ้อน และเต็มไปด้วยเสน่ห์ วีนั้นเป็นผู้รู้ มีความร่าเริงหรูหราอ่อนโยนและฉลาดเป็นกรด เขาเป็นผู้ชายที่มอบชีวิตไว้กับการปลดปล่อยประชาชนร่วมชาติจากพวกที่กดขี่พวกเขาให้ยอมทำตาม เขายังเป็นคนที่ขมขื่น แสวงหาการแก้แค้น เดียวดายและรุนแรงซึ่งมาจากแรงผลักดันของความอาฆาตส่วนตัวในความมุ่งหมายที่จะปลดปล่อยประชากรชาวอังกฤษจากการฉ้อราษฎร์โกงกินและความโหดร้ายที่กักขังรัฐบาลของพวกเขาเอาไว้ วีนั้นได้ตัดสินบรรดาผู้นำที่มีธรรมชาติของความคดโกงและเชื้อเชิญเพื่อนร่วมชาติให้ร่วมกับเขาเพื่ออยู่ภายใต้เงาของอาคารรัฐสภาในวันที่ 5 พฤศจิกายน – ซึ่งเป็นวัน กาย ฟอคซ์ เดย์ในวันนั้นของปี 1605 กาย ฟอคซ์ ถูกพบตัวในอุโมงค์ที่อยู่ใต้อาคารรัฐสภาพร้อมกับดินปืนถึง 36 ถัง เขาและผู้สมรู้ร่วมคิดได้ร่วมกันคิดแผนการกบฎ ที่เรียกว่า “แผนการดินปืน” เพื่อที่จะตอบแทนการโกงกินของรัฐบาลที่มีผู้นำคือ พระเจ้าเจมส์ที่ 1 ฟอคซ์ และผู้สมรู้ร่วมคิดถูกแขวนคอ ฉีกแขนขาและแผนการที่จะล้มล้างรัฐบาลนั้นไม่เป็นผลเพื่อเป็นการระลึกถึงการกบฎของพวกเขาและเหตุการณ์ในวันนั้น วีได้สาบานที่จะสานต่อแผนการที่ฟอคซ์ถูกประหารเพราะความพยายามของเขาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605 : เขาจะระเบิดอาคารรัฐสภาเมื่ออีวี่ย์ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับภูมิหลังที่ลึกลับของวี เธอยังได้พบความจริงเกี่ยวกับตนเองอีกด้วย – และกลายมาเป็นสหายที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ของเขาในการบรรลุถึงแผนการณ์ที่จะนำมาซึ่งอิสรภาพและความยุติธรรม สู่สังคมที่ถูกครอบงำไปด้วยความโหดเหี้ยมและคอรัปชั่นวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ, ร่วมกับ Virtual Studios, ผลงานสร้างของ Silver Pictures ที่ร่วมกับ Anarchos Productions Inc., นาตาลี พอร์ตแมน ใน V For Vendetta, ร่วมแสดงโดย ฮิวโก้ วีฟวิ่ง, สตีเฟน รี และจอห์น เฮิร์ท กำกับการแสดงโดย เจมส์ แมคเทียค, อำนวยการสร้างโดย โจเอล ซิลเวอร์, แกรนท์ ฮิล, แอนดี้วาโชสกี้ และ แลรี่ วาโชสกี้ จากบทภาพยนตร์โดย พี่น้องวาโชสกี้, เค้าโครงเรื่องจากตัวละครในนิยายกราฟฟิคโดย เดวิด ลอยด์ ซึ่งพิมพ์จำหน่ายโดย VERTIGO ผู้อำนวยการบริหาร เบนจามิน ไวส์เบรน, ผู้กำกับภาพ เอเดรียน บิดเดิล, B.S.C.; ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ โอเวน แพทเทอสัน; ผู้ลำดับภาพ มาร์ติน วอลช์, A.C.E.; และผู้ประพันธ์เพลงประกอบ แดริโอ มาริอาเนลลี่ V For Vendetta เป็นผลงานสร้างร่วมกันของอังกฤษ-เยอรมันV For Vendetta จัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ Vforvendettamovie.co.uk ความเป็นมาผู้กำกับการแสดง เจมส์ แมคเทียค ได้อธิบายภาพยนตร์เรื่อง V for Vendetta, ว่าในความเป็นที่สุดมันเป็นภาพยนตร์แนวตื่นเต้นทางการเมือง ด้วยความมืดหม่นและตัวละครที่หลากหลายเป็นศูนย์กลาง “ในอีกด้านหนึ่งนั้น วีเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นโดยมีความเชื่อว่าตัวเขานั้นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ทางสังคม แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น เขามีความอาฆาตพยาบาทกับใครก็ตามที่ทำผิดต่อเขา” ในขณะที่เตรียมความพร้อมในเรื่อง V for Vendetta, แมคเทียคนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากเจ้าของภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยเรื่องหลัก ๆ เหล่านั้นคือภาพยนตร์ในช่วงปี 1965 เรื่อง The Battle of Algier, ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สมจริงสมจังของการปฏิวัติของชาวอัลจีเรียต่อประเทศฝรั่งเศส โดยสู้รบกันตั้งแต่ปี 1954 ถึงปี 1962 เช่นเดียวกับภาพยนตร์ของ สแตนลี่ย์ คูบริค เรื่อง A Clockwork Orange, ภาพยนตร์ของ จอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984, ภาพยนตร์ของ เรย์ แบรดเบอร์รี่ เรื่อง Fahrenheit 451, หรือภาพยนตร์ของ ลินเซย์ แอนเดอร์สัน เรื่อง If… เรื่อง V for Vendetta นั้นตักเตือนถึงภยันตรายของการทุจริต, การใช้อำนาจครอบงำ, การยักย้ายถ่ายเท และการปราบปราม ในขณะเดียวกันก็นำเสนอภัยอันน่ากลัวของความรุนแรง - ไม่ว่าจากการที่กำลังของราชการนั้นถูกลุกล้ำหรือการที่มีใครสักคนถือกฎหมายเอาไว้ในอุ้งมือ “ภาพยนตร์เรื่อง V For Vendetta นี้เป็นภายนตร์ที่มีความซับซ้อน” โจเอล ซิลเวอร์ ผู้อำนวยการสร้างกล่าว เขานั้นมีประสบการณ์อันยาวนานและน่าประทับใจในวงการบันเทิง อย่างเช่น ภาพยนตร์ไตรภาคที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายเรื่อง Matrix และ ภาพยนตร์ซีรี่ส์แนวกึ่งแอ๊คชั่นอย่างเช่นเรื่อง Lethal Weapon, Die Hard และ Predator “มันเป็นภาพยนตร์ที่มีฉากบู๊ที่น่าตื่นเต้น หรือว่าผู้ชมอาจจะลงลึกไปในรายละเอียดของเรื่องราวที่ซับซ้อนรวมทั้งความคิดที่นำเสนอเกี่ยวกับความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลในอำนาจที่พวกเขาให้ความไว้วางใจกับรัฐบาลของพวกเขา และหนทางใดที่จะเป็นทางที่สำคัญและยอมรับได้ในการทำให้พวกทรราชย์ได้พบจุดจบ มันจะเป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดการตั้งปัญหามากมาย แต่คำตอบที่มีให้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย” ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเค้าโครงเรื่องมาจากนิยายกราฟฟิคที่มีชื่อเดียวกันคือเรื่อง V For Vendetta ซึ่งได้เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกใน Warrior หนังสือการ์ตูนรายเดือนอิสระในปี 1981 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ร่วมสร้างสรรค์ขึ้นมาโดย อลัน มัวร์ และ เดวิด ลอยด์ โดยได้ตีพิมพ์ถึง 26 เล่มก่อนที่หนังสือจะปิดตัวลง ทำให้บรรดาแฟน ๆ ฝันค้างไปแค่ครึ่งเรื่อง หลังจากว่างเว้นไปนานถึง 5 ปีเต็ม มัวร์และลอยด์ก็ได้เขียน V For Vendetta จนสำเร็จในปี 1989 โดยเขียนให้กับ DC และเมื่อมันก็ได้ออกตีพิมพ์ตลอดทั้งเรื่องในฐานะนิยายกราฟฟิค V For Vendetta เดินเรื่องค่อนไปในอนาคต ซึ่งกรุงลอนดอนตอนนั้นยังคงเป็นที่ยอมรับอย่างมากมาย ผู้สร้างสรรค์ มัวร์ และ ลอยด์นั้นได้รับอิทธิพลมากจากช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นั่น “ความรู้สึกของพวกเราเกี่ยวกับรัฐบาลที่แสนจะอนุรักษ์นิยมของ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์นั้นเป็นส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เราเขียนเกี่ยวกับตำรวจอังกฤษจอมเผด็จการในเรื่อง Vendetta” ลอยด์อธิบาย “ความเสื่อมทรามของระบบนี้เป็นเหตุผลเริ่มแรกของการที่ความเป็น วี นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมา” โดยหัวข้อหลัก ๆ แล้วเรื่องราวของมัวร์และลอยด์เป็นการนำเสนอเกี่ยวกับการเมืองและเจตนารมณ์ทางจริยธรรมของโลกที่กำลังเป็นไปในยุคปัจจุบัน “สิ่งหลัก ๆ ที่ต้องการจะสื่อตั้งแต่ดั้งเดิมก็คือทุกคนนั้นมีสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิเสรีภาพ – รวมทั้งหน้าที่ – ที่จะปฏิเสธการถูกบังคับกดขี่ให้ยอมทำตาม” ลอยด์ให้ความเห็น “วีนั้นปฏิเสธโดยการโจมตีผู้สถาปนารัฐบาลโดยตรงและเข่นฆ่าพวกที่สนับสนุนระบอบนี้ เพราะงั้นมันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างพวกทรราชย์ที่เลวร้ายแต่มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการก่อการร้ายและพวกผู้ก่อการร้ายนั้นจะได้รับการอ้างเหตุอ้างผลว่าเป็นอย่างไร - และนั่นเป็นอะไรที่พวกเราต้องพยายามทำความเข้าใจถ้าพวกเรามีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้” แอนดี้และลาร์รี่ วาโชสกี้ นักเขียน/ผู้กำกับการแสดงอันเลื่องชื่อ เป็นต้นคิดที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ไตรภาคที่เกี่ยวกับการปฏิวัติเรื่อง Matrix, เป็นแฟนตัวยงของงานดั้งเดิมที่เป็นของมัวร์และลอยด์ และเป็นครั้งแรกที่เขียนบทภาพยนตร์ดัดแปลงของนิยายทางกราฟฟิคในช่วงกลางของปี 1990 ก่อนที่จะเริ่มงานโปรเจ็คที่ยิ่งใหญ่มหึมาของการถ่ายทำภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง Matrix ในช่วงระหว่างเก็บงานหลังการถ่ายทำ ในภาค 2 และ ภาค 3 ของ The Matrix พี่น้องวาโชสกี้ได้กลับไปอ่านบทภาพยนตร์ของ Vendetta และได้นำเสนอมันให้กับผู้ช่วยผู้กำกับฯ 1 ของพวกเขาคือ เจมส์ แมคเทียค ซึ่งเคยได้ร่วมงานกับพวกเขามาแล้วจากภาพยนตร์ Matrix ทั้งสามภาค แมคเทียคนั้นกำลังกำกับการแสดงภาพยนตร์โฆษณาอยู่หลายเรื่องในตอนนั้นและกำลังหาช่องทางที่จะเบนเข็มมาสู่ภาพยนตร์ทางจอเงิน “พวกเรากำลังอยู่ในช่วงระหว่างเก็บงานหลังการถ่ายทำ Revolutions