Monday, 13 August 2007
หวังรณรงค์คนไทยในต่างแดน
หวังรณรงค์คนไทยในต่างแดนร่วมแรงร่วมใจสร้างภาพยนตร์ไทยเทิดพระเกียรติ “The King’s Warriors”หรือ“ยอดทหารเสือ”
ช่วงนี้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ไทยเป็นพิเศษ นอกจากจะไปดูหนังเรื่อง “เด็กหอ” ซึ่งเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่มาเปิดฉายในเทศกาลภาพยนตร์ “1st Annual Subtitle Film Festival” แล้ว ยังได้พบปะกับผู้คร่ำหวอดในวงการทำภาพยนตร์โฆษณา ครีเอทีฟ นักแสดง และผู้เขียนบทละครชื่อดังอย่าง “อังกอร์” ทั้งภาคหนึ่งและสอง
บุคคลที่กล่าวถึงนี้ รู้จักกันทั่วไปในชื่อของ “นอร์แมน วีรธรรม” นักเขียนบทละครแนวแอคชั่นแฟนตาซี เรื่องอังกอร์, อังกอร์ 2 ,เล็กใหญ่ไม่เกี่ยวด้วยคน, เหล็กไหล และล่าสุด เรื่องชุมแพ ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำในขณะนี้
นอร์แมน วีรธรรม มีชื่อจริงว่า วีระธรรม วิชัยรักษากุล เคยใช้ชีวิตอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกามากว่า 20 ปี เป็นน้องชายของคุณวิลาวัลย์ น้อยนวม ซึ่งขณะนี้กลับมาเยี่ยมเยียนพี่น้องและเพื่อนฝูงในอเมริกา พร้อมหอบบทภาพยนตร์ไทยเทิดพระเกียรติเรื่อง “The King’s Warriors” หรือ “ยอดทหารเสือ” ที่บรรจงเขียนถึง 3 ปี มาสานฝันให้เป็นจริง ด้วยการสนับสนุนจากคนไทยด้วยกัน
คุณนอร์แมน ชี้แจงว่า บทภาพยนตร์เรื่อง “The King’s Warriors” ไม่ได้มีเจตนาที่จะฉวยโอกาสใช้เวลาที่ประเทศไทยกำลังแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเป็นเครื่องมือสร้างผลประโยชน์ แต่ตั้งใจเขียนเพื่อให้คนไทยร่วมกันสำนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของพระองค์ท่าน สะท้อนผ่านคาแรคเตอร์ที่อยู่ในเรื่อง ด้วยความตั้งใจที่ไม่ใช่ทำเพื่อธุรกิจเหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ แต่จะนำรายได้ทั้งหมดทูลเกล้าฯถวาย ย่อมเป็นที่ประจักษ์ถึงเจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์ และต้องได้รับการต้อนรับจากประชาชนไทยทั้งในและนอกประเทศอย่างแน่นอน
เรานำบทสัมภาษณ์ของคุณนอร์แมนมานำเสนอ เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความคิด ความอ่าน และตัวตนที่แท้จริงของเขา อีกทั้งเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะให้การสนับสนุนอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นของเขาในครั้งนี้หรือไม่
