Monday 13 August 2007

จิกกบาลนักตัดต่อมืออาชีพแห่ง Endrophine

จิกกบาลนักตัดต่อมืออาชีพแห่ง Endrophine

Date : 19:11:02 By : HardcoreGraphic
เดือนที่แล้วทีมงานไม่ได้จับใครมากระชากตับ เนื่องจากติดขัดเรื่องเวลาที่ไม่ลงตัวเลยต้องผลัดมาเดือนนี้แทน แต่ใช่ว่าความดุเดือด และความมันส์ หาได้ลดลงไม่ กลับประจุและเดือดยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ เมื่องวดนี้เราได้ทีจิกกบาล นักตัดต่อมืออาชีพที่มีผลงานมามากมาย และน่าจับตาเป็นอย่างยิ่งในวงการตัดต่อบ้านเรา จากค่าย Endrophine ฟังชื่อแล้วอาจยังไม่คุ้นหูเท่าไหร่นัก แต่รับรองว่าอีกไม่นานพวกเขาจะก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของเมืองไทยในอนาคตอย่างแน่นอน (แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) ใครที่มีความสนใจเรื่องงานตัดต่อ คราวนี้คงสมอารมณ์หมายเป็นแน่แท้บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอให้ท่านอ่านบทสัมภาษณ์จากเรากันได้แล้วครับ สวัสดีครับ อยากให้คุณแนะนำตัวเองก่อนเลยชื่อดีแสง รัชตวงศ์พิพัฒน์ ครับ ชื่อเล่นชื่อ บอย อายุ 27 จบนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา ม.เกษมบัณฑิตอาชีพปัจจุบัน Editor หรือ ช่างตัดต่อ ทำไมถึงมาเป็น Endrophine แปลว่าอะไรEndrophine เป็นสารที่สมองหลั่งออกมาเมื่อเวลาที่มนุษย์มีความสุข สดชื่น หรือดีใจ เลยเป็นที่มาของชื่อบริษัท ที่ต้องการผลิตงานที่สามารถสร้างสาร Endrophine ให้เกิดแก่ทุกคน ก่อนหน้านี้ทำอะไรมาก่อน ว่ามาเลยดีกว่าก็เคยเกเรมาพักใหญ่ ทำงานมาหลายอย่าง เป็นเด็กเสริฟ RCA ยุคแรกๆ เคยขายเครื่องเสียง ขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ จุกจิกร้อยกระเป๋าลูกปัดขายก็เคย เปิดท้ายขายของ โอ๊ย เยอะแยะครับ แต่ตอนที่ทำให้ชีวิตหักเหก็คือ ตอนขายเครื่องเสียง เงินเดือน5500 ไม่พอใช้ ก็อยากจะกลับมาเรียนหนังสือ จะได้ไม่ต้องหาเงินเอง แบมือขอเงินที่บ้าน ไม่เหนื่อยด้วยพอเข้าเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ ตอนแรกกะเรียนแค่เอาปริญญาเพื่อเพิ่มเงินเดือน แต่พอมาเจอเพื่อนคนนึง (เจ้าของเวปนี่แหละ)มันชอบคุยข่มผมเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ผมเป็นคนไม่ยอมใครซะด้วยซิ) ผมก็เริ่มหาความรู้ เรื่องคอมฯ โดยเฉพาะวิขาที่เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์กราฟฟิค แล้วพอเรียนจบ รุ่นพี่ก็ชวนไปทำงานเป็นพนักงานกราฟฟิค ในห้องตัดต่อ ทำอยู่สักพักคนไม่พอก็เลยต้อง ขึ้นมาตัดงานรายการโทรทัศน์ มีพี่ที่เก่งๆสอนมาเรื่อยๆ ลักจำบ้างก็มีจนพัฒนาได้มาตัด MV. แล้วก็ลาออกมาทำเองนี่แหละครับ ที่บริษัทมีให้บริการอะไรบ้าง ราคาห้องตัดคิดยังไงบริการห้องสำหรับตัดต่อ ระบบ Non-Linier สำหรับงานโทรทัศน์ทุกอย่าง เช่น มิวสิควีดีโอ รายการโทรทัศน์ วีดีโอพรีเซนเทชั่น ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่ที่ผมตัดจะเป็นมิวสิควีดีโอครับ ส่วนราคา ก็คิดเป็นชั่วโมงๆ ละ 850 หรือ จะเหมาเป็นคิวก็คิวละ 10,000 (10.00 น.