Monday 13 August 2007

แม่ชียังทำสื่อ

ช่วงนี่แหละรัก คุณศันสนีย : ช่วงนี้เรามีความรักของเพื่อนเราที่เป็นอาคันตุกะเข้ามาแบ่งปันในค่าย ค่ายของเราก็มักจะโชคดี มีเพื่อนอาคันตุกะจากนานาชาติมาเป็นกำลังใจเป็นแรงบันดาลใจในการต่อยอดทุกครั้ง ในวันนี้เรามีเพื่อนที่ก้าวเข้ามาในเวทีของค่าย SOS ชื่อมาดามมาฮีม่า ซึ่งมาจากประเทศอินเดียและมี Production House ซึ่งหมายถึงการทำสื่อ เวลาที่เราทำสื่อมากๆ เราก็มีมืออาชีพเดินเข้ามาสอนอย่างนี้เสมอ และสื่อที่เธอทำน่าสนใจมาก เป็นสื่อที่เธอให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงและเด็ก เธอกำลังควานหาตัวเด็กมหัศจรรย์ในโลกที่จะเกิดมาเพื่อทำให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นั่นก็คือไปสู่สันติภาพนะคะ (กล่าวต้อนรับเป็นภาษาอังกฤษ) ธรรมสวัสดีค่ะ มาดามมาฮีม่า ยินดีต้อนรับสู่รายการวิทยุสาวิกา และค่ายเยาวชน SOS คุณมีความรู้สึกอย่างไรในการมาที่นี่และเป็นอาคันตุกะของค่ายเยาวชนในครั้งนี้มาดามมาฮีม่า : ส วัสดีค่ะ ฉันชื่อมาฮีม่า มาจากประเทศอินเดีย ฉันมี Production House ซึ่งกำลังจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเยาวชนทางด้านจิตวิญญาณ รู้สึกดีใจมากที่ได้เข้ามาในค่ายนี้และมาพบกับเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา Seeds of Spirituality ดีมากเลยที่ได้มากราบเพื่อนของฉัน คือท่านแม่ชีศันสนีย์ ในครั้งนี้ท่านแม่ชี : ถ้านึกถึงอินเดียก็ต้องนึกถึงประเทศที่มีจำนวนประชากรเป็นอันดับที่สองของโลก เราก็จะรู้ว่าสำหรับคนอินเดียแล้ว ถ้าเป็นคนที่ทำงานจริงก็จริง ฉลาดก็ฉลาดจริง รวยก็รวยจริง ถ้าจนก็จนจริงด้วยนะคะ อากาศร้อนตายกันปีหนึ่งหลายๆ พันคน การที่คนอินเดียสนใจเรื่องมิติของจิตวิญญาณ เพราะว่าในวัฒนธรรมของอินเดียมีศาสนามากที่สุดและมีวัฒนธรรมที่มีสีสันตั้งแต่ฉูดฉาดจนถึงสงบเย็น พระพุทธเจ้าก็เกิดในอินเดีย ในชมพูทวีป เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะได้เห็นว่ามุมมองและแนวคิดของคนอินเดียจะเจาะลึกลงไปถึงการเติบโตทางวัฒนธรรมทางจิตใจ เมื่อเช้านี้แม่เห็นเพื่อนของเราออกมาเดินเล่นแล้วก็แอบดูทุกมุมของบ้านเราเลย และเห็นเค้าถือกล้องถ่ายรูป คือเนื่องจากว่าเค้าเป็นผู้กำกับ เค้าจะมองทุกอย่างผ่านการขยายออกไปเป็นช่องทางของการขยายผลและนี่คือการทำงานของผู้ใหญ่ที่มีวินัย เดินทางมาเพื่อขยายผล เพราะฉะนั้นเค้าเห็นอะไร มันก็เป็นโอกาสที่จะเอาสิ่งที่เห็นออกไป เวลาที่เราทำงานไม่ว่าจะเป็นงานเยาวชนหรืองานอะไร เราจะทำงานด้วยความไม่ประมาท