อยากให้คุณนอร์แมนเล่าว่ามาทำอะไรที่อเมริกาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ตั้งใจมาเรียนหนังสือด้านกราฟฟิคดีไซน์และโฆษณา หลังจบการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ด้านสถาปัตยกรรม พอมาถึงก็เข้าไปเรียนเลย แต่ปรากฏว่าฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง และเป็นการนำงานมาวิจารณ์ ใครมีข้อสงสัยต้องถามอาจารย์เพื่อครีเอทคอนเซ็ปต์ เลยตัดสินใจออกมาลุยจ๊อบ ทำงานเก็บเงิน ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนภาษา อ่านหนังสือ โชคดีที่ทำงานร้านอาหารฝรั่งทำให้กล้าขึ้น จากนั้นไปเป็นบาร์เทนเดอร์ยิ่งทำให้คล่องขึ้น ผ่านไปประมาณ 5 ปี จนมั่นใจ จึงกลับเข้าไปเรียนใหม่ ที่ California State Los Angeles ที่เดิม
ระหว่างเรียนได้ผลอย่างไรบ้าง
ช่วงที่เรียน ผลงานก็ถูกนำไปติดบอร์ด พอเรียนๆไปจะจบ อาจารย์ถามว่าคิดยังไง ก็บอกไปว่าอยากเรียนต่อปริญญาโท อาจารย์บอกว่าน่าจะทำงานมากกว่า เลยเข้าไปทำงานเลย ตอนแรกทำแม็กกาซีน ทำหน้าที่ออกแบบ หลังจากนั้นย้ายไปทำเอเยนซี่โฆษณา ได้มีโอกาสทำหนังโฆษณาทีวี แล้วก็ย้ายไปทำอีกที่ ที่คอสตา เมซา ไกลแต่ต้องไปเพราะมีลูกค้าที่ดีอย่างโซนี่ เป็น Director ทำงานด้านอาร์ตและควบคุมการถ่ายภาพ
เห็นว่าชอบงานทางด้านภาพยนตร์ด้วยใช่ไหมคะ
เริ่มสนใจงานภาพยนตร์ ซึ่งจริงๆอยากเรียนตั้งแต่แรก แต่มันแพงในยุคนั้น และดูจากตลาดหนังไทยในยุคนั้น เห็นว่าไม่น่าพัฒนา พอทำงานผ่านไปเป็นสิบปี โรงเรียนที่สอนด้านภาพยนตร์ก็มีเยอะขึ้นและถูกลง ตอนนั้นเลยไปเรียน UCLA EXTENSION เป็นคอร์สๆ รวมทั้งไปทำ Workshop
ได้มีโอกาสรู้จักกับเสี่ยเจียง ของสหมงคลฟิล์มตอนที่กลับไปเมืองไทย เลยได้กลับไปลองทำดู แต่ระบบยังไม่เข้าที่ จากนั้นแกรมมี่ชวนไปทำงานด้วย เป็นครีเอทีฟ ตอนนั้น ครบ 10 ปีแกรมมี่พอดี เลยได้ไปทำโปรเจค "อัลบั้มซน คนดนตรี" ได้เจอศิลปินหลายคน ก็สนุกดี
แล้วไปทำงานด้านไหนอีกที่เมืองไทย
หลังจากนั้นตัดสินใจออกจากแกรมมี่ กลับไปทำโฆษณาที่ฟาร์อีสต์ ได้ทำหนังโฆษณาสองเรื่อง และหาทางไปเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาที่บริษัทเอ็กตร้าเฟรม ทำอยู่สักสองสามเรื่อง ก็บังเอิญเป็นช่วงฟองสบู่แตก แต่ขณะเดียวกันเสี่ยเจียงก็เปิดค่ายเทปโกล์ด เอ็นเตอร์เทนเมนท์ พอดีแล้วชวนไปทำ ก็เข้าไปทำ
แล้วจุดหันเหทำให้มีโอกาสมาเขียนบทละครชื่อดังเป็นมาอย่างไร
ระหว่างนั้นมีพี่สมเดช ผู้กำกับหนังมาชวนไปเขียนบท บอกว่าอยากทำหนังเกี่ยวกับเสือสมิง ให้คุณอาฉลองเป็นผู้กำกับ อยากให้เป็นสไตล์อินเตอร์ เลยเขียนบทขึ้นมาเรื่องอังกอร์ ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะทำหนังก่อน แต่ฟองสบู่มาแตกก่อน คุณฉลองเลยบอกว่าจะทำเป็นละคร ทำได้ไหม ตอนนั้นที่ได้บทมาก็เอาไปเสนอหลายค่าย คนปฏิเสธ เพราะไม่มีคนใช้ ไม่มีตัวตลก ยังไงก็ไม่เวิร์ค บอกให้เปลี่ยนแต่ผมไม่เปลี่ยน
เขียนเรื่องแรกก็ประสบความสำเร็จเลย
