Monday 13 August 2007

การเข้าวงการดูจะเป็นความฝันของคนหลายคน

ไม่นานนี้ที่ผมได้เรียนการแสดง
เดี่ยวนี้การเข้าวงการดูจะเป็นความฝันของคนหลายคนนะครับ….

ทำให้บางคนต้องไปเป็นนักล่าฝัน บางคนต้องให้คุณลิขิต บางคนก็ต้องหันไปพึ่งคุณซอนย่า....ความฝันของพวกเขาเหล่านั้นดูจะน่าหลงใหลมากจนทำให้เราหลายๆคนอินไปกับโลกมายาเหล่านั้นด้วย....ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งตอนนี้กำลังอุทิศตนเพื่อการสู้รบในสงครามเวบบอร์ด สู้เพื่อพาสv9…เคยดูสารคดีเกี่ยวกับคนทำงานในวงการบันเทิงในเคเบิลทีวี....ได้ฟังความเห็นจากผู้กำกับโฆษณาคนหนึ่ง...เขาบอกว่าปัจจุบันดูคนอยากจะเข้ามาทำงานตรงนี้มากมาย...แต่เขาไม่ได้เข้ามาเพราะอยากทำงานจริงๆ เขาเข้ามาเพราะอยากได้ไลฟ์สไตล์ อยากกินในร้านเท่ห์ๆที่คนในวงการกินกัน อยากปาร์ตี้ อยากได้ภาพลักษณ์ที่ดี อยากอยู่ในสังคมที่คนหน้าตาดี เขาบอกว่า ผู้กำกับโฆษณาที่เก่งจริงๆเขาไม่ค่อยได้ทำอย่างนั้นหรอก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้เวลาไปกับงานซะเป็นส่วนใหญ่แต่ช่วงนี้ก็จะมีเพื่อนเก่าๆล้อผมเหมือนกันครับว่าเป็นคนในวงการ ไม่ใช่อะไรหรอกครับเพราะพวกมันเห็นผมไปเรียนคอร์สต่างๆที่เกี่ยวกับงานในวงการตลอดช่วงปี สองปีที่ผ่านมา...เริ่มตั้งแต่ ไปเรียน ดีเจ เขียนบท ล่าสุดกำลังเรียนทำหนังสั้น จริงๆแล้วก็ไม่ได้ ตั้งใจจะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฝากฟ้า จะเป็นคนดัง จะอยู่ในแสงไฟอะไรหรอกครับ....ที่ไปหาคอรส์แปลกๆเรียนก็เพราะเหงาเท่านั้นเอง ความที่ทำงานที่บ้านวันๆก็ไม่ได้เจอคนอื่นๆเท่าไหร่ส่วนมากจะเป็นพ่อแม่น้อง พ่อน้องแม่ เกือบทั้งวัน คอร์สต่อไปที่อยากจะเรียนถ้ามีสอน ก็อยากเรียนวิชาโค้ชฟุตบอลเหมือนกัน แต่ก์ยังหาเรียนไม่ได้...ล่าสุดการไปเรียนหนังสั้นทำให้ผมรู้จักน้องๆที่น่ารักหลายๆคนครับ เพราะผมเกือบจะแก่สุดในชั้น...เป็นการเรียนที่น่ารักมากเพราะสอนหมดทุกขั้นตอนในการถ่ายทำไปจนถึงการแสดงทำให้ผมได้รู้จัก พี่คนหนึ่งครับ ชื่อพี่กอลฟ์ พี่เค้าเป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังไทยร้อยเรื่องที่ควรดูครับ พี่กอล์ฟ ทำหนังจนได้ไปประกวดที่เมืองนอกด้วยเงินทุนไม่ถึงหมื่น พี่เค้าเล่าให้ฟังว่ากรรมการชอบภาพที่สั่นไหวในหนังของพี่เขามากเหมือนเป็นการสั่นไหวที่สื่อถึงอารมณ์ตัวแสดงได้เป็นอย่างดี แต่เบื้องหลังการถ่ายทำคือตากล้องที่เป็นเพื่อนกับพี่เขาหัวเราะตัวแสดงขณะถ่ายเท่านั้นเองกล้องเลยสั่น อืม งานศิลปะนี่อยู่ที่การตีความของผู้เสพจริงๆนะ......