-24.00 น.) งานส่วนใหญ่ก็จะคิดเป็นคิวมากกว่า อาชีพตัดต่อนี่ยากมั้ย เห็นเด็กใจแตกหลายคนอยากซะเหลือเกินจะว่ายาก ก็ไม่ได้ยากถึงขนาดที่จะทำไม่ได้นะครับ แต่ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน เพราะการตัดต่อ ถ้าจะให้ดีก็จะต้องมีพื้นฐานเป็นปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น พื้นฐานความเข้าใจใน Soft were และ Hardware คอมพิวเตอร์ และ การใช้โปรแกรมกราฟฟิคต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบในการตัดต่อ ถ้าไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้บ้างก็คงจะลำบากหน่อยคนที่คิดจะตัดต่อส่วนมากก็จะต้องเริ่มมาจากการทำกราฟฟิคพวกตัวหนังสือ ภาพนิ่งประกอบ ฯลฯ ให้รายการโทรทัศน์ซึ่งผมว่ามันเป็น พื้นฐานของงานด้านนี้เลยนะครับ เพราะจะได้รู้หลักและขั้นตอนเบื้องต้นในการผลิตงาน ต่อมาค่อยเรียนรู้โปรแกรมในการตัดต่อ ซึ่งก็มีอยู่หลายโปรแกรม ก็ต้องแล้วแต่ความชอบ โอกาส และความถนัดของแต่ละคนจากนั้นก็เรียนรู้ในเรื่องการเลือกภาพ ลำดับภาพ ดูจังหวะในการต่อภาพให้ดูลื่นไหล ไม่ขัดหูขัดตาคนดู ก็จะต้องเริ่มจากการตัด รายการโทรทัศน์ เพราะเป็นการเล่าเรื่องราว ตัดตามสคริปต์ที่ให้มา มีการตัดที่ไม่ซับซ้อนมาก จากนั้นถ้ามีฝีมือ มีโอกาสก็จะมีทางเลือกในการตัดงานอื่นเข้ามาเอง และคนที่จะทำงานด้านนี้จะต้อง มีความอดทน อดหลับอดนอน สามารถทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี (เวลาเจอลูกค้าที่เข้าใจไม่ตรงกับเรา) ไม่เบื่อง่ายเพราะเราจะต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน (เป็นบางงาน แต่ถ้างานเยอะก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน 2-3 วันก็มี)ถ้ามีแฟนก็ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าช่างตัดต่อเนี่ยไม่ค่อยจะมีเวลาให้นะจ้ะ ส่วนใหญ่คนทำงานด้านนี้จะไม่ค่อยมีแฟน ถึงมีก็จะคบได้ไม่ค่อยนานเพราะสาเหตุนี้แหละครับ วิธีแก้ก็จะต้องมีแฟนที่เข้าใจ(ไม่ค่อยจะมี) หรือทำงานด้านเดียวกันไปเลย จะได้ เข้าใจกับว่างานด้านนี้มันหาเวลาส่วนตัวไม่ค่อยจะได้ โปรแกรมอะไรบ้างที่จำเป็นโปรแกรมกราฟฟิคต่างๆ ที่จำเป็นมากก็ PhotoShop เป็นโปรแกรมเบื้องต้นที่จะต้องรู้ ถึงทำไม่เป็นแต่ก็ต้องรู้ว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้าใช้ให้เป็น และคล่องมากได้ยิ่งดี เวลาทำงานเราจะสามารถทำเองได้อย่างที่ใจต้องการ หรือเมื่อเราทำงานตามห้องตัดต่างๆ ที่มีพนักงานกราฟฟิคต่างหาก เราจะสามารถบอกได้ว่าต้องการอะไร อย่างไรซึ่งมันจะต้องประกอบกันงานตัดต่อก็จะต้องมีกราฟฟิคเพื่อความสวยงาม แต่ช่างตัดต่อไม่รู้กราฟฟิค ไม่รู้โปรแกรมทำไม่เป็นก็มีนะครับมันก็ได้ แต่บางทีมันก็จะทำให้มีปัญหา เช่น ช่างตัดต่ออยากได้กราฟฟิคแบบนี้ บางทีคนทำกราฟฟิคก็ทำไม่ได้ ก็เพราะช่างตัดต่อไม่รู้ขั้นตอน หรือ วิธีการทำนั่นเอง ก็จะต้องแก้ปัญหาโดยการใช้วิธีอื่นไป อาจทำให้งานออกมา ไม่ดีเท่าที่ตั้งใจไว้แต่แรกแต่ผมคิดว่าตอนนี้ถ้าน้องๆหรือคนที่จะเริ่ม ก็ควรจะเริ่มจากการศึกษาโปรแกรมกราฟฟิคพวกนี้ก่อน ก็ไม่เสียหาย ถ้าเราเป็นทำได้ทุกอย่าง งานทุกอย่างสามารถจบได้ที่เรา ก็จะเป็นข้อได้เปรียบของเรา งานออกมาก็จะดูสมบูรณ์มากกว่า และก็โปรแกรมตัดต่อต่างๆ มีหลายโปรแกรมให้เลือก เช่น Speed Razer, Adobe Premire, Insite, Media 100,Final Cut Pro, Avid Media Composer และยังมีอีกมากครับ