ผมเขียนจากหนังสองชั่วโมง เป็นละคร 15 ตอน โชคดีที่ทำงานกับคุณอาฉลอง เพราะเป็นคนเปิดกว้าง มีการถกเถียงกัน และเป็นคนพิถีพิถันมาก ตอนแรกก็ลุ้นว่าจะเป็นยังไง แต่ก็ออกมาดัง เรตติ้งสูง เราพยายามทำเรื่องให้สื่อสารง่ายที่สุด จากนั้นสามปีได้เขียนบทละครอังกอร์ 2 ระหว่างนั้นก็ทำงานอื่นไปด้วย รวมทั้งได้ไปเป็นนักแสดงของหนังต่างประเทศ เพราะตามหลักทฤษฎีบอกไว้ว่า ถ้าอยากเป็นผู้กำกับที่ดีควรไปลองเป็นนักแสดงด้วย เช่น หนังเรื่องเดอะบีช ได้มีโอกาสไปรู้จักกับแดนนี่ บอย ผู้กำกับซึ่งก็ช่วยสอนให้
เรื่องแรกที่ได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เต็มตัวคือเรื่องอะไร
ที่ลงมือกำกับเอง เป็นหนังของญี่ปุ่น เรื่อง The Last Samurai ทำก่อนที่ ทอม ครูซ จะเล่น การกำกับหนังเรื่องนี้จะได้อิสระมาก ผมเคยได้รับเสนอให้กำกับหนังไทย แต่ปฏิเสธไปเพราะบทไม่โดนใจ คิดว่าถ้าทำเรื่องแรก ก็อยากให้ออกมาดีเหมือนเขียนบทเรื่องอังกอร์ ผมจะไม่เปลี่ยนแปลง
ผลงานตอนนี้มีอะไรบ้างคะ
ตอนนี้มีโปรเจคเขียนบทละครเรื่องชุมแพ ของคุณอาฉลอง ตอนนี้ยังต้องเขียนส่งไป กำลังถ่ายทำอยู่เพื่อเตรียมออนแอร์ ขณะเดียวกันก็ทำโปรเจคหนังของผมขึ้นมา เกี่ยวกับชีวิตตำรวจไทย เป็นคนที่รักชาติ เสียสละ ผมเป็นคนSensitive ต่อในหลวง ทำทุกอย่างเท่าที่คนตัวเล็กๆจะทำได้ เขียนมาสามปี พยายามให้ลงตัวที่สุด เมื่อเขียนเสร็จก็ตรงกับช่วงเฉลิมฉลองพอดี เป็นเรื่องบังเอิญ ผมตั้งใจให้คนดูรู้ว่าควรจะทำยังไง นอกจากพูดหรือใส่เสื้อสีเหลือง ซึ่งก็ไม่ว่ากัน และเคยถามหลายคนว่า จะอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์มาได้ไหม คำตอบคือได้ ผมจะเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” เป็น Theme หนัง ว่าจะทำให้ดีที่สุด
ตอนนี้เขียนบทเสร็จแล้ว ต้องทำอะไรต่อไป
หวังว่าจะมีคนสนับสนุนสร้าง แต่ก็ลางเลือน เพราะเศรษฐิกิจตก อีกอย่างนายทุนสนใจแต่หนังผีกับหนังคาเฟ่ ผมก็เข้าใจเรื่องธุรกิจ จึงหวังว่าจะมีนายทุนที่มี Vision ทำหนังแหวกแนวออกไป
“The King’s Warriors” เป็นหนังแนวไหนคะ
ครบสูตรฮอลลีวูด คือแอ็คชั่น ความรัก โรแมนติค มีคอมเมดี้ผสม ถ้าจะให้พูดตรงประเด็นก็คือ แอ็คชั่นแฟนตาซี ผมว่าหนังแนวนี้เริ่มกลับมาแล้ว อย่าง Déjà vu บ้านเรามีเรื่องราวให้คนดูเข้าใจมีไม่กี่ทาง ถือว่า งานตรงนี้จะแปลกไปอีกแบบ อยู่ตรงกลาง
หนังเรื่องนี้ ใครควรไปดูบ้าง
ผมว่าคนไทยที่รักชาติทุกคนน่าจะอยากไปดู เป็นหนังที่พระเอกมีความมุ่งมั่นที่จะปราบผู้ร้าย ได้ไปเจอนางเอกที่บังเอิญมีอุดมการณ์เหมือนกันมาช่วยกัน มีตลกขำขันบ้าง เป็นภาพยนตร์ที่พระเอกมีความลึกซึ้งและเทิดทูนต่อในหลวงของเรา ผ่านแสดงออกของเขา
มีความตั้งใจจะฉายในต่างประเทศด้วยใช่ไหมคะ