เมื่อตอนที่แอนดี้และลาร์รี่เอาสำเนาของเรื่อง V For Vendetta มาให้ผม” แมคเทียคเล่า เขาตื่นเต้นและประทับใจในหัวข้อของความเป็นนิยายกราฟฟิค แมคเทียคได้แบ่งปันความคิดเห็นกับพี่น้องวาโชสกี้ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องราวทางการเมืองในปัจจุบัน “พวกเรามีความรู้สึกว่านิยายนั้นเป็นการบรรยายเกี่ยวกับบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบัน มันแสดงให้เห็นอย่างจริงจังว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าสังคมนั้นถูกปกครองโดยรัฐบาลที่ไม่ได้ดำเนินงานโดยฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ผมคิดว่ามันไม่ใช่การก้าวกระโดดที่ไปได้ไกลที่มันอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าท่านผู้นำหยุดที่จะฟังความคิดความเห็นจากประชาชน”ในตอนนี้ พี่น้องวาโชสกี้กำลังจะไปถึงตอนจบของเรื่องราวอันยาวนานถึง 10 ปีของภาพยนตร์เรื่อง Matrix และยังไม่ได้เตรียมตัวกับการที่จะต้องกลับไปรับงานกำกับการแสดงในทันที โดยที่แมคเทียคได้อธิบายว่า “เวลาสิบปีนั้นยาวนานกับการที่เราจะใช้เวลากับอะไรสักอย่างหนึ่ง และการทำหนังนั้นเอาเวลาของเราไปหมด ผมคิดว่าแอนดี้และ ลาร์รี่นั้นต้องการทำหนังให้เสร็จในตอนนี้ แต่ต้องการที่จะนั่งทำงานอยู่เบื้องหลังไปสักพักหนึ่งก่อน” และเมื่อพี่น้องวาโชสกี้และผู้อำนวยการสร้าง โจเอล ซิลเวอร์ได้เสนอโอกาสให้ผู้ร่วมงานมายาวนานได้กำกับฯเรื่อง V For Vendetta โดยรายล้อมไปด้วยผู้ร่วมงานหลัก ๆ ของพี่น้องวาโชสกี้อาทิ ผู้อำนวยการสร้าง แกรนท์ ฮิลล์, ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ โอเวน แพทเทอสัน, หัวหน้าฝ่ายวิช่วล เอฟเฟค แดน กลาส และผู้ประสานงานด้านสตั๊นท์ แชด สตาเฮลสกี้, รวมทั้งพี่น้องทั้งสองได้ร่วมงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบท เมื่อกลับมาที่บทภาพยนตร์ พี่น้องวาโชวสกี้ได้กลับไปอ่านร่างต้นฉบับเพื่อที่จะเขียนมันขึ้นมาใหม่ แมคเทียคเล่าให้ฟังว่า “ตอนดั้งเดิมที่พวกเขาเขียนขึ้นมานั้นเป็นการดัดแปลงที่ดีทีเดียว แต่มันเกือบจะเหมือนเป็นการเล่าปากต่อปากของนิยายกราฟฟิค พวกเรามาคิดกันว่ามันคงจะดีถ้าเรานำเสนอเรื่องราวให้เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวในอนาคต โดยใช้เวลาในช่วงระหว่างปี 1990 และนำเสนอเวลาปัจจุบันและช่วงเวลาในอนาคตราว ๆ ปี 2020” อีกส่วนหนึ่งของการปรับแต่งจากเรื่องราวของมัวร์และลอยด์นั้นคือการเปลี่ยนเบื้องหลังของ อีวี่ย์และทำให้เธอมีอายุมากกว่าในนิยายดั้งเดิม “นิยายกราฟฟิคนั้นค่อนข้างกว้างและมีตัวละครอยู่มากมาย” แมคเทียคชี้ให้เห็น “โดยตัวละครบางตัวนั้นต้องถูกรวบรวมและเอาออกไปเสียบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเราต้องแน่ใจว่าพวกเรานั้นยังอิงอยู่กับหัวข้อหลักและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเรื่องที่เป็นนิยายกราฟฟิค” ขั้นตอนการดัดแปลงนิยายนั้นเพื่อการที่จะนำมาทำเป็นภาพยนตร์ซึ่งลอยด์และมัวร์นั้นได้สร้างสรรค์นิยายดั้งเดิมทำได้ง่ายกว่า ด้วยความคิดในช่องลูกโป่งจะแทนคำอธิบายภาพและส่วนที่อยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจะกลายเป็นหน้าต่อหน้า ลอยด์มีความรู้สึกว่าการดัดแปลงบทภาพยนตร์ของวาโชสกี้นั้นเป็นตัวแทนที่ดีของรูปแบบดั้งเดิม “ผมไม่เคยมีความคิดว่าถ้อยคำในเรื่อง Vendetta นี้เป็นเพียงแค่การ์ตูน” เขาเล่า “ผมจะคิดว่ามันเป็นความคิดหนึ่งที่สามารถจะเปลี่ยนรูปแบบไปสู่สื่อสิ่งอื่นได้อยู่เสมอ ในงานของผมหลายอย่าง ความคาดหวังและความต้องการก็คือความเป็นจิตวิญญาณและหลักการยังคงอยู่รวมทั้งสิ่งหลักที่ต้องการนำเสนอนั้นด้วย”ทีมงานแสดงยังใจแข็งว่าเรื่องราวอันลึกลับของ วี นั้นยังคงอยู่อย่างไม่บุบสลายแล้วด้วยความเคารพในนิยายของมัวร์และลอยด์ซึ่งตัวละครที่เป็นตัวหลักคือ วี ที่มีใบหน้าที่เสียโฉมจากไฟเผานั้นยังคงบดบังอยู่หลังหน้ากากของ กาย ฟอคซ์ อีกตำนานหนึ่งของนักก่อวินาศกรรมผู้เข้ามาทำให้ความรุนแรงอันยาวนานที่เกิดขึ้นเมื่อ 400 ปีที่แล้วนั้นจบสิ้นลง ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 1605 ฟอคซ์ถูกจับกุมได้ภายในบริเวณใต้ตึกรัฐสภาพร้อมกับดินปืนถึง 36 ถังที่ซ่อนอยู่หลังท่อนเหล็กและท่อนฟืน