แล้วเครื่องที่ใช้ สเป๊คต้องเท่าไหร่ ถึงจะใช้งานด้านตัดต่อได้ดีMainborad ดีๆ ซักตัว, CPU ถ้าให้ดีก็เป็น Pentiums 4, Ram ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะจะช่วยในการ Render Hard disk (สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้) 80 GB ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับ Footage(เนื้องานที่จะนำมาตัด) ที่จะใช้ในการตัด การ์ดตัดต่อแล้วแต่รุ่นและงบประมาณ โปรแกรมที่ใช้ ตามความถนัด และประเภทของงาน สเปคที่บอกมานี้ เป็นเครื่องสำหรับใช้งานในระดับ Off-line (งานที่มีความคมชัดของภาพในระดับ ที่พอใช้งานได้)แต่ถ้าพูดถึงเครื่องตัดต่อที่ใช้กับงานโฆษณาที่มีงบประมาณสูง หรืองานที่ต้องการความคมชัดของภาพสูง ก็จะเป็นเครื่องตัดที่อยู่ในอีกระดับหนึ่ง คือระดับ ON-LINE โปรแกรมและการ์ดที่ใช้จะอยู่ในขั้น Professtional มีหลายโปรแกรมอีกเหมือนกัน แต่ที่บ้านเราส่วนใหญ่ใช้ในขณะนี้ คือ Avid Media Composer ซึ่งมีราคาสูงมาก รุ่นใหม่ๆ ราคาเป็นสิบล้านเลยครับ
งานไหนที่คุณบอยคิดว่าดีที่สุด ตั้งแต่รับงานมางานที่ผมตัด ผมขอเข้าข้างตัวเองว่าดีทั้งหมดเลย ไม่มีดีที่สุด เพราะถ้ามันสุดแล้วมันก็จะไม่มีดีขึ้นไปอีกเอาเป็นงานที่ผมรู้สึก ภูมิใจที่สุดแล้วกัน คิดว่าเป็น MV.เพลง Deep ของ Binocular เพราะ Footage ที่ให้ผมตัดเนี่ยเป็นสกู๊ปสัมภาษณ์นักร้องที่มีความยาว 4.17นาที แล้วเพลงนี้ยาว 4.21 นาที ผมต้องแก้ปัญหาในการตัดให้ดูไม่รู้ว่า เนี่ย!!มันไม่มีภาพ ไม่มี…อะไรเลย ไม่ได้ถ่ายอะไรมาเลยนะ แถมภาพยังไม่พอกับเพลงอีกแต่ต้องตัดให้ดูไม่น่าเบื่อ ตอนที่ผมตัด เห็น Footage ครั้งแรกผมเครียดมาก แต่พอมันเสร็จออกมาแล้วผมก็รู้สึกดี เป็นเพราะเพลงเพราะด้วย แล้วผมก็ตัดตั้งแต่เพลงยังไม่ดัง ไม่มีใครรู้จัก ประมาณปีที่แล้วพอเพลงนี้ดังเพราะเป็น เพลงประกอบระบบโทรศัพท์ ยี่ห้อหนึ่งขึ้นมา ผมก็ยิ่งประทับใจขึ้นไปอีก ว่าเฮ้ย!! เพลงนี้กูตัด MV. เลยนะเว้ย ใครไม่รู้ก็คิดว่าเป็นของเมืองนอก ก็เลยภูมิใจครับ
คิดว่างานประเภทไหนยากที่สุด ลองอธิบายงานที่ยากที่สุดคงเป็นโฆษณาครับ เพราะเราต้องลำดับภาพเล่าเรื่องให้คนดูเข้าใจได้ภายในเวลา 15-30 วินาที เวลาถ่ายโฆษณาเพื่อมาตัดต่อ เขาถ่ายกันเป็นสิบๆเทค สิบๆ ช๊อท ความยาวเป็นชั่วโมงๆ แต่เราต้องมาเลือก เพื่อเล่าเรื่องให้ได้ใจความ กระชับ ภาพสวยงาม ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที คิดว่ายากไหมล่ะครับรายได้ปัจจุบันถือว่าโอเคมั้ยก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง แต่กว่าที่จะได้มา เราก็ต้องเหนื่อยมากกว่าปกติ เพราะเราทำเองคนเดียวทุกอย่าง