คิดว่า ผมมั่นใจว่าจะทำการเล่าเรื่อง แม้ว่าจะมีพื้นฐานแบบไทยๆ แต่การดำเนินเรื่องจะเป็นสไตล์สากล ซึ่งผมโชคดีที่ได้มาเรียนและใช้ชีวิตที่นี่เกือบ 20 ปี จึงมีประสบการณ์และความเข้าใจในการเล่าเรื่อง ได้คลุกคลีกับเพื่อนๆที่เป็นผู้กำกับ เชื่อว่า คนไทยทุกรัฐน่าจะมีโอกาสได้ดูกัน
หากได้ทุนแล้ว คาดว่าจะใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะได้ชมผลงานกัน
เป็นเรื่องที่ยาก แต่คาดว่า คงจะประมาณหนึ่งปี การสร้างหนังให้ดี ต้องใช้เวลา ไม่มี Shortcut ผมว่ายังทันที่จะเฉลิมฉลอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในปีของการเฉลิมฉลอง ดูเมื่อไรก็ได้
อยากฝากอะไรถึงคนไทยที่นี่บ้างกับผลงานชิ้นนี้
คนไทยที่นี่ถ้าช่วยกันคนละสองเหรียญฯ ก็สามารถเป็นผลงานชิ้นเอกของคนที่นี่ รายได้จะนำทูลเกล้าฯถวายในหลวง เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เป็นจริงและจับต้องได้ งานตรงนี้เป็นโปรเจคอุดมการณ์ ผมไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ แต่ถ้านายทุนอยากได้เงินคืนก็ไม่เป็นไร หักค่าใช้จ่ายคืนไป แต่ส่วนที่เป็นกำไรต้องนำทูลเกล้าฯถวาย หากใครมีอุดมการณ์ตรงนี้ก็ร่วมงานกันได้ แต่ถ้าจะเอากำไรก็ไม่เอาเหมือนกัน เพราะนี่คือความมุ่งมั่นของผม ถ้าเรื่องอื่นอยากทำเพื่อเอากำไรค่อยมาว่ากัน หวังว่าคงจะมีคนอุดมการณ์เดียวกัน
อ่านแล้ว คนที่จะตัดสินใจว่าจะร่วมแรงร่วมใจกัน สานฝันโปรเจคนี้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ คิดว่า คำตอบคงอยู่ในใจของคุณแล้ว
ช่วงนี้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ไทยเป็นพิเศษ นอกจากจะไปดูหนังเรื่อง “เด็กหอ” ซึ่งเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่มาเปิดฉายในเทศกาลภาพยนตร์ “1st Annual Subtitle Film Festival” แล้ว ยังได้พบปะกับผู้คร่ำหวอดในวงการทำภาพยนตร์โฆษณา ครีเอทีฟ นักแสดง และผู้เขียนบทละครชื่อดังอย่าง “อังกอร์” ทั้งภาคหนึ่งและสอง
บุคคลที่กล่าวถึงนี้ รู้จักกันทั่วไปในชื่อของ “นอร์แมน วีรธรรม” นักเขียนบทละครแนวแอคชั่นแฟนตาซี เรื่องอังกอร์, อังกอร์ 2 ,เล็กใหญ่ไม่เกี่ยวด้วยคน, เหล็กไหล และล่าสุด เรื่องชุมแพ ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำในขณะนี้
นอร์แมน วีรธรรม มีชื่อจริงว่า วีระธรรม วิชัยรักษากุล เคยใช้ชีวิตอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกามากว่า 20 ปี เป็นน้องชายของคุณวิลาวัลย์ น้อยนวม ซึ่งขณะนี้กลับมาเยี่ยมเยียนพี่น้องและเพื่อนฝูงในอเมริกา พร้อมหอบบทภาพยนตร์ไทยเทิดพระเกียรติเรื่อง “The King’s Warriors” หรือ “ยอดทหารเสือ” ที่บรรจงเขียนถึง 3 ปี มาสานฝันให้เป็นจริง ด้วยการสนับสนุนจากคนไทยด้วยกัน
