Monday 31 December 2012

The 90/10 Principle กฎ 90/10 โดย สตีเฟ่น โคฟวี่



***บทความดีๆ*** The 90/10 Principle***

อ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่เป็นภาระกับลูกหลาน แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป!!!!

May I be the first to wish everyone a very Happy New Year and all the best for 2014. ♥

The 90/10 Principle

กฎ 90/10 โดย สตีเฟ่น โคฟวี่

Author : Stephen Covey ( Management Guru)

What is this principle?

กฎ 90/10 คืออะไร

10% of life is made up of what happens to you. 90% of life is decided by how you react. What does this mean?

ชีวิตคนเรา 10% ประกอบด้วย ~ จังหวะโอกาส ส่วนที่เหลือ 90% ตัดสินโดย ~ พฤติกรรมตอบสนอง หมายความว่าไงรู้มั้ย

We really have no control over 10% of what happens to us.We cannot stop the car from breaking down. The plane will be late arriving, which throws our whole schedule off.A driver may cut us off in traffic.We have no control over this 10%.The other 90% is different. You determine the other 90%.

เราไม่อาจควบคุมจังหวะโอกาส 10% นั้น เราไม่อาจห้ามปรามรถเสียกลางทางหรือเที่ยวบินล่าช้า เป็นเหตุให้เสียเวลาได้ แต่ส่วนที่เหลือ 90% ไม่เป็นเช่นนั้น คุณตัดสินใจและควบคุมมันได้

How? By your reaction. You cannot control a red light., but you can control your reaction.
Don't let people fool you; YOU can control how you react.
ทำยังไง? ~ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมตอบสนอง ของคุณเอง อย่าให้คนอื่นใช้คุณเป็นเครื่องมือ คุณควบคุมการตอบสนองของคุณเองได้

Let's use an example.

You are eating breakfast with your family. Your daughter knocks over a cup of coffee onto your business shirt. You have no control over what just what happened. What happens when the next will be determined by how you react.

ขอยกตัวอย่าง

คุณกำลังกินอาหารเช้ากับครอบครัว ลูกสาวไม่ระมัดระวัง ทำกาแฟหกใส่เสื้อเชิ้ตคุณ เหตุการณ์เช่นนี้เกินกว่าที่คุณจะควบคุมได้ แต่ขั้นต่อไปจะเป็นอย่างไร? การตอบสนองจากคุณเป็นตัวกำหนด

You curse. You harshly scold your daughter for knocking the cup over. She breaks down in tears. After scolding her, you turn to your spouse and criticize her for placing the cup too close to the edge of the table. A short verbal battle follows. You storm upstairs and change your shirt.

คุณดุด่าลูกสาวชุดใหญ่ จนหนูน้อยตกอยู่ในห้วงทุกข์ แล้วคุณก็ระบายอารมณ์ใส่ภรรยา ติว่าเธอวางกาแฟใกล้ขอบโต๊ะ ต่อมาก็เกิดสงครามพ่นน้ำลายใส่กัน คุณขึ้นชั้นบนด้วยความโกรธ เปลี่ยนเสื้อเชิ้ต 

Back downstairs, you find your daughter has been too busy crying to finish breakfast and get ready for school. She misses the bus. Your spouse must leave immediately for work.

คุณลงมาชั้นล่าง เห็นลูกสาวกินอาหารเช้าพร้อมน้ำตานองหน้า และกุลีกุจอไปโรงเรียน แต่แล้ว เธอก็พลาดรถโรงเรียน.. ภรรยาคุณรีบร้อนไปทำงาน

You rush to the car and drive your daughter to school.

คุณ ต้องขับรถส่งลูกสาวอย่างกะทันหัน

Because you are late, you drive 40 miles an hour in a 30 mph speed limit. After a 15-minute delay and throwing $60 traffic fine away, you arrive at school. Your daughter runs into the building without saying goodbye.

After arriving at the office 20 minutes late, you find you forgot your briefcase.Your day has started terrible. As it continues, it seems to get worse and worse. You look forward to coming home, When you arrive home, you find small wedge in your relationship with your spouse and daughter.

