Monday 13 August 2007

เลือดใหม่ผู้กำกับฯละครไทย

สันต์ ศรีแก้วหล่อ เลือดใหม่ผู้กำกับฯละครไทย
INTERVIEW WITH DIRECTOR สันต์ ศรีแก้วหล่อ เลือดใหม่ผู้กำกับฯ ละครไทย เตรียมส่ง ลิขิตรักลิขิตเลือด เขย่าเรตติ้ง ใครที่ชอบละครเรื่อง แก้วลืมคอน หรือเลือดขัตติยา ของเอ็กแซกต์ คงคุ้นชื่อ สันต์ ศรีแก้วหล่อ เพราะเขาคือผู้กำกับที่สร้างสรรค์ละครเหล่านี้ให้ตราตรึงใจผู้ชม ในอดีตเขาคือ หนึ่งในทีมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ฉบับของแกรมมี่ฟิล์มที่มีเบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย แสดงนำ จากนั้นเขาก็ทำงานในสังกัดแกรมมี่มาตลอดอาทิ เป็นผู้ช่วยผู้กำกับเรื่องจักรยานสีแดง,อันดาฟ้าใส,โอ เน็กกาทีฟ,กำแพง,ยุวชนทหาร เขายังได้มีโอกาสร่วมงานกับคิง สมจริง ศรีสุภาพ ในภาพยนตร์เรื่อง แม่เบี้ย ฉบับ ที่มะหมี่ นภคประภา แสดงนำ และยังมีส่วนช่วยกำกับงานหนังเรื่อง ซาไกยูไนเต็ด ของอาร์เอส ฟิล์ม ล่าสุดเขายังฝากผลงานผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องไอ้ฟักด้วย แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังทำงานละครหลายต่อหลายเรื่อง จนกลายเป็นเลือดใหม่ในวงการบันเทิงที่มีแฟนละครติดตามอย่างเหนียวแน่น บันเทิงวันหยุด เจาะสัมภาษณ์ สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับละครเลือดใหม่ ที่กำลังมีผลงานเรื่อง ลิขิตรักลิขิตเลือด ถึงเส้นทางอาชีพและทัศนคติหลายอย่างอันส่งผลต่อการทำงานที่มีคุณภาพของเขา
มาทำละครได้ยังไง มีช่วงหนึ่งทำหนังแล้วออกจากแกรมมี่ฟิล์มไป พอดีได้คุยกับทางบริษัททูแฮนด์ ( ผลิตละครในฝัน ทางโมเดิร์นไนน์ ) ผมได้งานโปรดิวซ์ กับทาง บ.ทูแฮนด์ แล้วเขาก็ให้ผมกำกับละครเรื่อง หน้าต่างบานแรก ทางไอทีวี เขาเห็นว่าจากเป็นผู้ช่วย ฯ เป็นโปรดิวเซอร์ แล้วน่าจะกำกับฯ ได้ จริง ๆผมรู้จักกับพี่ป้อน นิพนธ์ ผิวเณร ( ผู้กำกับละครในเอกแซกซ์ ) อยู่แล้วเพราะผมเคยเป็นผู้ช่วยพี่ป้อนในตอนทำหนังเรื่องจักรยานสีแดง พี่ป้อนก็ชวนมากำกับที่เอ็กแซ็ก เรื่องแรกก็เป็นละครเรื่อง ฟ้าเพียงดิน