คุณนอร์แมน ชี้แจงว่า บทภาพยนตร์เรื่อง “The King’s Warriors” ไม่ได้มีเจตนาที่จะฉวยโอกาสใช้เวลาที่ประเทศไทยกำลังแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเป็นเครื่องมือสร้างผลประโยชน์ แต่ตั้งใจเขียนเพื่อให้คนไทยร่วมกันสำนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของพระองค์ท่าน สะท้อนผ่านคาแรคเตอร์ที่อยู่ในเรื่อง ด้วยความตั้งใจที่ไม่ใช่ทำเพื่อธุรกิจเหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ แต่จะนำรายได้ทั้งหมดทูลเกล้าฯถวาย ย่อมเป็นที่ประจักษ์ถึงเจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์ และต้องได้รับการต้อนรับจากประชาชนไทยทั้งในและนอกประเทศอย่างแน่นอน
เรานำบทสัมภาษณ์ของคุณนอร์แมนมานำเสนอ เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความคิด ความอ่าน และตัวตนที่แท้จริงของเขา อีกทั้งเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะให้การสนับสนุนอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นของเขาในครั้งนี้หรือไม่
อยากให้คุณนอร์แมนเล่าว่ามาทำอะไรที่อเมริกาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ตั้งใจมาเรียนหนังสือด้านกราฟฟิคดีไซน์และโฆษณา หลังจบการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ด้านสถาปัตยกรรม พอมาถึงก็เข้าไปเรียนเลย แต่ปรากฏว่าฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง และเป็นการนำงานมาวิจารณ์ ใครมีข้อสงสัยต้องถามอาจารย์เพื่อครีเอทคอนเซ็ปต์ เลยตัดสินใจออกมาลุยจ๊อบ ทำงานเก็บเงิน ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนภาษา อ่านหนังสือ โชคดีที่ทำงานร้านอาหารฝรั่งทำให้กล้าขึ้น จากนั้นไปเป็นบาร์เทนเดอร์ยิ่งทำให้คล่องขึ้น ผ่านไปประมาณ 5 ปี จนมั่นใจ จึงกลับเข้าไปเรียนใหม่ ที่ California State Los Angeles ที่เดิม
ระหว่างเรียนได้ผลอย่างไรบ้าง
ช่วงที่เรียน ผลงานก็ถูกนำไปติดบอร์ด พอเรียนๆไปจะจบ อาจารย์ถามว่าคิดยังไง ก็บอกไปว่าอยากเรียนต่อปริญญาโท อาจารย์บอกว่าน่าจะทำงานมากกว่า เลยเข้าไปทำงานเลย ตอนแรกทำแม็กกาซีน ทำหน้าที่ออกแบบ หลังจากนั้นย้ายไปทำเอเยนซี่โฆษณา ได้มีโอกาสทำหนังโฆษณาทีวี แล้วก็ย้ายไปทำอีกที่ ที่คอสตา เมซา ไกลแต่ต้องไปเพราะมีลูกค้าที่ดีอย่างโซนี่ เป็น Director ทำงานด้านอาร์ตและควบคุมการถ่ายภาพ
เห็นว่าชอบงานทางด้านภาพยนตร์ด้วยใช่ไหมคะ
เริ่มสนใจงานภาพยนตร์ ซึ่งจริงๆอยากเรียนตั้งแต่แรก แต่มันแพงในยุคนั้น และดูจากตลาดหนังไทยในยุคนั้น เห็นว่าไม่น่าพัฒนา พอทำงานผ่านไปเป็นสิบปี โรงเรียนที่สอนด้านภาพยนตร์ก็มีเยอะขึ้นและถูกลง ตอนนั้นเลยไปเรียน UCLA EXTENSION เป็นคอร์สๆ รวมทั้งไปทำ Workshop