และเมื่อเขาถูกทรมานเขาก็สารภาพถึงแผนการที่จะระเบิดรัฐสภาอังกฤษและพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ในวันที่พระเจ้าเจมส์จะทำการเปิดประชุมสภา ฟอคซ์เป็นหนึ่งในบรรดาชาวคาทอลิค 13 คนที่หัวรุนแรงและมุ่งหวังที่จะจบการรุกรานของพระเจ้าเจมส์ที่มีต่อชาวอังกฤษที่เป็นคาทอลิค ความตั้งใจของเขาคือการสร้างการจลาจลและก่อความไม่สงบภายในประเทศ ด้วยความหวังว่าราชวงศ์ใหม่และระบอบการปกครองใหม่ที่เห็นใจชาวคาทอลิคจะปรากฏออกมา เขาเป็นทหารผ่านศึก ฟอคซ์มีความชำนาญอย่างสูงเกี่ยวกับดินปืนและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนร้ายของกลุ่ม ห้องใต้ดินใต้ตึกรัฐสภานั้นถูกยึดโดยกลุ่มกบฏ เป็นที่ ๆ พวกเขาใช้เก็บวัตถุระเบิดเพื่อรอคอยการเปิดประชุมรัฐสภา อย่างไรก็ตามมีผู้สมคบมากมายได้ถูกชักชวนให้เข้าร่วมแผนการร้าย ความลับเป็นเรื่องที่อันตรายและจดหมายนิรนามได้ถูกส่งถึงลอร์ด มองตีเกิ้ล, ชาวคาทอลิค, เพื่อเตือนให้เขาอยู่ห่าง ๆ จากการเปิดประชุมรัฐสภา นำไปสู่การสิ้นสุดของแผนการ ในคืนวันที่ 4 พฤศจิกายน ฟอคซ์ก็ถูกจับในห้องใต้ดิน และถูกนำไปถวายกับกษัตริย์ ต้องตกอยู่ในการทรมานแสนสาหัส เขาจึงยอมเปิดปากรับสารภาพแผนการทั้งหมดออกมา ฟอคซ์และสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มถูกแขวนคอประจาน โดนลากและตัดแขนตัดขาซึ่งเป็นธรรมเนียมที่กระทำต่อผู้ทรยศในสมัยนั้น ในวันที่ 5 พฤศจิกายนของทุกปีทั่วทั้งประเทศอังกฤษ จะมีการสุมกองไฟให้โชติช่วงและจุดดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแผนการของฟอคซ์ที่จะล้มล้างพระมหากษัตริย์และรัฐบาล หน้ากากของฟอคซ์นั้นขายดีไปทั่วประเทศและรูปจำลองของผู้คบคิดหรือพวก “กายส์” นั้นจะถูกเผาไฟ เมื่ออลัน มัวร์และเดวิด ลอยด์ต้องนึกคิดถึงลักษณะของ วี ตั้งแต่เริ่มแรกสำหรับนิยายกราฟฟิคเรื่อง V for Vendetta ของพวกเขา กาย ฟอคซ์เป็นแรงบันดาลใจสำหรับเนื้อหาของการ์ตูนที่เกี่ยวกับการเมืองนี้ เช่นเดียวกับฟอคซ์ วี มีความมุ่งหวังที่จะสร้างความวุ่นวายยุ่งเหยิงจากระบอบลับ ๆ ของประเทศ “กาย ฟอคซ์เป็นพวกต้องการล้มล้างการปกครองพวกแรกๆ” ลอยด์กล่าว “เขาดูเหมือนว่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่เหมาะเหม็งสำหรับความเป็น วี” มันยังมีปัญหาที่ยุ่งเหยิงทางด้านการละครสำหรับ วี ที่ต้องใช้หน้ากากของกายฟอคซ์ “หน้ากากของกาย ฟอคซ์นั้นจะให้ความรู้สึกที่น่าขนลุกเพราะรอยยิ้ม” ลอยด์ให้ข้อสังเกตุ “มันทำให้ตัวละครดูประหลาดและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน – สิ่งสุดท้ายที่คุณหวังจะได้เห็นจากคนที่จะมาฆ่าคุณนั่นคือรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของพวกเขา” ในภาพยนตร์เรื่อง V For Vendetta นี้ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มประหลาดนั้นคือนักแสดงที่มีความหลากหลายด้านความสามารถอย่าง ฮิวโก้ วีฟวิ่ง ที่เป็นนักแสดงอาชีพที่ประทับใจและมีความหลากหลาย อย่างเช่น การรับบทนำเป็นจอมโหด นักสืบสมิธใน The Matrix ทั้งสามภาคและรับบทเป็น แอลรอนด์ในทั้งสามภาคของ The Lord of the Rings รวมทั้งภาพยนตร์แนวอินดี้เขย่าอารมณ์เรื่อง The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert และเรื่อง Proof “วี นั้นต้องการจะสานต่อจากสิ่งที่กาย ฟอคซ์และพรรคพวกที่วางแผนในวันที่ 5 พฤศจิกายนไม่สามารถทำให้สำเร็จ” วีฟวิ่งเล่า “เขาต้องการจะระเบิดอาคารรัฐสภาเพราะเขาเชื่อเหมือนที่พวกเขาเชื่อกันว่าพวกเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกทรราชย์” วี นั้นมองตัวเองว่าเป็นเวรกรรมที่ต้องทำลายระบบที่เขามองว่ามันเป็นความโหดร้ายและอยุติธรรม “ความต้องการลึกๆของเขาเพื่อที่จะรับใช้ด้านดีก็คือการดิ้นไม่หลุดกับความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะแก้แค้นของเขา” ซิลเวอร์กล่าว ในท่ามกลางความต้องการเพื่อปลดปล่อยประเทศอังกฤษจากผู้นำเผด็จการ วี ต้องทำเรื่องที่เป็นงานส่วนตัวเพื่อสนองความแค้นกับบรรดาพวกที่จับเขาเข้าคุกหรือเคยทรมานเขา และในการทำเช่นนี้มันเป็นการสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมา ทีละเล็กละน้อยเขาค่อย ๆ เก็บพวกศัตรู โดยเว้นไว้แต่เพียง ไวโอเล็ต คาร์สัน ที่โผล่ขึ้นมาเหมือนเป็นไพ่ที่เขาจั่วขึ้นมาในการฆ่าแต่ละครั้ง ด้วยความรู้สึกว่าเขากระทำความผิดอย่างลึกล้ำ และเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นด้วยความพยาบาทส่วนตัวที่ขมขื่น วี นั้นต่อสู้ด้วยความโกรธเกรี้ยวเพื่อศักดิ์ศรีและอิสรภาพในพวกเผด็จการชาวอังกฤษ สิ่งนี้เป็นความฉลาดหลักแหลมอย่างไร้มารยา ความรู้สึกปราศจากความหวาดกลัว ความกล้าหาญ และความสามารถสำหรับความรุนแรงและความรู้สึกของการเสียสติ “เขาเป็นผู้ชายที่มีความซับซ้อนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างมาก” วีฟวิ่งกล่าว “เขาถูกจับขังคุก ถูกทรมาน ทางสมองรวมทั้งถูกล่วงละเมิดทางร่างกาย เหล่านี้แหละที่สร้างเทวดาพยาบาทขึ้นมา ถ้าคุณจะชอบแบบนั้น เขาเป็นนักฆ่า แต่ก็ยังเป็นผู้มีวัฒนธรรมและชายที่ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีผู้ซึ่งมีความเชื่ออย่างฝังหัวเกี่ยวกับความมีอิสรภาพส่วนตัว” ด้วยการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเบื้องหลังหน้ากากที่ไร้การเคลื่อนไหวนั้น ทำให้เขาไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าหรือการสบตาซึ่งเป็นเครื่องมือที่แสดงออกพื้นฐานของนักแสดง วีฟวิ่ง ต้องพยายามหาทางอื่น ๆ เพื่อที่จะความเป็นวีให้มีความเป็นมนุษย์และทำให้ วี เป็นการ์ตูน “ผมชอบที่จะทำงานกับหน้ากากเมื่อตอนผมเรียนที่โรงเรียนการแสดงนานมาแล้ว” วีฟวิ่งกล่าว “และการที่จะทำหน้ากากของ วี ให้ออกมาในจอภาพยนตร์มันเป็นการแสดงที่ท้าทายมาก คุณจะต้องสื่อหลายสิ่งหลายอย่างจากเสียง แต่มันยังมีช่วงเล็ก ๆ ในการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลที่คุณจะใช้เพื่อช่วยเหลือให้หน้ากากมีชีวิตชีวาอย่างที่มันไม่เคยมีเกิดขึ้น มันยังเป็นคำถามของการที่จะทำงานให้มันออกมาว่าหน้ากากต้องการจะสื่ออะไรในแสงและเงาที่มีความแตกต่างกัน” “จากในช่วงเวลาที่ฮิวโก้สวมหน้ากาก พวกเราก็รู้ได้ทันทีว่ามันใช้ได้” แมคเทียค กล่าว “เขามีพื้นฐานจากการแสดงละครซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตัวแสดงนี้ เขายังมีร่างกายที่ยอดเยี่ยมและเสียงที่มหัศจรรย์ เขาสามารถสร้างสันติภาพด้วยหน้ากากที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายที่ปิดกั้นเอาไว้และยังถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางเสียงและการเคลื่อนไหว” วี นั้นใช้หน้ากากของกาย ฟอคซ์และลักษณะทั้งในด้านการปฏิบัติและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเรื่อง เขาสวมหน้ากากเพื่อจะปิดบังรอยแผลเป็น และเพื่อที่จะบดบังตัวตนของเขา วี นั้นได้กลายเป็นมากกว่าชายคนหนึ่งด้วยความคิดของการปฏิรูป - เขากลายเป็นความคิดนั้นเสียเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เน้นความเชื่ออย่างฝังหัวของ วี ว่าคนนั้นถูกโค่นล้มลงได้แต่ความคิดนั้นจะอยู่ตลอดไปและยังทรงไว้ซึ่งพลังตลอดกาล หน้ากากของวีนั้นยังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งในทางอุปมา “หน้ากาก” ที่สวมโดยประชาชนร่วมชาติผู้ซึ่งยอมแพ้กับความมีตัวตนของตัวเองและความเชื่อเพื่อที่จะซึมซับและหลบเลี่ยงการถูกคุกคามจากทางรัฐบาล “ในภาพยนตร์ วี บรรยายทางด้านความคิดมากกว่าตัวตน” นาตาลี พอร์ตแมนผู้ซึ่งร่วมแสดงกับวีฟวิ่ง โดยรับบทเป็น อีวีย์ แฮมม่อนด์ สาวน้อยที่ วี ทำให้ตื่นขึ้นด้วยความรุนแรงของจิตใจที่บริสุทธิ์ “หนึ่งในหลายเหตุผลที่เขานั้นไม่ค่อยจะมีตัวตนคงเป็นเพราะว่าคุณจะฆ่าคน ๆ หนึ่งได้แต่ความคิดนั้นไม่มีวันตาย เพราะงั้น วี จึงเป็นตัวแทนของความเป็นจริง การต่อต้านและความเป็นตัวของตัวเอง แต่ความอาฆาตแค้นนั้นทำให้เกิดมลทินกับความคิดทางการเมืองที่เลอเลิศของเขา” การได้แสดงร่วมกับนักแสดงที่ต้องสวมหน้ากากในภาพยนตร์ตลอดทั้งเรื่องนั้นเป็นความท้าทายแต่ผู้กำกับการแสดง แมคเทียคนั้นไม่มีความกังวลในความสามารถของพอร์ตแมนที่จะเกิดความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับตัวละครที่ต้องยึดติดกับการอำพรางตัว “ผมรู้ว่าเธอมีความสามารถในการแสดงร่วมกับหน้ากากและจะช่วยเสริมให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา” นักแสดงสาวที่มีความสามารถสูง อาชีพทางการแสดงของพอร์ตแมนนั้นโดดเด่นจากบทบาทของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars: Episode I, II และ III รวมทั้งผลงานที่ได้รับการกล่าวขวัญในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องอาทิเช่น