คุณจะไม่ทันเวลาเข้างานอยู่แล้ว คุณเหยียบคานเร่งที่ 40 ไมล์/ชม.บนถนนห้ามเกิน 30 ไมล์/ชม. เมื่อถึงโรงเรียน สายไป 15 นาทีแถมถูกปรับ 60 เหรียญฐานขับรถเร็ว แล้วลูกสาวคุณก็วิ่งฉิวเข้าห้องเรียนทันที โดยมิได้บอกลาคุณแม้แต่น้อยเมื่อถึงบริษัท คุณสายไป 20 นาทีแล้ว ทันใดนั้นคุณพบว่าลืมพกกระเป๋าเอกสารติดตัว มันช่างเป็นวันที่ทุเรศสิ้น ดี! คุณรู้สึกว่าสถานการณ์ยิ่งแย่ลงอีก คุณเริ่มใจร้อนอยากกลับบ้าน เมื่อเลิกงานกลับถึงบ้าน คุณรับรู้ได้ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างคุณกับภรรยาและลูกสาวได้เริ่มร้าวฉานเล็กน้อย



Why? Because of how you reacted in the morning.
เพราะเหตุใด? ทั้งหมดนี้เกิดจากปฏิกิริยาของคุณเมื่อตอนเช้านั่นเอง

Why did you have a bad day?

A) Did the coffee cause it?

B) Did your daughter cause it?

C) Did the policeman cause it?

D) Did you cause it?

ทำไมถึงมีวันที่แย่เช่นนี้?

(A) เกิดจากกาแฟหกรึ ?

(B) เกิดจากลูกสาวรึ ?

(C) เกิดจากภรรยารึ ?

(D) เป็นเพราะตัวคุณเองรึ ?
The answer is " D".

คำตอบคือ (D)

You had no control over what happened with the coffee. How you reacted in those 5 seconds is what caused your bad day. Here is what could have and should have happened.

คุณไม่อาจควบคุมเหตุการณ์ที ลูกสาวทำกาแฟหก แต่ภายใน 5 วินาทีต่อจากนั้น … ปฏิกิริยาของคุณเริ่มก่อตัว เชื่อสิว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีได้

Coffee splashes over you. Your daughter is about to cry. You gently say, "It's ok honey, you just need, to be more careful next time". Grabbing a towel you rush upstairs.

กาแฟหกใส่เสื้อคุณ ลูกสาวทำท่าจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่คุณปลอบโยนอย่างอ่อนหวานว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก คราวหน้าให้ระวังหน่อยนะ" แล้วคุณก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นชั้นบน

After grabbing a new shirt and your briefcase, you come back down in time to look through the window and see your child getting on the bus. She turns and waves. You arrive 5 minutes early and cheerfully greet the staff. Your boss comments on how good the day you are having.

คุณเปลี่ยนเสื้อเสร็จ แล้วขึ้นไปหยิบกระเป๋าเอกสารจากชั้นบน คุณเห็นลูกน้อยนั่งบนรถนักเรียนเรียบร้อย...เธอหันมาโบกมืออำลาคุณพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สดใส คุณไปถึงบริษัทก่อนเวลา 5 นาที ทักทายกับเพื่อนร่วมงานอย่างสนิทสนม หัวหน้าคุณชื่นชมคุณ ~ ช่างเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่

Notice the difference? Two different scenarios. Both started the same. Both ended differently.

เห็นความแตกต่างไหม?? สองสภาพการณ์ที่เริ่มจากมูล เหตุเดียวกันแต่ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

Why? Because of how you REACTED. You really do not have any control over 10% of what happens. The other 90% was determined by your reaction.

เพราะเหตุใด? เป็นเพราะปฏิกิริยาของคุณล้วนๆ อาจจะเป็นจริง ~ คุณไม่อาจควบคุมจังหวะโอกาส 10% นั้น แต่ส่วนที่เหลือ 90% สามารถกำหนดโดยการตอบสนองของคุณ

Here are some ways to apply the 90/10 principle.

《วิธีปฏิบัติตามกฎ 90%》

If someone says something negative about you, don't be a sponge. Let the attack roll off like water on glass.You don't have to let the negative comment affect you! React properly and it will not ruin your day. A wrong reaction could result in losing a friend, being fired, getting stressed out etc.

หากมีคนติฉินนินทาคุณ อย่าทำตัวเป็นชิ้นฟองน้ำ ดูดซับคำโจมตีเหล่านั้นมากดดันตัวเอง อย่าให้คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น~มาผูกมัดตัวเอง รับมือไว้ให้ดี ชีวิตคุณจะดำรงอยู่ได้~ไม่ฟกช้ำเสียหาย ปฏิกิริยาที่ผิดพลาด อาจทำให้คุณเสียเพื่อน หรือ แม้กระทั่งถูกกดดัน~จนหายใจไม่ออก

How do you react if someone cuts you off in traffic? Do you lose your temper? Pound on the steering wheel? A friend of mine had the steering wheel fall off)

Do you curse? Does your blood pressure skyrocket? Do you try and bump them? WHO CARES if you arrive ten seconds later at work? Why let the cars ruin your drive? Remember the 90/10 principle, and do not worry about it.