มุมมองหรือเทคนิคอะไรที่เราต้องศึกษาเพิ่มขึ้นสำหรับงานละคร อันดับแรกเลยก็งง ๆ เพราะหนัง ถ่ายกล้องเดียว ละครถ่าย 3 กล้อง วิธีการสวิชต์ และวิธีการทำงานโดยภาพรวมคล้ายกัน แต่โดยส่วนตัวในการทำหนังมันละเอียดกว่า มันมีความต้องการชัดเจนที่สูงกว่า แต่ละครมีความต้องการและชัดเจนอยู่ระดับหนึ่ง มันพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้ตลอดเวลา คือบางทีมันมีปัญหาที่เราคาดไม่ถึง ในเชิงการทำละครเราก็เลยเปลี่ยนหัวของเราว่าออกกองหนังเราต้องเป๊ะ ๆ ออกกองละครเราก็ต้องเป๊ะเหมือนกันแต่เราก็พร้อมที่จะยืดหยุ่นได้บ้าง แต่ผมจะทำแบบนี้ให้น้อยเพราะการยืดหยุ่นมันจะกระทบต่องาน แล้วก็การถ่ายหนังที่ถ่ายกล้องเดียวเราก็จะดูทีละตัว แต่พอเป็นละครปุ๊บเนี้ยเหมือนเราดูทั้งซีน เราดูไปทั้งซีนพอมันสวิชต์ แล้วตัดได้ช่วงแรกก็มีปัญหาหน่อย ว่าตัดจังหวะนี้ดีไหม ตัดตรงนี้ถูกไหม ก็จะเป็นต้องเรียนรู้ คือผมว่ามันเป็นประสบการณ์มากกว่า เป็นประสบการณ์จากการทำหนัง เป็นประสบการณ์จากการดูหนัง ประสบการณ์จากการดูละคร แล้วก็รวม ๆ กัน แล้วนำไปใช้ครับ มีคำกล่าวว่าละครแบบเอ็กเซ็กจะมีลักษณะเฉพาะ คิดเห็นอย่างไร ไม่มีอะไร เวลาจะทำสักเรื่องหนึ่ง มันจะเกิดกับว่าเราจะคุยกับพี่ป้อน กับคุณบอย ( ถกลเกียรติ วีระวรรณ ) ว่า สมมุติมันมี 3 เรื่อง ว่าเรื่องนี้มันอย่างนี้ ๆ แล้วชอบเรื่องไหน ผมชอบเรื่องนี้ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปทำ ในช่วงแรก ๆ ของการทำฟ้าเพียงดิน มันก็จะมีการคุยกันอย่างละเอียดหน่อย ว่าฟ้าเพียงดินมีอะไรที่ต้องอ้างถึง แล้วก็ต้องตกลงกันให้ชัดในตอนต้นแล้วก็ไปทำ พอทำแล้วเห็นงานปุ๊บ แล้วเรื่องต่อ ๆ มาก็ไม่ต้องคุยกันแล้วเพียงแต่บอกว่าเอาเรื่องแล้วเราก็ไปทำ คำว่าละครแบบเอ็กเซ็กในความคิดของผมว่ามันเป็นคำในอดีตมากกว่า คือละครรายอื่น ๆ เขาสนใจโปรดักชั่นน้อย แต่เอ็กแซ็กสนใจโปรดักชั่นมากมันก็เลยมีคำว่าละครแบบเอ็กเซ็กเกิดขึ้น ในสมัยก่อนที่มีบัลลังเมฆ แต่พอปัจจุบันนี้มันเท่ากันหมดแล้ว ทุกบริษัทก็สนใจโปรดักชั่นเหมือนกัน มันต้องเล่าเรื่องให้สนุก มันก็เลยเหมือนกับว่าคำว่าละครเอ็กเซ็กมันก็เหมือนกับละครที่อื่นเท่านั้นเอง ซึ่งคำว่าละครเอ็กเซ็กอาจจะเหมือนละครนางบาป ที่สนุก ๆ หรือโปรดักชั่นดี ๆ ก็ได้ คำว่าเอ็กเซ็กอาจจะเป็นอะไรไม่รู้สักอย่างหนึ่ง ที่มันสนุก ดี ๆ ผมว่ามันเหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเอ็กเซ็กทำละครแนวเอ็กชั่นออกมาเลย ผมว่าที่คุย ๆ กันแล้วนี้บางทีคำว่าเอ็กชั่นล้วน ๆ มันเอาคนดูไม่อยู่ คนดูไม่ได้สนุกกับแอ็กชั่นจริง ๆ แต่คนดูมันสนุกว่าเอ๊ะมันเล่าเรื่องอะไร คนนี้มีความขัดแย้งกับคนนี้ ส่งผลให้ไม่รักกัน คิดว่าคนดูสนใจชีวิตตัวละครมากกว่า โป้งป้าง ถึงมีบ้างแต่น้อย อย่างละครที่ผมทำก็คือลิขิตรัก ลิขิตเลือด เป็นดราม่าเอ็กชั่น เป็นเรื่องของพี่น้องฝาแฝดที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เอ็กชั่นก็ ห้าสิบ ๆ คือเรื่องรักกับเรื่องเอ็กชั่นมันไปด้วยกัน มันเป็นปฏิบัติการของพระเอก ระหว่างเอ็กชั่นกับความรัก ผมรู้สึกว่าละครสำคัญที่สุดคือ 1.บท 2.นักแสดง ผู้กำกับเป็นอันดับรองลงมา มันอยู่ที่บทกับนักแสดงมากกว่า ผู้กำกับไม่ต้องเก่ง นักแสดงที่ดีบางทีก็เอาอยู่นะ แต่ถ้าผู้กำกับเก่งมากบทไม่ได้เรื่อง นักแสดงไม่ได้เรื่องละครก็ไม่มีความหมาย ในความเชื่อของผม เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว ละครมันเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว สมมุติว่าเราเขียนบทมาว่ามันอยู่ในโต๊ะกินข้าว คุยกันประชดประชันกัน ซึ่งแบบนี้มันมีในละครทุกเรื่อง นักแสดงทุกคนก็เคยผ่านฉากแบบนี้มาแล้ว บางทีก็รู้กันอยู่แล้วว่า อ๋อมันต้องเล่นแบบนี้ แต่ซึ่งถ้าบทคุณเขียนดียังไงก็เอาอยู่ ผู้กำกับแค่มาเติมลีลา แต่ในความเชื่อของผมบทกับนักแสดงสำคัญสุด คิดเห็นอย่างไรกับคำว่าละครเน่ากับไม่เน่า ผมว่าในความคิดของผมไอ้คำว่าน้ำเน่าเนี้ย 1.คือแทบจะเชื่อไม่ได้ไม่มีเหตุผลที่จะเป็นอย่างนั้น แต่คนทำรู้สึกว่าเป็นอย่างนี้แล้วสนุก แล้วคนดูจะชอบแล้วก็เลยทำแบบนี้ แต่บางทีพอคิดไปอย่างนี้มันก็ไม่มีเหตุผลสนับสนุนให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ เช่น ซีนนี้มันตบกันแล้วสนุกแต่ถ้าไม่มีเหตุผลมันก็น้ำเน่า ในความรู้สึกผมไอ้คำว่าน้ำเน่ามันเชื่อไม่ได้ มันเกินชีวิตมนุษย์จะเป็น อย่างเรื่องแม่อายสะอื้นมันก็ต้องมีผู้หญิงในโลกสักคนที่เป็นแบบนี้ แต่พอเราหยิบมาใช้ก็รู้สึกว่ามันรันทดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ถ้าถามว่าเน่ามั้ย มันก็ไม่เน่า ปีนี้ เอ็กเซ็กมีละครอะไรมาชิงเร็ตติ้งบ้าง ถ้าถามจริง ๆ แล้วแต่ละเรื่องที่ทางพี่ป้อนทำในปีนี้มันล้วนแล้วจะเป็นเรื่องที่คาดหวังทุกเรื่อง เพราะละครที่ทำออกไปยังไงก็เป็นธุรกิจอยากให้มีโฆษณา ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกทุกเรื่องที่จะลงทุนกับโปรดักชั่น เท่าที่จำได้หลังจากหงส์เหนือมังกร,ตะวันตัดบูรพา ละครเอ็กเซ็กที่เล่าแบบนี้มันน้อย ก็เลยคิดทำกันในเรื่องนี้ อยากให้เล่าเรื่องขบวนการผลิตละครหน่อยครับ เพื่อเป็นความรู้สำหรับนักศึกษาที่สนใจงานด้านนี้ สมมุติว่ามีบทมาแล้วเรียบร้อย อันดับแรกเลยก็เอาบทมาอ่านแล้วคุยกับทีมงาน ถึงขั้นตอน ถึงเรื่อง ตีความกันไปเลย ว่าอันนี้คิดแบบนี้ อันนี้คิดแบบนั้น แล้วก็เล่าเรื่องให้ทีมงานฟังแบบนิทาน อันนี้คือขั้นที่หนึ่ง และทีมงานเขาจะมีโจทย์ของเขา เขาก็เอาโจทย์ที่เราเล่าไปเมื่อกี้ไปเตรียมในเชิงกว้าง ๆ ก่อน เช่น สถานที่ ทุกคนจะรู้ว่าจะทำอะไร ดาราก็จะได้บทแล้วทุกคน ขั้นที่สอง แล้วทีมงานแต่ละฝ่ายก็ไปเตรียมงานของตัวเองในเชิงคอนเซ็ปต์ ว่าเสื้อผ้าในเรื่องมันเป็นสไตล์แบบนี้เขาก็จะไปเตรียม แล้วก็จะคุยกันว่าเอาโปรดักชั่นดีไซน์ประมาณนี้นะ แล้วก็มาขายงานกัน พอเราได้ว่าเราจะทำแบบไหน อันดับต่อไปก็จะทำนักแสดงมาลองใส่เสื้อผ้าที่เราเตรียมไว้ว่ามันสวยไหมมันหล่อไหม พร้อมกับผู้กำกับก็จะไปกำกับนักแสดง ในบางฉากให้ดู ให้นักแสดงลองเล่นดู มาปรับทัศนคติกันดูว่ามันเป็นอย่างไง จะเตรียมตัวนักแสดงเบื้องต้นเพื่อจะไปกองถ่าย อันดับต่อไปก็จะเป็นเรื่อง การที่จะต้องไปออกกองรายวัน ก็คือ ทำคือจะทำคิวถ่ายออกมาว่าคิวจะเป็นอย่างไง จะคล้าย ๆ หนัง มีการทำเบรกดาวน์ เหมือนการถ่ายหนัง แต่ม่เจาะจงมากกว่า อย่างเช่นซีนไหนสำคัญผมก็จะพาทีมงานไปดูว่าผมจะถ่ายแบบนี้ จะเดินพาทีมงานไป พอกลับไปก็จะมาคุยกันว่าต้องการอะไรบ้างในรายละเอียด แล้วเราก็เตรียมที่จะออกกอง วิธีการทำงานมันก็จะคล้ายหนัง คิดว่าละครไทยให้อะไรกับคนไทยบ้าง คือในเชิงการทำงานของผมเอง เวลาผมทำละครแต่ละเรื่อง เมื่อได้โจทย์มาว่าผมจะได้ทำละครเรื่องนี้ปุ๊บ ผมจะหาให้เจอก่อนว่าแก่นของเรื่องคืออะไร และพอหาเจอปุ๊บ ไอ้สิ่งเหล่านี้มันจะซ่อนอยู่ในการเล่าเรื่อง ที่ผมจะเล่าไปตลอดจนจบเรื่องไม่ว่าจะ 20 หรือ 30 ตอน แต่ว่าคนดูจะรับทราบตรงนี้ไหม จริง ๆ แล้วมันก็เป็นความคาดหวัง แต่ในเชิงการรับผิดชอบผมเชื่อว่าผู้จัดหรือผู้กำกับทุกคนจะไม่ทำอะไรที่มันเลวร้ายสำหรับเด็กและเยาวชน ถ้าผมจะเล่าว่าเรื่องนี้ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผมก็ต้องทำให้เห็นว่าถ้าคุณทำดีคุณก็ต้องได้ดี ตัวละครที่ดีก็ต้องได้รับผลดี ตัวละครที่ชั่วก็ได้รับผลร้าย ผมจะทำแบบนี้ให้เห็นแต่คนดูจะรู้สึกหรือเชื่อไหมอันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าเขาไม่เชื่ออย่างน้อยเขาก็ได้รับความบันเทิงเวลากลับบ้านมาเหนื่อย