ทุกขณะจิตจะต้องเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดอย่างไม่มักง่าย จะทำงานอย่างสุข ไม่ใช่เสร็จแล้วจึงสุข เพราะฉะนั้นขั้นตอนตรงนี้มันคือการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมคุณศันสนีย : เวลาที่คุณยายจ๋าบอกว่าเราจะต้องทำงานอย่างที่สุด ไม่ประมาท ให้พร้อมเสมอมันคือการจะต้องดูแลที่จิตเลยใช่มั้ยคะ ท่านแม่ชี : มันเป็นเรื่องของการทำงานที่เราต้องรู้ว่า เราเอาอะไรทำงาน เราใช้ชีวิตกับการงาน ชีวิตที่ประกอบไปด้วยร่างกาย แค่เอาร่างกายทำงาน แล้วอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือใจไปไหน แต่ถ้าเราเอาแต่ใจทำงานแล้วไม่มีการใช้การรวมพลังของการร่วมมือกัน มันจะแข็งแรงได้อย่างไร เพราะฉะนั้นกายเป็นเรื่องส่วนหนึ่งของชีวิต แต่จิตเป็นส่วนที่เป็นนานที่สุด ถ้าคนโดยปัจเจกชน เช่น เด็กค่าย SOS สองร้อยคนมีวินัยกับตัวเองในปัจเจกชนเพราะทุกคนจะดูจิตของตัวเองถูกมั้ยคะ แล้วเอากายที่เคลื่อนไหวมาทำพลังงานร่วมกัน เพราะฉะนั้นโดยปัจเจกมันเป็นมหภาคได้ที่การทำงานรวมกัน แล้วผลมันก็ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราบอกว่า เราจะไปบวกกับคนอื่น เอาแต่กายไปไม่ได้ เราต้องเอาใจของเราที่เปิดกว้างและวางอคติไปทำงานที่จะเปิดใจของเราที่จะเรียนรู้กับคนอื่นแล้วมีวินัยกับตัวเอง มันเหมือนอย่างนี้นะคะ วินัยเนี่ยเหมือนกับเรามีดอกไม้หลากหลาย เด็กๆ ที่มาอยู่นี้ บางคนพูดอีสาน บางคนพูดใต้ บางคนพูดเหนือ บางคนผิวดำ บางคนผิวขาว บางคนมาจากองค์กรนั้น องค์กรนี้ เป็นดอกไม้หลากหลายรูปทรง หลากหลายสี หลากหลายกลิ่น แต่การที่เรามาอยู่รวมกันและมีวินัยที่ดีในการที่จะทำให้ตัวเราเป็นดอกไม้ในแต่ละดอกแล้วถูกร้อยโดยเชือกที่ทำให้ดอกไม้แต่ละดอกออกมาเป็นพวงมาลัยอันงดงาม แล้วก็ใช้พวงมาลัยนั้นกับสังคมให้เกิดความสุข คิดดูสิว่าความหลากหลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วยอะไรคุณศันสนีย : ความหลากหลายจะเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยจิต และวิธีการก็คือมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า เรามีลมหายใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันนะคะ อันนั้นเป็นเทคนิค ว่าไปแล้วก็คือเทคนิคในการทำค่าย ถ้าใครที่อยู่ในค่ายนี้ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง เคยตั้งคำถามมั้ยว่าทำไมเราจึงเหนื่อยน้อย น้อยกว่าปกติ ถ้าลองเอาไปเดิน ไปทำงานหนักขนาดนี้ ถ้าเราไม่ตั้งมั่นไว้ที่จิต คงจะพับไปนานแล้ว แต่ขณะนี้ลองนึกว่าเวลาเรามีความสนุกสาน ชื่นบานและเบิกบานอยู่ได้นั้น