เช่น: รถเสียกลางทาง คุณรู้สึกยังไง? อารมณ์เสีย ตะโกนด่าแ่งเลยไหม? คุณคิดอยากจะกระทืบมันรึ? เปล่าประโยชน์ ใครจะไปถือสาคุณถ้ามาสายเปนบางครั้ง

จำกฎ 90/10 ไว้ ~อย่าถือสา

You are told you lost your job. Why lose sleep and get irritated? It will work out. Use your worrying energy and time into finding another job.

The plane is late; it is going to mangle your schedule for the day. Why take out your frustration on the flight attendant? She has no control over what is going on. Use your time to study, get to know the other passenger. Why get stressed out? It will just make things worse.

Now you know the 90-10 principle. Apply it and you will be amazed at the results. You will lose nothing if you try it.

เช่น: คุณถูกออกจากงาน ทำไมจะต้องโมโหและนอนไม่หลับ? เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ใช้พลังที่คุณหมกมุ่นกับความกังวลและกลัดกลุ้ม ไปแสวงหางานใหม่จะดีกว่า เที่ยวบินเลื่อนกำหนดเวลา ย่อมกระทบกระเทือนการเดินทางของคุณทั้งวัน แต่ทำไมต้องระบายความโกรธใส่พนักงานบริการ ซึ่งเธอก็ไม่สามารถห้ามปรามเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ใช้เวลาว่างของคุณ ~ศึกษาหรือรู้จักผู้โดยสารรอบข้างไม่ดีกว่ารึ? อย่าสำแดงโทสะ !!! มิฉะนั้น เหตุการณ์เล็กน้อยที่อุบัติขึ้นอาจทำให้คุณทุลักทุเลไปทั้งวัน เมื่อคุณรู้จักกฎ 90/10 แล้วจงปฏิบัติตาม แล้วคุณจะพบปาฏิหาริย์ที่น่าตื่นเต้น จงทดลองดู มันไม่เสียหายอะไรเลย

The 90-10 principle is incredible. Very few know and apply this principle.
กฎ 90/10 วิเศษเหลือเกินแต่น้อยคนนักที่รู้จักใช้ประโยชน์จากมัน

The result? Millions of people are suffering from undeserved stress, trials, problems and heartache. We all must understand and apply the 90/10 principle.

อย่าจมอยู่ในห้วงทุกข์เลย อยากให้คุณพยายามละทิ้งปัญหาและความทุกข์ใจออกไป เข้าใจและปฏิบัติตาม กฎ 90/10

It CAN change your life!!!

แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป!!!!



Saturday 29 December 2012

Floating Movie Theater

Floating Movie Theater

Mind Blowing floating movie-theater in Yao Noi, Thailand. The screen and the seating are floating in water. The spectators hover above the sea, focusing on the moving images across the water displayed on the huge screen. The experience is truly unique! 



12 เรื่องแย่ๆของคนไทย (ที่ต้องยอมรับความจริงกันแล้ว)


12 เรื่องแย่ๆของคนไทย (ที่ต้องยอมรับความจริงกันแล้ว)

ทัศนคติของคนต่างชาติมองการทำงานของคนไทย....

เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี  เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทย ๆ เราก็ได้คำตอบว่า:

1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิม ๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น

 ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี

-เจฟฟรีย์ บาร์น

2. การโต้แย้ง

เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม  บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า "ขี้เกรงใจ" แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ



3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด

เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมา ทั้ง ๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม  บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร

- ไมเคิล วิดฟิล์ค



4. ความรับผิดชอบ

1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า  ทั้ง ๆ ที่งานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบ ๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร

2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก

- สเตฟานี จอห์นสัน



5. วิธีแก้ไขปัญหา

คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า  หลายครั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตาม ถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด

- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก

6. บอกแต่ข่าวดีคนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ

1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา

2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดี ๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริง  หรือถ้าหากเจ้านายถามว่าจะทำงานเสร็จทันเวลาไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย

- โจนาธาน ธอมพ์สัน



7. คำว่า "ไม่เป็นไร"

เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน  แต่จะใช้คำว่า "ไม่เป็นไร" มาแก้ปัญหาแทน

- เจนิส อิกนาโรห์


8. ทักษะในการทำงาน

1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย

บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า

2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้วไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม

- เดวิด กิลเบิร์ก



9. ความซื่อสัตย์

พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน

- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์



10. ระบบพวกพ้อง

คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน  พวกเขามักจะแนะนำเพื่อน ๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา  การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก  และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง

- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์


11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว

คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว  พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร

1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน

2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน

3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที

4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ

5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย

- วิลเลี่ยม แมคคินสัน



12. นับถือระบบอาวุโส

คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา  บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท

- เนลสัน ฟอร์ด — with Raweewan Weerapan and Moddang Nak.