พี่กอล์ฟดูจะเป็นคนเขียนบทที่มีพรสวรรค์มากครับ คือในคลาสแกผูกเรื่องโดยการด้นสดในห้องเรียนจนผมแปลกใจ คือดูก็รู้ฮะว่าแกเพิ่งคิดในห้องแต่ดูเรื่องที่แกคิดนะครับเริ่มจากแค่ เหตุการณ์หมากัดกัน.....เป็นหมาที่บ้านติดกัน...ทำให้เจ้าของบ้านทั้งสองหลังต้องมาทะเลาะกัน.....เจ้าของบ้านคนหนึ่งเป็นผู้ชาย..คนหนึ่งเป็นผู้หญิง.....ผู้ชายเป็นศิลปินที่มีภรรยาทำงานอยู่นอกบ้าน ภรรยาของเขายอมเสียสละเพื่อให้ผู้ชายได้เป็นนักเขียนที่ทำตามความฝัน แม้จะรู้ว่าฝันนั้นดูเลื่อนลอย ทำให้ภรรยาดูจะหงุดหงิดบ่อยๆ และ มักจะทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่เคยว่าทางเลือกของสามีแม้สักครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขารักเธอแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทั้งคู่คุยกันน้อยลงทำให้เหมือนมีเยื่อบางๆระหว่างคนทั้งสอง เพราะบางทีคนที่ตามความฝันที่ไม่น่าจะเป็นจริงได้อาจจะเป็นคนที่ต้องการกำลังใจมากที่สุดก็ได้แต่ เขาก็ไม่เคยได้รับจากเธอผู้หญิงเป็นแม่บ้าน ที่สามีทำงานนอกบ้าน การที่งานรัดตัวทำให้เธอไม่ค่อยได้มีเวลาพูดคุยกับสามีเช่นเดียวกัน...การที่หมากัดกันทำให้ทั้งคู่ได้มารู้จักกัน...ผู้ชายก็ได้รับคำชมในงานศิลปะของเขาจาก ผู้หญิงที่มีเวลาชื่นชมกับงานของเขาได้ทั้งวัน ทำให้เขามีแรงใจที่จะไล่ตามความฝันต่อๆไปผู้หญิงก็ได้รับ การดูแลในชีวิตประจำวันต่างๆที่ไม่เคยได้รับจากสามีตัวเองเช่นการเปลี่ยนไฟซ่อมประตู การดูแลเล็กๆน้อยๆ.....มันเกิดเป็นความรัก.....ที่ผิดตัวละครทั้ง 4 ไม่มีใครผิด หมา2ตัวก็ไม่ผิดที่กัดกัน....ความรักนี้มันควรจะดำเนินไปอย่างไร ทั้งคู่ควรจะทำตามสิ่งที่ใจเรียกหา หรือ กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ต่างก็มีคนรักอยู่ แต่วิธีแสดงความรักอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาและเธอต้องการ ความรักของทั้งคู่ควรจะเป็นอย่างไรต่อไปจบแบบให้คนดูคิดต่อดีกว่านะ......โอโหพี่ แม่งเอาอะไรมาคิดวะ แค่ไอ้ด่างกับไอ้ตูบกัดกันกลายเป็นหนังรักเกาหลีดีๆเรื่องหนึ่งเลยนะเนี่ยผมก็เคยเรียนเขียนบทและเขียนอะไรจุกๆจิกๆมาบ้างแต่ยอมรับเลยว่า ยังห่างชั้นกับพี่เขาจริงๆ...