ๆ แต่เราก็แค่เชื่อว่า เราเป็นหนึ่งคนที่เป็นสื่อสารมวลชนที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคม แล้วก็รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ผมเชื่อว่าอย่างน้อยเราต้องมีประเด็นว่าเราจะเล่าอะไร ในใจอยากทำเรื่องอะไร แต่ยังไม่ได้ลงมือ ผมเคยอยากจะทำฉุยฉาย อยากเล่าเรื่องวัฒนธรรมไทยที่มันสวย ๆ งาม ๆ อยากทำให้เหมือนหนังของจีนเรื่อง หนึ่ง ชื่อว่า ฟาร์เวล มาย คอนคิวบาย ที่เลสลี่ จางแสดงนำ แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่ถึงเวลา เอ็กแซ็กจะให้อิสระ มันเหมือนการตกลงกันที่หัวให้จบว่าเรื่องนี้ผมจะทำแบบนี้ มันโอเคไหมถ้าโอเคก็คือโอเคแต่อะไรที่ผมรับไม่ได้ ผมก็อาจจะขอว่า ผมไม่ทำเรื่องนี้ มันต้องตกลงกันตั้งแต่ต้นจนจบ คือให้มันอยู่ในข้อที่ตกลงกันไว้ และให้มันอยู่ในมาตรฐานที่เอ็กแซ็กอยากได้ มีอะไรจะขายเกี่ยวกับละครใหม่เรื่อง ลิขิตรักลิขิตเลือดไหม มีอะไรน่าสนใจ คนที่เคยชอบกัปตัน ภูธเนศ หงษ์มานพใน ชีวิตเพื่อข้า หัวใจเพื่อเธอ เรื่องนั้นจะเห็นว่ากัปตันเท่ห์เหลือเกิน เรื่องเนี้ยเราจะเห็นกัปตันแบบนั้น และจะเห็นกัปตันอีกหนึ่งแบบที่ผมเชื่อว่ากัปตันไม่เคยเล่นตำรวจทุเรศๆตลกๆ จะได้เห็นอีกหนึ่งแบบแล้วก็จะได้เห็นละครดามาร์แอ๊กชั่นที่จะตั้งใจทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งจะได้เห็นกัปตันคู่กับแป้งซึ่งสองคนนี้ก็ยังไม่เคยคู่กัน มันก็น่ารักดี จริง ๆ แล้วดูหนังต่างประเทศบ้างไหม เช่นเกาหลี,ญี่ปุ่น ไม่ดูครับ เขาก็เคยเอามาให้ดูเหมือนกัน มันก็ดูบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับติด ส่วนตัวจริงๆ จะไม่ค่อยชอบนั่งดูละคร เพราะมันต้องใช้เวลา สมมุติถ้ามันสนุกมากมันจะต้องติดตามและใช้เวลานาน ผมก็เลยดูหนังเป็นหลัก พอไปทำละครมันก็เลยมีอารมณ์คิดเป็นหนัง ทำอย่างไรให้คนติดละครของเราให้ได้ เมื่อผมเริ่มทำงานแล้ว คือวางกล้องอะไรเสร็จ ผมก็จะทำตัวเองเป็นคนดูว่าผมมานั่งดูที่บ้าน และผมดูแล้วผมจะสนุกไหม ถ้าสนุกแล้วคนข้าง ๆ ผมมีหัวเราะไปด้วย ผมก็น่าจะเอาอยู่ นั้นคืออันที่หนึ่ง ผมจะแทนตัวเองเป็นคนดู อันที่สองในความเชื่อของผม คนดูต้องการเรื่องที่เชื่อได้ ต้องการซีนที่เชื่อได้และสัมผัสได้ อะไรก็ตามที่ไกลตัวเขา เขาจะไม่อยากดู เช่น ละครเรื่องแม่อายสะอื้น อาจจะเป็นผู้หญิงทั่วประเทศสัมผัสได้