บางทีความจริงมันเจ็บปวด แต่มันก็เป็นยาขมที่รักษาไข้ได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณทุกความจริง ที่จะทำให้พวกเราคนไทยทำงานดีขึ้น


ขอบคุณ : People Magazine



Warning Graphic 2 Apache Helicopters Engage a Platoon of Taliban



Warning Graphic 2 Apache Helicopters Engage a Platoon of Taliban

Thursday 27 December 2012

Vijay Singh: Off the water and in the hole!!



You are NOT going to believe this golf shot.

จเด็ด FEDFE ฝากถึง เเอ๊ะ Around Me

น้อง ๆ ของ เน " วัดดาว " Part 1




Bankkingg 10 hours ago
พวกมึงก็ได้แค่ด่าเพสแม่ของมึงเ­อง. อยากรู้ไหมพี่เนทำไมถึงมีผู้หญิ­งล้อมรอบทั้งๆที่เค้าไม่หล่อ ไม่รวย แต่เค้ามีใจที่ดี เค้าเข้าใจว่าน้องคือน้อง ไม่เหมือนพวกมึงน้องก็คงเอากันแ­หละ แหละอีกอย่างมึงด่าเพสแม่ของตัว­เอง มึงไม่สมนึกบ้างเลยหรอ แล้วเรื่องดูดยาเค้าเลิกหมดแล้ว­พวกพี่เนอะอย่าใส่ร้ายถ้ามึงไม่­รู้จริงเพราะตำรวจเค้าเฝ้าพี่้เ­น 24 ชม. แล้วอีกอย่างมึงรู้ได้ไงเค้าเป็­นกะหรี่อะ พวกมึงเอาอะไรไปตัดสินเค้า มึงดูฟ้าบ้างดิบางวันฟ้าสว่างเห­มือนฝนไม่ตกแต่พอเอาผ้าไปตากฝนแ­ม่งก็เสือกตกได้ แล้วมึงจะเอาอะไรวัดกับใจคน ?

แอล โอรส ฝากถึง เน วัดดาว



แอล โอรส ฝากข้อความถึง เน วัดดาว อย่ามาเจ๋อ แอล โอรส ออกมาตอบโต้ เน วัดดาว ผ่านโซเชี่ยลแคม หลังจากที่ทั้่งคู่มีปากมีเสียงกันบนโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ได้สักระยะก็เป็นที่สนใจและมีคนพูดถึงทั้งสองแก๊งค์กันมากมายและวันนี้ แอล โอรส จะมาฝากข้อความถึง เน วัดดาว ว่าอย่ามาเจ๋อ เอาไงก็เอากันงานนี้ เน วัดดาว กับ แอล โอรส จะเป็นยังไงคงต้องรอดูกันต่อไป

เน " วัดดาว " ฉุน อยากเจอ ตี๋ " โอรส "



เน " วัดดาว " ฉุน อยากเจอ ตี๋ " โอรส "

บ่นเหมือนเดิม โดยเนวัดดาว



เนวัดดาว ออกมาชี้แจงข่าวเอาขวดตีหัวตัวเอง

กูทำใครเจ็บ กูเจ็บ

เเอล โอรส แจกสานส์ท้ารบ



แอล โอรส ท้ารบ เน วัดดาว ขอร้องอย่าดีแต่เห่า แอล โอรส ออกมาตอบโต้ เน วัดดาว ผ่านโซเชี่ยลแคม หลังจากที่ทั้่งคู่มีปากมีเสียงกันบนโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ได้สักระยะก็เป็นที่สนใจและมีคนพูดถึงทั้งสองแก๊งค์กันมากมายและวันนี้ แอล โอรส ท้ารบ เน วัดดาว ขอร้องอย่าดีแต่เห่า เห็นทีว่าศึก เน วัดดาว กับ แอล โอรส จะไม่จบลงง่ายๆแน่เลย

มหากาพย์หักเหลี่ยมเฉือนคมแก๊งโอรส ฉบับโดยสังเขป

***เรื่องดังประจำอาทิตย์นี้***
แก๊งค์ค้ายาทะเลาะกันผ่าน Social Network แม่งอย่างกับหนังจีนเลย สุดท้ายพวกห่านี่น่าจะตายห่าหมดนะ 55555+

มหากาพย์หักเหลี่ยมเฉือนคมแก๊งโอรส ฉบับโดยสังเขป

กาลครั้งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร 
มีแก๊งอัพธพาลที่พบเห็นได้ทั่วไปแก๊งหนึ่ง นามว่าแก๊งโอรส 
หัวหน้ากิลด์นี้ ประกอบไปด้วย "คิว โอรส" "ตี๋ โอรส" และ "แอล โอรส" 
ซึ่ง ตี๋โอรส และ แอลโอรส นี้ก็มีลูกศิษย์คนสนิทด้วยกันอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า "เน โอรส" 
ขณะที่แก๊งนี้กำลังเหิมเกริม วิ่งเล่นตามปกติอยู่ในกรุงเทพฯนั่นเอง
วันหนึ่ง คิวโอรส ก็ได้ไปยิงดาบตำรวจคนหนึ่ง ตาย!!

ด้วยความเก่งฉกาจของตำรวจไทย จึงรวบตัว คิวโอรส ได้ทันควัน
เรื่องนี้คิวโอรส ต้องโดนส่งเข้าคุกเป็นแน่ ทว่า จะไปเข้าคุกคนเดียวก็รู้สึกเหงาเหงียวเปลี่ยวใจ ไม่มีคนให้โยกตูด
เมื่อคิวโอรส คิดได้ดังนั้น พอตำรวจถาม คิวโอรส ว่า "ปืนนี้มันของใคร"
เขาจึงตอบว่า "ปืนนี้มันของไอ้เนครับ!"

คราวซวยจึงบังเกิดกับเนโอรส
เนโอรส เศร้าเสียใจอยู่สามวันสามคืน ไม่คิดเลยว่ารุ่นพี่ที่เคารพจะมาทำกันแบบนี้
เนโอรส จึงตัดสินใจเนรเทศตัวเองออกจากแก๊งโอรส รวมทั้งหนีการไล่ล่าของตำรวจไปด้วย

เน ซึ่งไม่รู้ไปตรัสรู้อีท่าไหน หลังออกจากแก๊งโอรส จึงเห็นทางธรรม คิดได้จะกลับตัวกลับใจ อยากจะเป็นยาผมซ่าผู้อ่อนโยน ไม่อยากเดินยาอีกต่อไป อยากมาขับวินมอไซค์หาเลี้ยงชีพแทน
เน ตอนนี้ได้มาตั้งกิลด์ใหม่ของตัวเอง ชื่อว่า "แก๊งขนมหวาน" และเปลี่ยนฉายาให้กับตัวเองเป็น
"เน วัดดาว"
แต่กระนั้นเลย เพลิงแค้นในอกของเนวัดดาว ยังคงคุกรุ่นอยู่มิหาย วันคืนที่โดนคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจหักหลังนั้น มิอาจลบออกไปจากใจได้โดยง่าย
มหากาพย์การแก้แค้นของ เนวัดดาว จึงได้เริ่มต้นขึ้น

เนวัดดาวจึงได้สั่งให้ ใครสักคน ไปไล่ยิงลูกพี่ แอลโอรส กับ ตี๋โอรส ที่เคยเคารพ
ขณะเดียวกันนั้น
เนวัดดาวก็ได้วางแผนตีขนาบแก๊งโอรส กะไม่ให้ลูกกระจ๊อกเล็ดลอดเหลือชีวิตออกไปได้แม้แต่คนเดียว
เนวัดดาว คนนี้ก็มีสมุนคนสนิทคนหนึ่ง นามว่า "อาร์มโอรส" คู่หูโอนิบาคุ ซึ่งออกมาจากแก๊งโอรสด้วยกัน
เนวัดดาว จึงรวมตัวกับ อาร์มโอรส ไปไล่กระทืบลูกกระจ๊อกของแก๊งโอรสเสียให้สิ้นซาก
ซึ่งครานั้น ดาวนำโชคมิได้เข้าข้าง คู่หูโอนิบาคุนี้ถูกตำรวจรวบตัวได้ ทั้งสองคนไปจ่ายค่าปรับข้อหา ทะเลาะวิวาท อยู่ที่ สน. นั่นเอง

ทว่า มันเป็นเวลาเดียวกับที่ แอลโอรส และ ตี๋โอรสโดนไล่ยิง!!
ทั้งสองคนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ตี๋โอรส สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชได้
ส่วนแอลโอรส โดนร๊อคบัสเตอร์เข้าไป 4 เม็ด เลือดชุ่มชโลมกาย หอบหิ้วตัวเองไปหาคนชุบที่โรงพยาบาล แต่อนิจจา เคราะห์กรรมของแอลโอรส ที่ใบชุบหมดพอดี แอลโอรสจึงถึงแก่ความตาย