ไม่ได้จ้างใคร ทุกอย่างจบที่เรา ก็เลยหนักพอสมควร เวลาส่วนตัวไม่ค่อยมี แต่เมื่องานเสร็จแล้วเราได้ดูงานที่เราตัด ON AIR แล้ว ก็หายเหนื่อย คิดว่าคู่แข่งงานด้านนี้เป็นยังไง มีการแข่งขันกันดุเดือด เลือดพล่าน แค่ไหนคู่แข่งของคนทำอาชีพนี้ไม่มีนะครับ ส่วนมากก็จะรู้จักกันเกือบหมดแหละครับ ถ้าไม่รู้จักก็จะเป็นประเภท เราเป็นเพื่อนกับEditor คนนี้ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ รู้จักกับ Editor คนนั้น แล้วคนนั้นกับเราก็เคยเจอกัน ไปๆมาๆก็จะรู้จัก หรือได้ยินชื่อกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะวงการด้านนี้มันแคบครับ Editor ส่วนมากก็จะช่วยเหลือกันแลกเปลี่ยนความรู้ หรือข่าวสารในแวดวงของเรากันตลอด จะมีการแข่งขันก็จะแข่งขันในด้านราคาห้องตัดมากกว่าว่าที่ไหนถูกกว่ากัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่บริการและ Editor ที่ทำงานอยู่ที่ห้องตัดนั้นๆ ว่ามีฝีมือถูกใจลูกค้าแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้า ประจำเพราะติดใจในฝีมือ Editor น่ะครับ เรื่องราคาก็เป็นเรื่องรอง เพราะว่าบางทีเป็นลูกค้าประจำ ราคาก็ต่อรองได้อีก มองภาพงาน Production House เมืองไทยเป็นอย่างไรบ้างครับดีครับ ในระดับที่ศักยภาพของเศรษฐกิจและคุณภาพของคนประเทศเราตอนนี้ก็ต้องถือว่าดี พัฒนากว่าแต่ก่อนเยอะมาก ดูงาน MV. หรือโฆษณา หลายๆตัวตอนนี้ ก็เจ๋งจริงๆครับ ทั้งกราฟฟิค หรือไอเดีย ซึ่งเราก็ต้องดูอย่างยอมรับตามสภาพ ความเป็นจริงของเรานะครับ อย่าไปเปรียบเทียบกับเมืองนอกให้รู้สึกว่าของบ้านเราห่วย ไม่เก่ง สู้เมืองนอกไม่ได้ แต่ต้องเปรียบเทียบให้เราอยากพัฒนาให้เทียบเท่าเขาได้ในราคาที่ถูกกว่า จ่ายแพงกว่าทำไมละครับ คิดว่างานบ้านเราสู้เมืองนอกได้มั้ยถ้าจะให้ผมยกตัวอย่าง เพื่อเห็นได้ชัดเจน ก็คงต้องเป็น MV. ผมคิดว่างานบ้านเราสามารถสู้ได้นะครับ แต่มีข้อแม้ว่าให้งบประมาณในด้าน Production และค่าทำ CG เท่ากันนะครับ ที่ทุกวันนี้งานบ้านเราดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรสู้เมืองนอกได้ เราต้องเข้าใจว่า งบประมาณของเราไม่เท่ากับเขา บ้านเราตัวนึงมีงบ แสนสองแสน นี่คือเยอะมากแล้วนะครับ บางตัวไม่ถึงก็มี แต่เมืองนอกงบเขามีเป็นล้าน บางตัวที่มี CG -3D Animation เยอะๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลายล้านเหมือนกันครับ ล้านดอลล่าห์นะครับ ซึ่งทำให้มันเปรียบ เทียบกันไม่ได้ตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเราก็อย่างที่ทราบกันอยู่ แล้วอีกอย่างที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้สึกนั่นก็คือ เรื่องเทปผี ซีดีเถื่อน ซึ่งมันก็มีผลกระทบ ต่อเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ยอดขายลดลง ค่ายเพลง ก็มีกำไรน้อยลง ทำให้งบในการโปรโมท ทำ MV. ก็ต้อง น้อยตามไปด้วยมันก็ส่งผลกันมาเป็นทอดๆนะครับ นอกเรื่องไปนิดนึง ขอโทษด้วยครับแต่มันอดไม่ได้ ถ้าคนที่คิดจะเปิดบริษัท Production House คิดว่าต้นทุนสูงมั้ย