Monday, 13 August 2007
กันตนา กรุ๊ป ตั้งเป้าเป็นที่ 1 เอเชียในปีหน้า
กันตนา กรุ๊ป ตั้งเป้าเป็นที่ 1 เอเชียในปีหน้า สานฝันภาค2
โดย บิสิเนสไทย [26-12-2001]
กันตนา กรุ๊ป ใช้เวลา 50 ปี ในการบรรลุความฝันของประดิษฐ์และสมสุข กัลย์จาฤก ขึ้นเป็นที่ 1 ของวงการบันเทิงประเทศไทย
มาวันนี้ กันตนารุ่นที่สอง อันมี จาฤก กัลย์จาฤก ทายาทลำดับ 2 เป็นผู้นำกลุ่มได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องรอถึง 50 ปีข้างหน้า แต่จะขอใช้เวลาเพียงปีเดียว เพื่อบรรลุความฝันครั้งใหม่ก้าวขึ้นเป็น ผู้นำอันดับหนึ่งเหนือฮ่องกง ไต้หวัน และอินเดีย ....ความฝันของเขาจะสำเร็จหรือไม่ ?
นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด กล่าวกับ“บิสิเนสไทย”ว่า ได้ร่วมมือกับ ซีพี หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดบริษัท Post Production ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และประเทศเวียดนาม หลังจากกันตนาได้ร่วมมือกับบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ วิดีโอ โพสต์ จำกัด ในปี 2541 จัดตั้ง Oriental Post เพื่อให้บริการงานด้าน Post Production ทั้งงานภาพยนตร์และโฆษณา
โครงการในเซี่ยงไฮ้ ใช้งบลงทุนประมาณ 135 ล้านบาท และจะเปิดให้บริการได้ประมาณ เม.ย.45 โดย จะรองรับเฉพาะงานในประเทศจีนเท่านั้น ส่วนที่ประเทศเวียดนามจะเป็นโครงการที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอหรือเงื่อนไขของรัฐบาลเวียดนาม
“ธุรกิจ Post Production ในไทย ดีเมื่อยุคแรกๆ แต่หลังจากช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีคู่แข่งเกิดขึ้นมาก มีการตัดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้า ทำให้รายได้ในส่วนนี้ลดลง จากเดิมที่กันตนาเคยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 70% ปัจจุบันนั้นลดลงไปบางส่วน” นายจาฤกกล่าว และอธิบายเพิ่มเติมว่า ลักษณะการตัดราคาเช่นนั้น ทำให้ต้องลดคุณภาพของงานลง ซึ่งกันตนาไม่ต้องการทำลักษณะนั้น
นอกจากนี้ ตลาด Post Production ในไทย ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก มีมูลค่าตลาดโดยรวมประมาณ 200-300 ล้านบาท แต่มีบริษัทที่แย่งส่วนแบ่งตลาดตรงนี้ประมาณ 6-7 ราย ซึ่งหากจะเข้าไปแข่งขันกันเรื่องราคา กันตนาก็สามารถทำได้ เพราะกันตนามีงานในส่วนอื่นๆรองรับอีกมาก แต่กันตนาเลือกที่จะไปรุกในตลาดต่างประเทศ ซึ่งมองเห็นศักยภาพอย่างประเทศจีน และเวียดนาม
นายจาฤก กล่าวว่า นโยบายในการทำงานของกันตนานั้น มุ่งเน้นที่ความเป็นหนึ่งในทุกๆด้านที่ทำ ที่ผ่านมา กันตนาครองความเป็นหนึ่งในส่วนของ Post Production ในภูมิภาคเอเชีย และเป็นบริษัทที่มีงาน Post Production มากที่สุดในประเทศไทย
“เฉพาะในภูมิภาคนี้ เราดีที่สุดใหญ่ที่สุด และมีมาร์เก็ตแชร์มากที่สุดในประเทศไทย แม้ปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์จะลดลงไปบ้าง เพราะการแข่งขันในตลาด”นายจาฤก กล่าว
ครบวงจรในธุรกิจสตูดิโอ
นอกจากงานด้าน Post Production แล้วกันตนายังมีส่วนของงานแล็ปภาพยนตร์ หรือส่วนของกันตนา ฟิล์ม แล็ป ให้บริการล้างฟิล์ม ทำ visaul effect พิมพ์ฟิล์มภาพยนตร์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดล้างฟิล์มภาพยนตร์โฆษณาในไทยเกือบ 100% และยังรับงานจาก วอเนอร์ส บราเธอร์ส สหมงคลฟิล์ม เอเพ็กซ์ ไทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ อาร์เอสฟิล์ม และฟิล์มบางกอก และ Lucas Flim
นอกจากนี้ยังมีห้องเสียงกันตนา ให้บริการบันทึก ตัดต่อ และมิกซ์เสียงระบบดิจิตอล ระบบ surround ระบบ Dolby SRD และระบบเสียง Dolby Digital Surround EX ซึ่งทำให้กับภาพยนตร์เรื่อง Star War : Episode 1 ของ Lucas Film
นายจาฤก กล่าวว่า งานการตัดต่อหรือ งาน Post Production มีมูลค่าประมาณ 10% ของค่าผลิตทั้งหมด และตลาดรวมของค่าผลิตภาพยนตร์โฆษณาเมืองไทยมีประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมตลาดต่างประเทศอีกประมาณ 1,000 ล้าน ดังนั้น 10%ของค่า Post Production จะตกอยู่ประมาณ 200-300 ล้านบาท