งานศพของ แอลโอรส เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ ดำเนินการโดยอีอุ้ม เมียของแอลโอรส
มีการโพสภาพศพของแอลโอรสที่โรงพยาบาล งานศพที่ศาลาวัด และพวงหรีดของแอลโอรส
สก๊อยผู้ติดตามแอลโอรส พากันเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งเต็มหน้าเฟสบุ้ก
เมียของแอลโอรส ความแค้นแน่นอยู่ในใจ แค้นเนวัดดาวมาก จึงได้ปล่อยข่าวไปว่า เนวัดดาว กับ อาร์มโอรส ไปเป็นคนมาไล่ยิงสามีของตนเอง เป็นกลอุบายให้ตำรวจไปรวบตัวทั้งคู่มาดำเนินคดี
ดังจะเห็นได้จากในคลิปนี้
http://www.youtube.com/watch?v=oaX95pCyIfk

จนกระทั่ง ข่าวการตายของแอลโอรส นี้ไปถึงหูเนวัดดาว ทำให้เนวัดดาว ปลื้มปิติมากมายมหาศาล
แต่ในความปิตินั้น ก็หวนนึกไปถึงวันคืนเก่าๆในแก๊งโอรสได้
วันหนึ่ง เนวัดดาวจึงบังเกิดความเสียใจ ร้องไห้หารุ่นพี่ในแก๊งโอรสเป็นการใหญ่ เอาขวดฟาดกบาลตัวเอง เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อ แก๊งโอรสที่เคารพทุกคน
คลิปแสดงความเป็นนางสาวไทยของเนวัดดาว
http://www.youtube.com/watch?v=hQu4Zgt_n4M

เมื่อแอลโอรส สิ้นชีพไปแล้ว เนวัดดาว จึงหลงระเริง เหิมเกริม และกร่างมาก
อัพคลิปอวดอ้างสรรพคุณความอัจฉริยภาพของตัวเองเป็นการใหญ่ รายวันเลยทีเดียว

หลังจากนั้น
อาร์มโอรส คู่หูโอนิบาคุนั้น ไปส่งยาตามปกติวิสัย แต่ผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย โดนตำรวจรวบตัวจับเข้าคุกได้
อาร์มโอรสเมื่อเข้าไปคุก ก็ได้พบกับบุคคลเก่าแก่ที่เคารพ "อาท โอรส" (มีชื่ออยู่ในคลิป เนรักทุกคน)
อาทโอรส นี้เมื่อได้ข่าวว่า แอลโอรส ตายแล้ว อาทโอรสลูกพี่ใหญ่ในซังเต จึงได้สั่งให้เหล่าสมุนไปฆ่าอาร์มโอรส เสียให้หายแค้น
แต่ดวงอาร์มโอรส ยังไม่ถึงฆาต หรือดาบยังไม่ได้ตี+ ก็ไม่ทราบ ทำให้แทงอาร์มโอรสไม่ตาย
อาร์มโอรส ขณะนี้ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ที่คุกไหนสักแห่ง

อาทโอรส เมื่อฆ่าอาร์มโอรสไม่ได้ ก็ได้บันดาลโทสะ จะออกจากคุกไปแก้แค้นด้วยตัวเอง
สิ้นสติ อาทโอรส ก็เข้าบวกกับผู้คุมด้วยพลังเฮือกสุดท้าย แต่ไม้ตายไม่แรงพอ เลยโดนผู้คุมโยนเข้าไปขังเดี่ยวในคุกชั้นใต้ดินลึกสุดกู่

เมื่อยุทธจักรนี้เป็นของ เนวัดดาวเสียแล้ว
เมียของเนวัดดาว นามว่า "จีจี้พรานนก" ได้ใช้อำนาจบารมีผัวกร่างไปทั่ว และได้ส่งสาส์นท้ารบ แก่อีอุ้ม เมียของแอลโอรส เนื่องจากที่ให้ข่าวเสียหายกับผัว โดยที่เนวัดดาวไม่รู้เรื่อง
วันแห่งศึกตัดสินก็มาถึง อุ้ม เมียของแอลโอรส จัดการใช้ซัดท่าไม้ตายไป 3combo จนจีจี้เลือดแทบหมดหลอด
จีจี้พรานนก เห็นท่าจะสู้ไม่ได้ จึงได้ขอยอมแพ้ กราบตีนอีอุ้ม พร้อมเล่าความจริงทั้งหมดทั้งมวล ให้แก่อีอุ้ม เสียจนหมดเปลือก
อันตัวอุ้มนั้น เห็นแก่ว่าเคยเป็นพี่เป็นน้อง เคยคบหารักใคร่กันมาก่อน จึงได้ยอมรับ จีจี้พรานนก เข้าสู่อ้อมอกของแก๊งโอรสดังเดิม