Closer , Garden State และ Everyone Says I Love You โดยก่อนหน้านี้เขาได้เคยร่วมงานกับพอร์ตแมนโดยรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ 1 ใน Star Wars: Episode II – Attack of the Cone แมคเทียคได้เห็นด้วยตัวเองในความสามารถที่น่ามหัศจรรย์ของเธอและยังมุ่งเน้นว่า “เธอเป็นนักแสดงอาชีพอย่างแท้จริง และดูสว่างไสว” ผู้กำกับการแสดงกล่าวชม “แต่มากว่าสิ่งอื่นใด ความปราศจากความหวาดกลัวและความเฉลียวฉลาดของเธอนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับบทบาทนี้” “ทุกคนที่เป็นตัวแทนของคนที่ วี พยายามจะให้ความช่วยเหลือ” ซิลเวอร์ กล่าว “แต่ในขณะที่เธอได้ร่วมกับ วี ในงานของเขาเพื่อที่จะปลดปล่อยประชาชนของประเทศอังกฤษ เธอไม่ยอมให้เขาทำตามความอาฆาตแค้นของตัวเอง นาตาลีนั้นเป็นนักแสดงที่สามารถนำเสนอความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน พวกเรารู้ว่าเธอมีความสามารถอย่างหาตัวจับยากที่จะแสดงออกมาถึงความขัดแย้งที่มีอยู่ภายใน” อีวี่ย์นั้นกำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่อายุยังน้อยหลังจากที่พ่อแม่ของเธอถูกฆ่าตายเพราะความกล้าหาญที่จะประกาศตัวต่อต้านพวกปราบปรามที่กุมอำนาจในการปกครองประเทศของพวกเขาอยู่ การผลักไสให้ไปเป็นพวกต่อต้านหลังจากการเสียชีวิตของลูกชายจากกระแสทางการเมือง ซึ่งทำให้พ่อและแม่ของอีวี่ย์เลือกความคิดทางการเมืองสำหรับลูกสาวของพวกเขา “เธอมีประสบการณ์ส่วนตัวกับการต่อต้านทางการเมือง – สิ่งที่เป็นผลจากการเสียชีวิตของพ่อและแม่ของเธอ ความโดดเดี่ยวของเธอ - เพราะฉะนั้นเธอจึงมีความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้เรด้าร์และต้องเอาตัวรอด” พอร์ตแมนกล่าว “เธออยู่ผ่านทางความหวาดกลัวของตัวเอง” จนกระทั่งถึงค่ำคืนที่ถาโถม วีเข้าสู่ชีวิตของอีวี่ย์ โดยลาดตระเวณไปตามถนนหลังจากเวลาเคอร์ฟิวตอน 5 ทุ่ม ฟิงเกอร์เมนซึ่งเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ จับอีวี่ย์ที่อยู่โดดเดี่ยวในทางเดินที่ปูลาดด้วยก้อนหิน โดยแอบซ่อนเพื่อจะไปยังบ้านเพื่อนของเธอ เธอมีแค่สเปรย์พริกไทยเป็นอาวุธป้องกันตัว เธอกลายเป็นเหยื่อของศาลเตี้ยที่โหดร้ายปราศจากความเมตตา แต่ก่อนที่เธอจะต้องพบกับการแตกหักอย่างรุนแรง ชายในชุดคลุมก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยปกป้องศักดิ์ศรีและชีวิตของอีวี่ย์เอาไว้ โดยไม่รู้เลยว่าโอกาสของการพบปะกันครั้งนี้จะเป็นการตื่นตัวในทางความคิดทางการเมืองของอีวี่ย์ ในการต้องเผชิญหน้ากับการทรมานและการถูกจำกัดให้อยู่โดดเดี่ยว ความคิดทางการเมืองของอีวี่ย์กลายเป็นความแจ่มชัดขึ้น “ผ่านการถูกจองจำ เธอนั้นได้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและการเอาชนะมันเพื่อเป็นความมั่นคงในตัวเอง” พอร์ตแมนกล่าวยืนยัน เธอต้องโกนศีรษะเพื่อเข้าฉากสำหรับฉากสำคัญในภาพยนตร์ซึ่งความเป็นตัวตนของอีวี่ย์นั้นต้องถูกกระชากลงอย่างรุนแรงจากผู้ที่จับกุมเธอ กล่าวยืนยัน พอร์ตแมนนั้นมีความสนใจกับหลายข้อคิดในเรื่องและจากการที่อีวี่ย์นั้นได้กลายจากคนงานไร้ชื่อเสียงมาเป็นวีรสตรีทางการเมืองที่มีความกล้าหาญ “บทภาพยนตร์นั้นมีความแรงทางการเมืองรวมทั้งลัทธิความเป็นไปไม่ได้” เธอกล่าว “และมันยังนำเสนอให้เห็นหัวข้อที่จะต้องเลือกเพื่อที่จะเป็นบุคคลทางการเมืองและหัวข้อที่เลือกนั้นมีผลอย่างไรกับชีวิตส่วนตัวของคน ๆ หนึ่ง” ในการเตรียมตัวเพื่อแสดงบทบาทนี้ นักแสดงสาวได้ดูเรื่อง The Weather Underground ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับวัยรุ่นชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งในช่วงปี 1960 ถึงปี 1970 พวกเขาระเบิดตึก รัฐสภาของสหรัฐอเมริกาและช่วย ทิโมธี่ แลร์รี่แหกคุก เธอยังได้อ่านเรื่องราวอัตชีวะประวัติของ เมนาเค็ม บีกิน นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ซึ่งบรรยายเรื่องราวชีวิตที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกโซเวียตและยังเรื่องราวของผู้นำของ เออร์กัน ซึ่งเป็นกลุ่มทางทหารในประเทศปาเลสไตน์ที่มีความรับผิดชอบในความประสงค์กับการก่อการร้ายเพื่อไล่พวกอังกฤษออกไปจากดินแดนปาเลสไตน์ พอร์ตแมนยังได้พบกับ แอนโตเนีย เฟรเซอร์ เรื่อง Faith