ที่จริงแล้วเป็นการดูแลจิตให้ไปพร้อมกับกายใช่มั้ยคะท่านแม่ชี : กายเคลื่อนไหว ใจตั้งมั่น เป็นความรักในชีวิตที่เรามีต่องาน การที่เราเดินทางในโลกนี้ ซึ่งคุณยายก็เป็นคนที่เดินทางมากคนหนึ่ง ก็ไม่ต่างจากเพื่อนของเราที่มาจากอินเดียที่ทำงานสืบค้น ควานหา ถ้าเค้าไม่มีใจของเค้าที่มั่นคงในการทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ เค้าจะมาถึงตรงนี้มั้ยล่ะ เป็นผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวเพื่อหาความร่วมมือจากเพื่อนที่อยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าเวลาที่เราเดินทางเราจะไม่เหงาเลย เพราะเรามีความรักในการใช้ชีวิตของเราแต่ละขณะอย่างมีวินัย ที่จะทำให้ตัวเรามีเวลาที่สั้นลง แต่ในความสั้นลงนั้นจิตเราเจริญขึ้น ในขณะที่จิตเราเจริญขึ้นเราสามารถบวกได้มากขึ้น หนึ่งบวกหนึ่งมันจึงมหาศาล เวลาที่หนึ่งบวกหนึ่งคำตอบจึงไม่ใช่แค่สอง ถ้าเด็กๆ ในค่าย SOS สังเกตวิธีการทำงานของผู้ใหญ่ ว่าการที่เรามีวินัยที่ดีบวกกับคนที่มีวินัยที่ดี ถ้าคนๆ นั้นมาจากองค์กรหนึ่งแล้วอีกคนหนึ่งมาจากอีกองค์กรหนึ่ง เราสองคนบวกกันเท่ากับองค์กรสององค์กรบวกกัน อย่างเช่น คุณยายมีเพื่อนมาจากมูลนิธิศุภนิมิต มาจากกลุ่มเพื่อนในศาสนาคริสต์ ทุกคนเข้ามาเป็นอาสาสมัคร หนึ่งคนที่มาจากเพื่อนคริสต์ อีกหนึ่งคนที่มาจากเพื่อนพุทธทำงานกัน นั่นหมายความว่าศาสนิกของสองศาสนากำลังทำงานร่วมมือกัน มันมหาศาลมั้ยล่ะ หนึ่งบวกหนึ่งจึงไม่ใช่สอง เหมือนเพื่อนอินเดีย มาหนึ่ง เค้ามี Production House อยู่ที่ไหนก็ตาม เรามี Spiritual Entertainment อยู่ที่นี่ เราบวกกันมั้ย เราสองคนเจอกันคราวนี้ แต่งานของเราจะไปด้วยกันด้วยดีในโลกนี้เพื่อเด็ก นี่คือที่บอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งมันคือการรวมพลัง มันคือมหาศาล ค่าย SOS คือการทำงานเชิงบวกอย่างนี้คุณศันสนีย : คุณยายจ๋าสอนแม่ไก่ เมื่อวานแม่ไก่ก็ไปกตัญญูกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจดีดูแลค่าย SOS แม่ไก่ก็ไปช่วยเป็นพิธีกรจัดงานกีฬากับเค้า ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้บวกกัน ทำงานด้วยกัน ดังนั้นความรักในช่วงนี่แหละรักในวันนี้มีคำที่พิเศษมอบให้กับเด็กๆ จากคุณยายจ๋า เป็นคำของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ หนึ่งบวกหนึ่งไม่ใช่สอง แต่หนึ่งบวกหนึ่งนั้นคือมหาศาล ถ้ามันมีความรักความเมตตาที่จะเกื้อกูลกันด้วยหัวใจอยู่ที่นั่น

Link: http://sathira-dhammasathan.org/index.php?contentid=1034&groupid=1&subgroupid=929&topgroupid=1