เนวัดดาวได้ข่าวจึงได้ร่ำไห้เสียใจถึง3วัน3คืน อาร์มก็โดนจับ เมียก็หักหลัง
แต่ในผืนพิภพนี้ข้ายังเป็นใหญ่คับฟ้า ใครเลยจะกล้าหือ

ถึงตรงนี้เลยใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด ภาคกำเนิดจอมมารเนวัดดาวแล้วนั่นเอง

เรื่องราวควรจะจบลงตรงนี้
...
..
.
ทว่า!!
หลังจากที่กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปได้ประมาณ 1เดือนเศษ

วันหนึ่งสาส์นท้ารบได้ถูกอัพโหลดขึ้นเฟสบุ้ก

คลิปของคนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้กล้าที่ประกาศจะมาท้าประลองกับราชาปิศาจเนวัดดาวคนนี้

ไม่ใช่ใครที่ไหน
...
..
.
"แอลโอรส" คนที่เคยคิดว่า ตายไปแล้วนั่นเอง!!

http://www.facebook.com/photo.php?v=273796392743122
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
แอลโอรส กลับมาจากนรก ฟื้นขึ้นมาจากความตายเพื่อสะสางหนี้แค้นกับเนวัดดาว

เรื่องราวนี้ถูกซ้อนแผนโดยเมียของแอลโอรส ซึ่งในวันที่ แอลโอรสโดนยิงกระสุนเม็ดถั่วไป 4 เม็ดนั้น
เมียของแอลโอรส เป็นคนจัดฉากทั้งหมด ถ่ายรูปศพ และงานศพปลอมๆ หลอกตาคนทั้งโลกว่าแอลโอรสได้ตายไปแล้ว เพื่อที่จะหลอกล่อเนวัดดาว และหนีไปจากเงื้อมมือมารของมัน

อันที่จริงแล้ว ในตอนนั้น แอลโอรส ได้หนีไปกบดานอยู่ที่ชลบุรีโดยที่ไม่มีใครรู้!

แอลโอรส รอวันที่จะล่วงรู้ถึงความจริง และแล้วความจริงนั้นก็ได้ถูกเปิดเผยโดย จีจี้พรานนก เมียของเนวัดดาว!!
ซึ่งในความจริงนั้น ทำให้แอลโอรส ได้รู้ว่า ..วันนั้น เนวัดดาว เป็นคนยิงแอลโอรสนั้นเอง!!

อา...
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป
ความจริงเบื้องหลังนั้นเป็นมายังไงกันแน่
เนวัดดาวจะได้ขึ้นครองผืนพิภพแห่งนี้อีกครั้งหรือไม่

...โปรดติดตามตอนต่อไป...
ในเฟสบุ้กใกล้บ้านท่าน

*หมายเหตุ*
เรื่องนี้ไม่ได้แต่งนะครับ กำลังเกิดขึ้นจริง ณ ที่ใดที่หนึ่งในกรุงเทพฯ
ที่เล่านี่ ไทม์ไลน์ไม่ค่อยเป๊ะนะครับ เห็นเพื่อนๆแชร์กันในเฟสบุ้กหลายคน ก็เล่าหลายปาก ที่เล่าทั้งหมดก็คือ การสรุปความเอาจากคลิป และที่แชร์ๆกันมา

Monday 10 December 2012

The Voice Thailand-คิง VS เหน่ง-ฤดูที่ฉันเหงา-21 Oct 2012



#TheVoiceTH ยิ่งแข่งยิ่งแย่ ไม่สนุกเหมือนรอบ Blind & Battle
นี่น่าจะเป็น Show ที่ดีที่สุดของ The Voice Thailand

The Voice Thailand รอบ Battle Round วันที่ 21 Oct 2012
คิง - พิเชษฐ์ บัวขำ VS เหน่ง - พิชัยยุทธ จันทร์กลับ
เพลง : ฤดูที่ฉันเหงา [Flure]
ทีมโค้ช : แสตมป์

A microalgae lamp that absorbs CO2!



This microalgae lamp absorbs 150 times more CO2 than a tree!

Wow, this concept has the potential to be awesome, in the true sense of the word. Earth changing. If these lights were everywhere it would have a great effect on CO2 levels.