วันนั้นพี่เขายังสอนการแสดงให้พวกเราอีกด้วยน้องคู่แรกแสดงเป็นคู่รักกันที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วต้องทักกันด้วยอารมณ์ ตื่นๆ ทั้งคู่แสดงได้ดี...มาถึงตาผมแล้ว คิดในใจว่าคงต้องได้รับบทผู้ร้ายใจโหด หรือ มาเฟียตลาดสดแน่ๆ ต่อให้ดีที่สุดก็คงเป็นได้ที่จะเป็นก็อดฟาเธอร์เพื่อยื่น “ข้อเสนอที่คุณปฏิเสธไม่ได้”(ถ้าเป็นปัจจุบันข้อเสนอนี้ต้องเป็นการขายแอมเวย์แน่นอน)ไม่ใช่เลยครับ“ปอนด์ เธอต้องเล่นบทเกย์ ที่ควงน้องนักศึกษาที่มาเจอเพื่อนเก่าที่เคยห้าวมาด้วยกัน แล้วต้องสื่ออารมณ์ปกปิดไม่อยากให้เข้ารู้ว่าเธอได้เปลี่ยนไป “ไม่ใช่ผู้ชาย”อีกต่อไปแล้ว.........................ทำไมจากก็อดฟาเธอร์ กลายเป็น เรื่องสัตว์ประหลาดไปได้ไงเนี่ยผมไม่เคยเกลียดเกย์นะครับ เพื่อนที่เป็นเกย์ผมก็มี แต่......ผมไม่ได้เป็นนะกลัวจริงๆ กลัวว่าพี่เค้าจะเห็นแววอะไรบางอย่างในตัวผม แต่ผมไม่ใช่นะ ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆสรุปก็ต้องเล่นครับ.....ปอนด์“เออ.....สวัสดี”เพื่อนเก่า“อ้าว เป็นไงไอ้เหี้ยปอนด์ไม่ได้เจอตั้งนาน”(ดูน้องเขาจะใส่ความในใจลงไปในบทด้วย)ปอนด์“อืมๆๆ สบายดี เป็นไงบ้างวะ”เพื่อนเก่า“แหมไอ้เหี้ย ทำเป็นหงิมๆ หน้าผ่องเชียวนะมึงเดี่ยวนี้ทำไรวะไอ้เหี้ย คิดถึงมึงจังว่ะ ไอ้เหี้ย” (เอะน้องไม่ต้องเรียกบ่อยขนาดนั้นก็ได้มั้งคนเข้าคงรู้ว่าสนิทกันแล้วล่ะ”ปอนด์“เออ สบายดีว่ะ เดี่ยวเรา เออ..กูต้องไปก่อนนะพอดีรีบวะ”เพื่อนเก่า“เห้ย ไอ้.........เออ จะรีบไปไหน ล่ะ แล้วนั่นน้องมึงเหรอ” (ผมเริ่มกำหมัดแล้วครับน้องคงเข้าใจว่าไม่ต้องเล่นเนี่ยนมากก็ได้”ปอนด์“เออ น้อง อืม...หลานน่ะ เออว่างๆแล้วค่อยเจอกันแล้วกันนะ”เพื่อนเก่า“อ้าว เออ......”(แล้วก็ทำท่าจะเดินจากไป)ตอนนั้นผมเริ่มอินกับบทตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ เพราะอยากให้รู้ว่ากูไม่ใช่เกย์นะเว้ยทั้งในการแสดงและชีวิตจริงคือมันเริ่มอายจริงๆแล้วล่ะครับจากที่เดินจากไปแล้วผมวิ่งเข้าไปหาเพื่อนเก่าแล้วทำท่าร่าเริงบอกว่า “อ้าวแล้วช่วงนี้มึงเป็นไงบ้างวะ”คือแทนที่จะจบแล้วกลับเล่นต่อเองครับ ทั้งห้องหัวเราะกันใหญ่น้องทุกคนที่เล่นด้วยก็ทำหน้างงๆ555คือถ้าผมตีบทนี้แตกจริงๆก็ไม่ใช่เพราะ เป็นเกย์จริงๆครับแต่เพราะอายจริงๆ... อายมากด้วย....เห้อ......พี่กอล์ฟนะพี่กอล์ฟ เข้าใจเลือกบทจริงๆ...

Link: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=manont&month=09-2005&date=15&group=1&gblog=9