ได้มีโอกาสรู้จักกับเสี่ยเจียง ของสหมงคลฟิล์มตอนที่กลับไปเมืองไทย เลยได้กลับไปลองทำดู แต่ระบบยังไม่เข้าที่ จากนั้นแกรมมี่ชวนไปทำงานด้วย เป็นครีเอทีฟ ตอนนั้น ครบ 10 ปีแกรมมี่พอดี เลยได้ไปทำโปรเจค "อัลบั้มซน คนดนตรี" ได้เจอศิลปินหลายคน ก็สนุกดี
แล้วไปทำงานด้านไหนอีกที่เมืองไทย
หลังจากนั้นตัดสินใจออกจากแกรมมี่ กลับไปทำโฆษณาที่ฟาร์อีสต์ ได้ทำหนังโฆษณาสองเรื่อง และหาทางไปเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาที่บริษัทเอ็กตร้าเฟรม ทำอยู่สักสองสามเรื่อง ก็บังเอิญเป็นช่วงฟองสบู่แตก แต่ขณะเดียวกันเสี่ยเจียงก็เปิดค่ายเทปโกล์ด เอ็นเตอร์เทนเมนท์ พอดีแล้วชวนไปทำ ก็เข้าไปทำ
แล้วจุดหันเหทำให้มีโอกาสมาเขียนบทละครชื่อดังเป็นมาอย่างไร
ระหว่างนั้นมีพี่สมเดช ผู้กำกับหนังมาชวนไปเขียนบท บอกว่าอยากทำหนังเกี่ยวกับเสือสมิง ให้คุณอาฉลองเป็นผู้กำกับ อยากให้เป็นสไตล์อินเตอร์ เลยเขียนบทขึ้นมาเรื่องอังกอร์ ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะทำหนังก่อน แต่ฟองสบู่มาแตกก่อน คุณฉลองเลยบอกว่าจะทำเป็นละคร ทำได้ไหม ตอนนั้นที่ได้บทมาก็เอาไปเสนอหลายค่าย คนปฏิเสธ เพราะไม่มีคนใช้ ไม่มีตัวตลก ยังไงก็ไม่เวิร์ค บอกให้เปลี่ยนแต่ผมไม่เปลี่ยน
เขียนเรื่องแรกก็ประสบความสำเร็จเลย
ผมเขียนจากหนังสองชั่วโมง เป็นละคร 15 ตอน โชคดีที่ทำงานกับคุณอาฉลอง เพราะเป็นคนเปิดกว้าง มีการถกเถียงกัน และเป็นคนพิถีพิถันมาก ตอนแรกก็ลุ้นว่าจะเป็นยังไง แต่ก็ออกมาดัง เรตติ้งสูง เราพยายามทำเรื่องให้สื่อสารง่ายที่สุด จากนั้นสามปีได้เขียนบทละครอังกอร์ 2 ระหว่างนั้นก็ทำงานอื่นไปด้วย รวมทั้งได้ไปเป็นนักแสดงของหนังต่างประเทศ เพราะตามหลักทฤษฎีบอกไว้ว่า ถ้าอยากเป็นผู้กำกับที่ดีควรไปลองเป็นนักแสดงด้วย เช่น หนังเรื่องเดอะบีช ได้มีโอกาสไปรู้จักกับแดนนี่ บอย ผู้กำกับซึ่งก็ช่วยสอนให้
เรื่องแรกที่ได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เต็มตัวคือเรื่องอะไร
ที่ลงมือกำกับเอง เป็นหนังของญี่ปุ่น เรื่อง The Last Samurai ทำก่อนที่ ทอม ครูซ จะเล่น การกำกับหนังเรื่องนี้จะได้อิสระมาก ผมเคยได้รับเสนอให้กำกับหนังไทย แต่ปฏิเสธไปเพราะบทไม่โดนใจ คิดว่าถ้าทำเรื่องแรก ก็อยากให้ออกมาดีเหมือนเขียนบทเรื่องอังกอร์ ผมจะไม่เปลี่ยนแปลง
ผลงานตอนนี้มีอะไรบ้างคะ
ตอนนี้มีโปรเจคเขียนบทละครเรื่องชุมแพ ของคุณอาฉลอง ตอนนี้ยังต้องเขียนส่งไป กำลังถ่ายทำอยู่เพื่อเตรียมออนแอร์ ขณะเดียวกันก็ทำโปรเจคหนังของผมขึ้นมา เกี่ยวกับชีวิตตำรวจไทย เป็นคนที่รักชาติ เสียสละ ผมเป็นคนSensitive ต่อในหลวง ทำทุกอย่างเท่าที่คนตัวเล็กๆจะทำได้ เขียนมาสามปี พยายามให้ลงตัวที่สุด เมื่อเขียนเสร็จก็ตรงกับช่วงเฉลิมฉลองพอดี เป็นเรื่องบังเอิญ ผมตั้งใจให้คนดูรู้ว่าควรจะทำยังไง นอกจากพูดหรือใส่เสื้อสีเหลือง ซึ่งก็ไม่ว่ากัน และเคยถามหลายคนว่า จะอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์มาได้ไหม คำตอบคือได้ ผมจะเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” เป็น Theme หนัง ว่าจะทำให้ดีที่สุด