If the figures are correct then roughly every five of these lights in use would counter the CO2 emissions annually by one car based on average mileage. However that green glow, while environmentally symbolic, would put an eery feel over everything and probably dampen a lot of people's moods. Something would need to be done about that :)

Shamengo pioneer Pierre Calleja has invented something truly remarkable--a light powered by algae that absorbs CO2 in the air--at the rate of 1 ton PER YEAR, or what a tree absorbs over its entire lifetime! The microalgae streetlamp has the potential to provide significantly cleaner air in urban areas and revolutionize the cityscape.

Source: http://www.sciencedump.com/content/microalgae-lamp-absorbs-150-times-more-co2-tree

With A Piece Of Chalk - JuBaFilms



***เจ๋งดี*** #Inspiration
Short Film : With A Piece Of Chalk - JuBaFilms

A young boy called Justen, who went through doleful past, discovered a way to change his situation greatly.
So, remind myself in believing in possibility, keeping myself positive.

Choice Point Trailer




Yifat CohenYesterday 20:41 (edited) - Public
Richard Branson + a crack addict prisoner + YOU?
Please share so that many can benefit

A new film - The Choice Point is out only in a digital form (so far) bringing you proven strategies and intimate wisdom from the world's recognized leaders of success, science and spirituality - including Sir +Richard Branson, +Archbishop Desmond Mpilo Tutu, +Barbara Marx Hubbard, +Gregg Braden, Scilla Elworthy (twice-nominated for the Nobel Peace Prize), and so many others.

These visionaries have accurately forecasted and harnessed the many changes and opportunities in their lives and in the world. Each has made a noteworthy and lasting impact.

Now, they are all in agreement about a new opportunity, and in fact the largest opportunity yet, and they want you - and all of us - to join them in harnessing it.

The CHOICE POINT FILM Reveals the Hidden Fundamentals of Innovation, Success & Change: During this feature-length documentary film, startling science along with heartfelt intimacy will awaken you to a new power dawning in you and in the world.

And for the first time, this film is being released in a special digital screening room, for a limited time, for FREE. Watch it now here: http://bit.ly/Z10tmt

-------------
#choicepoint #documentary #freescreening #richardbranson #dalialama #opportunity #change #endoftheworld #consciousness #world #changewecanbelievein #googletv #youtube #makechange #makechangetv #visionary #thesecret #nobelprize #nobelpeaceprize #innovation #success

Saturday 8 December 2012

EXCLUSIVE - The Magic Making of Middle-earth #airnzhobbit




This video is pretty amazing. Whether you're a fan of Tolkien myth lore or not, everyone can agree that the backdrop alone is worth sitting through "The Hobbit."

The mini-documentary below shows director Peter Jackson and his crew in helicopters, seeking brand new locations to shoot their upcoming film: http://on.mash.to/UrIL6r

Ferranti Atlas: Britain's first supercomputer



Ferranti Atlas: Britain's first supercomputer: http://youtu.be/6TRfy70DqD8 via YouTube

Fifty years ago today, the the U.K.'s first supercomputer, the Ferranti Atlas, was switched on. For a time, it was the most powerful computer in the world, and some claimed that when it first arrived in 1962, it roughly doubled the U.K.’s scientific computing capability.

Many of the software concepts Atlas pioneered are still in use today—in particular, virtual memory and multi-tasking, which enable the computer to work on multiple programs at once. The program controlling this, called Atlas supervisor, has been described as the “most significant breakthrough in the history of operating systems," with virtual memory the most widely used computer design development of the past 50 years. Find out more about the Ferranti Atlas in this short film we produced for the 50th anniversary, or on the Europe blog: http://goo.gl/XhLsf

Breaking The Taboo - Film



Documentary ดัง ประจำสัปดาห์ เกี่ยวกับสงครามยาเสพติด
Breaking The Taboo - Film (60 Min)

Published on 6 Dec 2012
Narrated by Oscar winning actor Morgan Freeman, "Breaking the Taboo" is produced by Sam Branson's indie Sundog Pictures and Brazilian co-production partner Spray Filmes and was directed by Cosmo Feilding Mellen and Fernando Grostein Andrade. Featuring interviews with several current or former presidents from around the world, such as Bill Clinton and Jimmy Carter, the film follows The Global Commission on Drug Policy on a mission to break the political taboo over the United States led War on Drugs and expose what it calls the biggest failure of global policy in the last 40 years.

Category
Non-profits & Activism

Christmas Lights Gangnam Style (Original)



And if you haven't had enough of Gangham Psy yet....

#ChristmasLights