ส่วนงานด้าน Pre-Production เป็นอีกส่วนงานหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับกันตนา แม้ปัจจุบันจะมีคู่แข่งรายย่อยในตลาดเกิดขึ้นมาก แต่ในแต่ละปีจะมีบริษัทต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาถ่ายทำหรือตัดต่อภาพยนตร์โฆษณา และภาพยนตร์ รวมทั้งสารคดีและรายการต่างๆ ในประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 400-500 เรื่อง และกันตนาจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 10-20 เรื่อง แต่ธุรกิจนี้ ยังค่อนข้างมีปัญหาในส่วนของกฎระเบียบ ซึ่งต้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไข เพราะถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมากในแต่ละปี
รายได้หลักมาจากกลุ่มทีวี
ธุรกิจที่ทำรายได้หลักให้กับกันตนา คือ ธุรกิจด้านโทรทัศน์และแล็ปภาพยนตร์ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้รายการโทรทัศน์ประมาณ 40-50% ภาพยนตร์และแล็ปภาพยนตร์ประมาณ 30% และอื่นๆ อีกประมาณ 10% และสัดส่วนของ Post Production ประมาณ 10%
ที่ผ่านมา กันตนาจะมีความแข็งแกร่งในเรื่องของละครแนวลึกลับ ไสยศาสตร์ วัยรุ่น รวมทั้งรายการประเภทสารคดี (documentary ) แต่ปัจจุบัน กันตนาได้พัฒนารูปแบบของละครให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปีหน้ามีโครงการที่จะทำละครตลก และการ์ตูน เกร็ดประวัติศาสตร์ เรื่องช้างในสงครามยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมีโครงการที่จะนำการ์ตูนเรื่องนี้ ไปทำเป็นภาพยนตร์อีกด้วย
เตรียมสร้างหนังใหม่
นายจาฤก กล่าวว่า สำหรับงานภาพยนตร์นั้น ในปีหน้ามีโครงการที่จะผลิตอีก 3 เรื่อง หลังจากชะลอการลงทุนด้านการสร้างภาพยตร์มานานกว่า 4 ปี ขณะนี้แต่ยังอยู่ระหว่างการเขียนบทและคัดเลือกทีมงาน และผู้กำกับ ได้แก่ 1. เรื่อง แฝดสยาม ซึ่งมุ่งไปที่ตลาดต่างประเทศ 2. เรื่องคนไทยทิ้งแผ่นดิน ซึ่งจะทำเป็นละครทีวีก่อน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และ 3. งินปากผี
มีบางเรื่องที่อาจนำมาผลิตเป็นละคร นำเสนอทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี ก่อน อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยของภาพยนตร์แล้วมีงบประมาณ 15 ล้านบาทต่อเรื่อง
เขากล่าวว่า การสร้างภาพยนตร์ไทยครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจและตลาดของภาพยนตร์ไทย ที่กำลังกลับมาบูมในตลาดอีกครั้ง หลังจากซบเซามานานหลายปี โดยเฉพาะปีหน้าจะเป็นปีหนึ่ง ที่สำคัญในการพิสูจน์ว่า ตลาดภาพยนตร์ไทยได้ฟื้นตัวจริงหรือไม่
ด้านนาย สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท สหมงคลฟิล์ม ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยตร์ไทยรายเก่าแก่รายหนึ่งของเมืองไทย กล่าวเสริมว่า กระแสภาพยนตร์ไทยในปีหน้า คาดว่าจะบูมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากขณะนี้ ภาพยนตร์จากต่างประเทศ ของฮอลลีวู้ดเองนั้น เริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวแล้ว ผู้บริโภคเองเริ่มอยากลองของใหม่ ซึ่งภาพยนตร์ไทยจะกลายเป็นทางเลือกที่จะได้รับความสนใจควบคู่ไปกับภาพยตร์จากต่างประเทศ
ภาพยนตร์ไทยที่จะได้รับความสนใจนั้น คงต้องพัฒนารูปแบบและเนื้อเรื่องให้สอดคล้องกับความต้องการของคนดูให้มากกว่าเดิม
โดย บิสิเนสไทย [26-12-2001]
กันตนา กรุ๊ป ใช้เวลา 50 ปี ในการบรรลุความฝันของประดิษฐ์และสมสุข กัลย์จาฤก ขึ้นเป็นที่ 1 ของวงการบันเทิงประเทศไทย
มาวันนี้ กันตนารุ่นที่สอง อันมี จาฤก กัลย์จาฤก ทายาทลำดับ 2 เป็นผู้นำกลุ่มได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องรอถึง 50 ปีข้างหน้า แต่จะขอใช้เวลาเพียงปีเดียว เพื่อบรรลุความฝันครั้งใหม่ก้าวขึ้นเป็น ผู้นำอันดับหนึ่งเหนือฮ่องกง ไต้หวัน และอินเดีย ....ความฝันของเขาจะสำเร็จหรือไม่ ?
นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด กล่าวกับ“บิสิเนสไทย”ว่า ได้ร่วมมือกับ ซีพี หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดบริษัท Post Production ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และประเทศเวียดนาม หลังจากกันตนาได้ร่วมมือกับบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ วิดีโอ โพสต์ จำกัด ในปี 2541 จัดตั้ง Oriental Post เพื่อให้บริการงานด้าน Post Production ทั้งงานภาพยนตร์และโฆษณา
โครงการในเซี่ยงไฮ้ ใช้งบลงทุนประมาณ 135 ล้านบาท และจะเปิดให้บริการได้ประมาณ เม.ย.45 โดย จะรองรับเฉพาะงานในประเทศจีนเท่านั้น ส่วนที่ประเทศเวียดนามจะเป็นโครงการที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอหรือเงื่อนไขของรัฐบาลเวียดนาม
“ธุรกิจ Post Production ในไทย ดีเมื่อยุคแรกๆ แต่หลังจากช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีคู่แข่งเกิดขึ้นมาก มีการตัดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้า ทำให้รายได้ในส่วนนี้ลดลง จากเดิมที่กันตนาเคยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 70% ปัจจุบันนั้นลดลงไปบางส่วน” นายจาฤกกล่าว และอธิบายเพิ่มเติมว่า ลักษณะการตัดราคาเช่นนั้น ทำให้ต้องลดคุณภาพของงานลง ซึ่งกันตนาไม่ต้องการทำลักษณะนั้น
นอกจากนี้ ตลาด Post Production ในไทย ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก มีมูลค่าตลาดโดยรวมประมาณ 200-300 ล้านบาท แต่มีบริษัทที่แย่งส่วนแบ่งตลาดตรงนี้ประมาณ 6-7 ราย ซึ่งหากจะเข้าไปแข่งขันกันเรื่องราคา กันตนาก็สามารถทำได้ เพราะกันตนามีงานในส่วนอื่นๆรองรับอีกมาก แต่กันตนาเลือกที่จะไปรุกในตลาดต่างประเทศ ซึ่งมองเห็นศักยภาพอย่างประเทศจีน และเวียดนาม
นายจาฤก กล่าวว่า นโยบายในการทำงานของกันตนานั้น มุ่งเน้นที่ความเป็นหนึ่งในทุกๆด้านที่ทำ ที่ผ่านมา กันตนาครองความเป็นหนึ่งในส่วนของ Post Production ในภูมิภาคเอเชีย และเป็นบริษัทที่มีงาน Post Production มากที่สุดในประเทศไทย
“เฉพาะในภูมิภาคนี้ เราดีที่สุดใหญ่ที่สุด และมีมาร์เก็ตแชร์มากที่สุดในประเทศไทย แม้ปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์จะลดลงไปบ้าง เพราะการแข่งขันในตลาด”นายจาฤก กล่าว
ครบวงจรในธุรกิจสตูดิโอ
นอกจากงานด้าน Post Production แล้วกันตนายังมีส่วนของงานแล็ปภาพยนตร์ หรือส่วนของกันตนา ฟิล์ม แล็ป ให้บริการล้างฟิล์ม ทำ visaul effect พิมพ์ฟิล์มภาพยนตร์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดล้างฟิล์มภาพยนตร์โฆษณาในไทยเกือบ 100% และยังรับงานจาก วอเนอร์ส บราเธอร์ส สหมงคลฟิล์ม เอเพ็กซ์ ไทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ อาร์เอสฟิล์ม และฟิล์มบางกอก และ Lucas Flim
นอกจากนี้ยังมีห้องเสียงกันตนา ให้บริการบันทึก ตัดต่อ และมิกซ์เสียงระบบดิจิตอล ระบบ surround ระบบ Dolby SRD และระบบเสียง Dolby Digital Surround EX ซึ่งทำให้กับภาพยนตร์เรื่อง Star War : Episode 1 ของ Lucas Film
นายจาฤก กล่าวว่า งานการตัดต่อหรือ งาน Post Production มีมูลค่าประมาณ 10% ของค่าผลิตทั้งหมด และตลาดรวมของค่าผลิตภาพยนตร์โฆษณาเมืองไทยมีประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมตลาดต่างประเทศอีกประมาณ 1,000 ล้าน ดังนั้น 10%ของค่า Post Production จะตกอยู่ประมาณ 200-300 ล้านบาท
ส่วนงานด้าน Pre-Production เป็นอีกส่วนงานหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับกันตนา แม้ปัจจุบันจะมีคู่แข่งรายย่อยในตลาดเกิดขึ้นมาก แต่ในแต่ละปีจะมีบริษัทต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาถ่ายทำหรือตัดต่อภาพยนตร์โฆษณา และภาพยนตร์ รวมทั้งสารคดีและรายการต่างๆ ในประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 400-500 เรื่อง และกันตนาจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 10-20 เรื่อง แต่ธุรกิจนี้ ยังค่อนข้างมีปัญหาในส่วนของกฎระเบียบ ซึ่งต้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไข เพราะถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมากในแต่ละปี
รายได้หลักมาจากกลุ่มทีวี
ธุรกิจที่ทำรายได้หลักให้กับกันตนา คือ ธุรกิจด้านโทรทัศน์และแล็ปภาพยนตร์ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้รายการโทรทัศน์ประมาณ 40-50% ภาพยนตร์และแล็ปภาพยนตร์ประมาณ 30% และอื่นๆ อีกประมาณ 10% และสัดส่วนของ Post Production ประมาณ 10%
ที่ผ่านมา กันตนาจะมีความแข็งแกร่งในเรื่องของละครแนวลึกลับ ไสยศาสตร์ วัยรุ่น รวมทั้งรายการประเภทสารคดี (documentary ) แต่ปัจจุบัน กันตนาได้พัฒนารูปแบบของละครให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปีหน้ามีโครงการที่จะทำละครตลก และการ์ตูน เกร็ดประวัติศาสตร์ เรื่องช้างในสงครามยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และมีโครงการที่จะนำการ์ตูนเรื่องนี้ ไปทำเป็นภาพยนตร์อีกด้วย
เตรียมสร้างหนังใหม่
นายจาฤก กล่าวว่า สำหรับงานภาพยนตร์นั้น ในปีหน้ามีโครงการที่จะผลิตอีก 3 เรื่อง หลังจากชะลอการลงทุนด้านการสร้างภาพยตร์มานานกว่า 4 ปี ขณะนี้แต่ยังอยู่ระหว่างการเขียนบทและคัดเลือกทีมงาน และผู้กำกับ ได้แก่ 1. เรื่อง แฝดสยาม ซึ่งมุ่งไปที่ตลาดต่างประเทศ 2. เรื่องคนไทยทิ้งแผ่นดิน ซึ่งจะทำเป็นละครทีวีก่อน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และ 3. งินปากผี
มีบางเรื่องที่อาจนำมาผลิตเป็นละคร นำเสนอทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี ก่อน อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยของภาพยนตร์แล้วมีงบประมาณ 15 ล้านบาทต่อเรื่อง
เขากล่าวว่า การสร้างภาพยนตร์ไทยครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจและตลาดของภาพยนตร์ไทย ที่กำลังกลับมาบูมในตลาดอีกครั้ง หลังจากซบเซามานานหลายปี โดยเฉพาะปีหน้าจะเป็นปีหนึ่ง ที่สำคัญในการพิสูจน์ว่า ตลาดภาพยนตร์ไทยได้ฟื้นตัวจริงหรือไม่
ด้านนาย สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท สหมงคลฟิล์ม ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยตร์ไทยรายเก่าแก่รายหนึ่งของเมืองไทย กล่าวเสริมว่า กระแสภาพยนตร์ไทยในปีหน้า คาดว่าจะบูมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากขณะนี้ ภาพยนตร์จากต่างประเทศ ของฮอลลีวู้ดเองนั้น เริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวแล้ว ผู้บริโภคเองเริ่มอยากลองของใหม่ ซึ่งภาพยนตร์ไทยจะกลายเป็นทางเลือกที่จะได้รับความสนใจควบคู่ไปกับภาพยตร์จากต่างประเทศ
ภาพยนตร์ไทยที่จะได้รับความสนใจนั้น คงต้องพัฒนารูปแบบและเนื้อเรื่องให้สอดคล้องกับความต้องการของคนดูให้มากกว่าเดิม
Labels:
News : Post Production Thai