ตอนนี้เขียนบทเสร็จแล้ว ต้องทำอะไรต่อไป
หวังว่าจะมีคนสนับสนุนสร้าง แต่ก็ลางเลือน เพราะเศรษฐิกิจตก อีกอย่างนายทุนสนใจแต่หนังผีกับหนังคาเฟ่ ผมก็เข้าใจเรื่องธุรกิจ จึงหวังว่าจะมีนายทุนที่มี Vision ทำหนังแหวกแนวออกไป
“The King’s Warriors” เป็นหนังแนวไหนคะ
ครบสูตรฮอลลีวูด คือแอ็คชั่น ความรัก โรแมนติค มีคอมเมดี้ผสม ถ้าจะให้พูดตรงประเด็นก็คือ แอ็คชั่นแฟนตาซี ผมว่าหนังแนวนี้เริ่มกลับมาแล้ว อย่าง Déjà vu บ้านเรามีเรื่องราวให้คนดูเข้าใจมีไม่กี่ทาง ถือว่า งานตรงนี้จะแปลกไปอีกแบบ อยู่ตรงกลาง
หนังเรื่องนี้ ใครควรไปดูบ้าง
ผมว่าคนไทยที่รักชาติทุกคนน่าจะอยากไปดู เป็นหนังที่พระเอกมีความมุ่งมั่นที่จะปราบผู้ร้าย ได้ไปเจอนางเอกที่บังเอิญมีอุดมการณ์เหมือนกันมาช่วยกัน มีตลกขำขันบ้าง เป็นภาพยนตร์ที่พระเอกมีความลึกซึ้งและเทิดทูนต่อในหลวงของเรา ผ่านแสดงออกของเขา
มีความตั้งใจจะฉายในต่างประเทศด้วยใช่ไหมคะ
คิดว่า ผมมั่นใจว่าจะทำการเล่าเรื่อง แม้ว่าจะมีพื้นฐานแบบไทยๆ แต่การดำเนินเรื่องจะเป็นสไตล์สากล ซึ่งผมโชคดีที่ได้มาเรียนและใช้ชีวิตที่นี่เกือบ 20 ปี จึงมีประสบการณ์และความเข้าใจในการเล่าเรื่อง ได้คลุกคลีกับเพื่อนๆที่เป็นผู้กำกับ เชื่อว่า คนไทยทุกรัฐน่าจะมีโอกาสได้ดูกัน
หากได้ทุนแล้ว คาดว่าจะใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะได้ชมผลงานกัน
เป็นเรื่องที่ยาก แต่คาดว่า คงจะประมาณหนึ่งปี การสร้างหนังให้ดี ต้องใช้เวลา ไม่มี Shortcut ผมว่ายังทันที่จะเฉลิมฉลอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในปีของการเฉลิมฉลอง ดูเมื่อไรก็ได้
อยากฝากอะไรถึงคนไทยที่นี่บ้างกับผลงานชิ้นนี้
คนไทยที่นี่ถ้าช่วยกันคนละสองเหรียญฯ ก็สามารถเป็นผลงานชิ้นเอกของคนที่นี่ รายได้จะนำทูลเกล้าฯถวายในหลวง เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เป็นจริงและจับต้องได้ งานตรงนี้เป็นโปรเจคอุดมการณ์ ผมไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ แต่ถ้านายทุนอยากได้เงินคืนก็ไม่เป็นไร หักค่าใช้จ่ายคืนไป แต่ส่วนที่เป็นกำไรต้องนำทูลเกล้าฯถวาย หากใครมีอุดมการณ์ตรงนี้ก็ร่วมงานกันได้ แต่ถ้าจะเอากำไรก็ไม่เอาเหมือนกัน เพราะนี่คือความมุ่งมั่นของผม ถ้าเรื่องอื่นอยากทำเพื่อเอากำไรค่อยมาว่ากัน หวังว่าคงจะมีคนอุดมการณ์เดียวกัน
อ่านแล้ว คนที่จะตัดสินใจว่าจะร่วมแรงร่วมใจกัน สานฝันโปรเจคนี้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ คิดว่า คำตอบคงอยู่ในใจของคุณแล้ว