และ ต้องจ้างใครบ้างต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า ในส่วนของผมที่เป็นช่างตัดต่อเนี่ย จะเป็นส่วนของ Post Production ก็คืออยู่ในขั้นตอนสุดท้ายหรือเกือบจะสุดท้ายของงานนั้นๆ ไม่ใช่ Production House เพื่อความเข้าใจผมขอยกตัวอย่าง เช่น คุณคือลูกค้า ต้องการทำโฆษณา 1 ตัว ลำดับแรกของการผลิตงานโฆษณาตัวนี้ก็คือ Agency หรือบริษัทที่รับทำงานโฆษณา Agency ก็จะคิดงานโฆษณาขายให้คุณ เป็น Story Board เป็นเรื่องราวให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนของ Production House ซึ่ง Agency ก็จะจ้าง บริษัท Production House ให้ถ่ายทำหนังโฆษณา หลังจากนั้น ก็จะมาใช้บริการผมซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย คือ Post Production ก็คือการตัดต่อลำดับภาพจนเสร็จเป็นโฆษณาหรือ MV. ที่คุณเห็นนั่นเอง แต่ถ้ามี CG Effect มากๆก็จะไปจบที่บริษัททำกราฟฟิค CG -Effect โดยเฉพาะส่วนคนที่คิดจะเปิดบริษัท Production House ผมก็ไม่ทราบว่าต้องใช้ทุนเท่าไหร่ แต่คุณก็จะต้องจ้าง ครีเอทีฟ โปรดิวเซอร์ AEสไตลิสต์ ตากล้อง ช่างภาพ ผู้กำกับ ฯลฯ ถ้าในส่วนของผมที่เป็น Post Production ก็แล้วแต่ระดับของงานที่คุณ จะรับทำล่ะครับ ว่าจะเปิดห้องตัดในระดับธรรมดาตัดงานรายการทั่วไป ต้นทุนก็อย่างที่บอกข้างต้น ในเรื่องของสเปคเครื่อง ภายในห้องตัดคุณก็ธรรมดาก็ได้ไม่ต้องตกแต่งมาก หรือ ระดับงานโฆษณา ที่มีลูกค้าเป็น Agency ห้องของคุณก็จะต้องดูดีหน่อย เพื่อรองรับลูกค้าที่จะ ต้องมาดูงานขายงานกัน เครื่องก็ต้องมีคุณภาพสูงตามไปด้วยฉะนั้นเงินลงทุนก็ต้องขึ้นอยู่กับประเภทของห้องและงานที่คุณจะรับแล้วล่ะครับ งานด้านนี้ก็จะต้องมีช่างตัดต่อ และคนทำกราฟฟิคครับ ถ้าทำได้คนเดียวก็ไม่ต้องจ้างครับ ถ้าเป็นห้องตัดใหญ่ๆ นอกจากช่างตัดต่อคนทำกราฟฟิค ก็ต้องมีคนดูแล ลูกค้า คนดูแลเครื่อง คนดูระบบคอมพิวเตอร์ แม่บ้าน อะไรทำนองนี้ครับ ถ้าลองให้คะแนนความสามารถตัวคุณเองในอาชีพคุณ เต็ม 10 คุณจะให้เท่าไหร่ให้ 9 ครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง ส่วนอีก 1 ที่ไม่ให้เต็ม เผื่อเอาไว้เป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง พยายามให้ถึง 10 ครับ งานจะได้พัฒนาเรื่อยๆ แล้วถ้าเลือกเกิดได้คุณอยากเกิดเป็นอะไร เผื่อมีพวกโรคจิตอยากรู้อยากเกิดเป็นคนที่รู้จักพอครับ จะได้ทำงานอะไรก็ได้ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายมาก ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนทุกวันนี้ อยากให้ฝากถึงพ่อแก้วแม่แก้ว เอ๊ย...ฝากถึงคนที่อยากจะเข้าสู่วงการนี้หน่อย ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก็เตรียมอย่างที่ผมพูดมาแล้วทั้งหมดนะครับ ใจผมอยากให้มีคนตัดต่อเก่งๆเยอะๆนะครับ เพราะจะทำให้มีการแข่งขัน งานบ้านเรา ก็จะพัฒนายิ่งขึ้น ผมก็จะได้ไม่หยุดอยู่กับที่เพราะกลัวโดนแซงครับ แฮ่ แฮ่...

ที่มาของ Link: http://www.hardcoregraphic.com/html/articles/interview/interview_endrophine.htm