and Treason เกี่ยวกับรายละเอียดของแผนการดินปืนในปี 1605 “ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ ที่กดดันชาวคาทอลิคและการต่อต้านรวมทั้งแรงบันดาลใจสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Macbeth ซึ่งแนวเรื่องราวนั้นมาจากพระราชประวัติของพระเจ้าเจมส์ที่ 1” หัวหน้าสายตรวจ ฟินช์นั้นเป็นนักสืบที่ออกล่าตัว วี เพื่อแข่งขันในการหยุดยั้งเขาจากการฆ่าและพบเขาก่อนที่เขาจะทำตามคำสัญญาของตัวเองที่จะทำลายรัฐสภาในวันที่ 5 พฤศจิกายน เขาเป็นผู้นำการสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายความลึกลับและการฆาตกรรมสยองขวัญที่มีความคล้ายคลึงในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ ฟินช์มีความตั้งใจที่จะเริ่มต้นโดยการจับกุมพวกก่อการร้ายที่เล็ดรอดไปได้และดูเหมือนว่าเขาจะทำได้จากการจับกุม อีวี่ย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อฟินช์นั้นได้คลี่คลายรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติของ วี เขาก็ได้ค้นพบความลับที่น่าตกใจของประเทศที่ปกปิดโดยรัฐบาลที่เขารับใช้อยู่และความเห็นอกเห็นใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เขาเริ่มที่จะมีปัญหาที่เขายอมรับมาเป็นเวลายาวนาน การตรวจสอบนั้นผลักดันความเป็นจริงและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทางเดินของเขา ทำให้เขาตื่นขึ้นจากการยอมรับของรัฐบาลที่กดขี่จากอำนาจในมือต่อสิทธิและอิสรภาพของประชาชน รับบทโดยนักแสดงหนุ่ม สตีเฟน รีอา ฟินช์ได้นำพาผู้ชมผ่านเรื่องราวของการสืบสวนสอบสวนในภาพยนตร์จากการที่เขาค่อย ๆ เริ่มต้นในการคลี่คลายเหตุการณ์ที่ชี้แนะว่ารัฐบาลของอังกฤษนั้นอาจจะมีบางอย่างที่เป็นอาชญากรรมที่ซ่อนไว้อย่างไม่เปิดเผย “มันจะมีส่วนประกอบอยู่ภายในของผู้ล่าที่กลายมาเป็นให้ความสนใจในเหยื่อที่เขาล่า“ รีอาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบทบาทที่เขาแสดง รีอารู้สึกว่าแนวคิดในเรื่องราวนี้ไม่มีกาลเวลา “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลกดดันประชาชนเป็นอย่างมาก มันเป็นการเตือน เป็นการเตือนอย่างโบราณเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐบาลและความรับผิดชอบต่อประชาชน” “แอนดี้และลาร์รี่กำลังทำงานที่มีความน่าสนใจและอันตราย” รีอากล่าวต่อ “มันเป็นความพยายามที่ทะเยอทะยานที่จะเคลื่อนย้ายบางอย่างจากสื่อหนึ่งไปสู่อีกสื่อหนึ่ง นิยายกราฟฟิคนั้นมีความเป็นกระแสแม่เหล็กอย่างเห็นได้ชัดในเฟรมเดียวและคุณกำลังจะถ่ายเทมันมาเป็นภาพที่เคลื่อนไหว มันเป็นเรื่องของกลอุบายและไม่มีความเป็นจริงแต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจ มันเป็นเรื่องดีที่จะได้ทำงานกับอะไรที่จะทำให้คุณภาพของมันเพิ่มมากขึ้น”รูเพิร์ท เกรฟส์นั้นแสดงเป็นโดมินิค ร้อยโทผู้ช่วยในการสืบสวนสอบสวนของฟินช์ “เขาต้องเป็นพวกอิงศาสนาเล็กน้อยในเรื่องนี้” เกรฟส์ชี้ให้เห็น “เขาไม่ใช่คนที่จินตนาการกว้างไกลอะไรนัก เขาจะเป็นพวกที่คอยก้มหัวและมีความเชื่ออย่างฝังหัวในรัฐบาลโดยเขาและฟินช์เริ่มที่จะเข้าใจว่ารัฐบาลของเขาไม่ได้ดีอย่างที่พวกเขาเคยคิด”สมุหนายก ซัทเลอร์นั้นเป็นหัวหน้าที่เลวร้ายของระบอบการปกครองแบบการรวมพรรคของประเทศอังกฤษ รับบทโดยนักแสดงที่น่าเคารพคือ จอห์น เฮิร์ท ผู้ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง 2 ครั้งจากบทที่น่ายกย่องในเรื่อง Midnight Express และ The Elephant Man รัฐบาลของซัทเลอร์นั้นปกครองด้วยความหวาดกลัว และตอกย้ำที่จะผ่านความหวาดกลัวนั้นสู่ประชาชนในหลากหลายรูปแบบ – ตำรวจลับ การเฝ้าสอดแนมและการข่มขู่ถึงเรื่องราวภยันอันตรายว่าจะมาถึง การเซ็นเซอร์ การโฆษณาชวนเชื่อการอภิปรายเรื่องการล้มล้างระบบการปกครองเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งและการกำจัดพวกปรปักษ์นั้นเป็นเรื่องปกติ “ซัทเลอร์เป็นตัวแทนของสังคมที่มีความเชื่อว่ารัฐบาลเผด็จการนั้นเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดที่จะปกครองประเทศ” เฮิร์ทเล่า “ห้ามมีคำถาม ให้พรรคดำเนินตามวิถีทางของมันและเหนือจากนั้นห้ามวิพากษ์วิจารณ์อำนาจบังคับบัญชาโดยเด็ดขาด” เฮิร์ทแสดงเป็น วินสตั้น สมิธในภาพยนตร์ของ ไมเคิล แรดฟอร์ดเรื่อง 1984 ซึ่งมีเค้าโครงเรื่องมาจากนิยายเกี่ยวกับสังคมที่ปกครองด้วยระบบพรรคการเมืองเดียวและมีผู้นำเป็นเผด็จการที่แทรกแซงในทุกอย่าง ในเรื่อง V For Vendetta ด้วยการยกเว้นของบางช่วงเวลาหลัก ซัทเลอร์นั้นได้รับการมองเห็นว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดโดยการกดขี่และบังคับอย่างรุนแรงจากการคำพูดปราศรัยที่ร้อนแรงของเขาต่อประเทศและโทสะที่พวยพุ่งอย่างรุนแรงจากการเผชิญหน้ากับคณะรัฐมนตรีผ่านทางการประชุมจากเครื่องดิจิตัล หนึ่งในฉากที่เป็นการ์ตูน อย่างไรก็ตาม เฮิร์ทได้ก้าวออกจากจอเพื่อที่จะแสดงร่วมกับ สตีเฟ่น ฟรายในรายการโชว์วาไรตี้ตัวอย่างล้อเลียนตัวแสดงของฟราย ซึ่งผู้จัดรายการทางโทรทัศน์คือ กอร์ดอน เดย์ทริชนั้นกล้าพอที่จัดขึ้น – และเสี่ยงอันตราย - โดยเย้าแหย่ให้เป็นเรื่องขบขันเกี่ยวกับการปกครองของสมุหนายกท่านนี้” ฉากที่ฟรายต้องแสดงส่วนใหญ่ต้องแสดงคู่กับพอร์ตแมน “ผมมีความประทับใจเป็นอย่างมากกับนาตาลี” เขากล่าว “ผมหมายถึงว่าเธอเป็นอะไรหรือ เด็กอายุ 12 ปีกว่าหรืออะไร? เธอแบ่งตัวได้อย่างชัดเจนและเธอยังมีความสามารถพูดได้หลายภาษา เธอเป็นนักแสดงที่แสดงได้อย่างเยี่ยมและมีความเป็นธรรมชาติ เธอมีความสว่างไสวและปูมหลังที่ดี เธอเป็นอะไรบางอย่าง เธอจะต้องเป็นดาวเด่นอยู่ในวงการอีกนานแสนนาน” ตัวสรุปในการร่วมงานของนักแสดงมากมายนั้นคือ ทิม พิกอตต์-สมิธซึ่งรับบทเป็นครีดี้ หัวหน้าของตำรวจลับอังกฤษผู้ซึ่งตามจองล้างจองผลาญและศัตรูที่อันตรายอันดับสุดท้ายของ วี ในขณะที่ซัทเลอร์แสดงตัวว่าเป็นผู้พันธนาการประเทศไว้อย่างเหนียวแน่นนั้น อำนาจที่จริงแท้นั้นกลับอยู่ในเงื้อมมือของ คริดี้ เบน ไมล์แสดงเป็น ดาสโคมซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาของซัทเลอร์ ผู้ซึ่งปั่นจุดระเบิดของวีด้วย โอล์ด เบลี่ย์ทางช่อง BTN ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ควบคุมโดยทางรัฐบาล “ในโครงการการทำลายล้างอย่างเร่งด่วน” โดยได้รับรางวัล Laurence Olivier Theatre Award ถึง 2 ครั้ง โรเจอร์ อัลแลมแสดงเป็น โปรเธอโร่ เจ้าของรายการข่าวที่เย่อหยิ่งและแสบสันต์ชื่อรายการ “The Voice of London” ซึ่งเป็นรายการโชว์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมหลายล้านคนที่เปลี่ยนช่องเพื่อมาฟังโวหารล่าสุดของเขา เสาะหาความบรรเทาใจจากสโลแกนในช่วงสุดท้ายของทุกการออกอากาศ: England prevails “เขาจะกล่าวจากความเชื่อซึ่งมาจากคำพูดส่วนหนึ่งของคำโฆษณาชวนเชื่อจากรัฐบาล” อัลแลมเล่า “การเผยแพร่คำสอนของเขาเป็นไปในทางเผด็จการ” จอห์น สแตนดิ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวที ภาพยนตร์จอเงินและจอแก้วชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงแสดงเป็นท่านสาธุคุณ ลิลลี่แมน ชายผู้สวมเสื้อคลุมของพระศาสนาและเป็นผู้ตัดสินความผิดมีเบื้องหลังเรื่องราวกามารมณ์ที่พิศดารซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งเขาทำลายล้าง “ผมสนุกกับการแสดงเป็นลิลลี่แมนมาก” สแตนดิ้งกล่าว “เพราะเขามีความตลกเล็กน้อยและชั่วร้ายอย่างสิ้นเชิง มันเป็นความสนุกที่ได้รับบทนี้” สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ วี และต่อมาก็ชีวิตของ อีวี่ย์เป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากผู้หญิงที่ชื่อว่า วาเลอรี่ เพจ – ผู้หญิงคนหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยได้พบปะกันเลยสักครั้ง เรื่องราวของเธอเป็นหนึ่งในหลายพันเรื่องของคนที่ถูกทรมานและประหารโดยรัฐบาลที่โหดร้ายไร้ความกรุณาและทำลายล้างใครก็ได้ตามใจชอบ – และยังเป็นเรื่องราวของเศษเสี้ยวความหวังอันน้อยนิดที่สามารถจะจุดประกายการปฏิวัติ บทบาทของ วาเลอรี่แสดงโดย นาตาช่า ไวท์แมนซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต อัลต์แมนเรื่อง Gasford Park ไซนีด คูแซคนักแสดงสาวชาวไอริชที่มีชื่อเสียงแสดงเป็น เดอเลีย เซอร์ริดจ์ เจ้าหน้าที่นิติเวชที่ถูกหลอกหลอนจากอดีตที่แสนโหดร้าย – อดีตที่เธอมีกับ วี “ฉันไม่เคยนึกฝันว่าฉันจะเป็นคนอ่อนหวานนุ่มนวลได้จากการที่ฉันเป็นชาวไอริช ฉันกลับคิดว่าฉันเป็นนักฆ่าเลือดเย็นและในเหตุผลหนึ่งมันเป็นการแยกตัวออกไปสำหรับฉัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับทางด้านจิตใจ และเดินเรื่องในโลกที่พวกเราทุก