Monday 13 August 2007

อยากจัดเทศกาลภาพยนตร์ในห้องเรียน

ห่างหายการอัพบล็อกไปหลายวัน มัวแต่ไปทำรวมฮิตเพลงเทศกาลต่าง ๆ นะครับ วันดีคืนดีระหว่างที่กำลังจะหลับ ในหัวก็มีเรื่องพุ่งพล่านอีกแล้ว คราวนี้นึกไปถึงอดีตไม่นานเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ชีวิตผมและเพื่อนเป็นพวกที่ชอบแต่งเติมเสริมชีวิตไม่ให้น่าเบื่อ จากที่คราวก่อนตกแต่งห้องเรียนให้กลายเป็นหอศิลป์ไปแล้ว มาคราวนี้พวกผมจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ขึ้นในห้องเรียนครับ ก่อนอื่น ขอเล่านิดก่อนว่า ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นี้ มีกิจกรรมฉายหนังฟรีอยู่ทุกอาทิตย์ จะมีบ้างก็ช่วงสอบที่ห่างหายไปเนื่องจากกฎมหาวิทยาลัยที่ห้ามจัดกิจกรรมหนึ่งเดือนก่อนสอบกิจกรรมหนังฟรีนี้ มีอยู่ 2 กลุ่มที่จัดกันประจำ กลุ่มแรก คือ ชมรม cinema paradise ของภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ กลุ่มนี้ก็จะฉายหนังแนวเน้นความบันเทิง (แต่บางทีก็มีหนังดี ๆ ให้ตกใจเหมือนกัน) กลุ่มนี้มีที่ฉายที่ดีมาก คือเป็นห้องเรียน slope บรรยากาศคล้ายโรงหนังกลาย ๆ ผมได้ดู Dead Poet Society น้ำตาพุ่งกระจายก็ที่นี้แหละอีกกลุ่มหนึ่งคือ คณะวิจิตรศิลป์ครับ เป็นวิชาเรียนเกี่ยวกับการวิจารณ์ศิลปะ โดยผู้สอนคือ รศ.ดร.สมเกียรติ ตั้งนโม (อธิการบดี ม.เที่ยงคืน) อาจารย์สมเกียรติก็จะให้เด็ก ๆ เอาหนังมาฉาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนังแปลก ๆ หาดูยาก (ซึ่งส่วนใหญ่คนจะน้อยเพราะไม่มีคนดู แต่บางทีก็ทะลักล้นห้องเรียน อย่างตอนฉาย การ์ตูนเรื่องสุสานหิ่งห้อย โอ้โฮ เป็นประวัติการณ์ คนทะลักจนแทบขี่คอกันดู) แล้วพอหนังจบก็มีการพูดคุยกัน โดยสุดท้าย อ.สมเกียรติจะพูดสรุปอาจารย์สุดยอดมากครับ มีประเด็นล้านแปดที่พออาจารย์พูดแล้วชวนให้เราอึ้งได้ทุกครั้งผมเองเป็นคนหนึ่งที่ (เคย) ชอบดูหนังแบบ addict มาก เหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกเรียนด้านสื่อสารมวลชนในตอนแรกนั้นก็คือ ผมอยากทำหนังครับ แต่ทว่าเมื่อเข้ามาเรียนแล้วก็พบว่า ภาควิชานี้มีภาคฟิล์มแต่หลักสูตรจ๊ะ จริง ๆ แล้วไม่มีเรียนนะจ๊ะ อ้าวซวยเลยสิครับ (ผมเลยเบนสายไปเรียนทางวิทยุกระจายเสียง ซึ่งผมคิดว่าตัดสินใจถูกที่สุดในชีวิต ป.ตรี แล้ว)อย่างไรก็ตาม พวกเราก็มีวิชาเกี่ยวกับหนังเรียนตั้งหนึ่งตัวแหนะ ชื่อวิชาว่า Cinematography เป็นวิชาว่าด้วยศิลปะในศาสตร์ภาพยนตร์ วิชานี้ร่ำลือกันว่าเป็นวิชาปราบเซียนเพราะยากมาก แถมอาจารย์ที่สอนก็สุดยอดที่เฮี้ยบ ใครได้ A ถือว่าเก่งมาก (แต่รุ่นผมมีได้ A ตั้ง 3 คน ผมเองได้ B+)ในวิชานี้ พวกเราได้มีโอกาสเรียนกับ อ.แดง กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิณ โดยตลอดสองอาทิตย์ที่ได้เรียนกับอาจารย์ ถือว่าเป็นความสุขที่หาได้ยากมากในการเรียนวิชานี้ เพื่อนผมซึ่งสนิทกับอาจารย์ได้แก่ ต้าร์ (ที่ได้ดีโดยไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณาที่บริษัททศกัณฑ์ฟิล์มแล้ว) และพี่ปิ่น (ที่กำลังจะได้ดีด้วยการไปทำงานที่เกมทศกัณฑ์) ได้ขอดราฟท์หนังของ อ.แดงหลายเรื่องมาก เพราะอยู่ต่างจังหวัดหนังพวกนี้หาดูยากมาก (เช่น The Seventh Seal ,Run Lola Run ฯลฯ)ตอนอยู่ต่างจังหวัดเหมือนมันเป็นปมด้อยครับ หนังเรื่องนู้นเรื่องนี้ก็ไม่เคยดู เลยกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เราไปหาหนังดัง ๆ มาดูกัน ยากแค่ไหนก็ไปหา คนในกรุงเทพฯคงไม่เคยรู้สึกแบบนี้ เพราะทุกอย่างมันรวมที่นี้หมด วันหนึ่งพี่ปิ่น ชวนกินข้าว ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันถึงเรื่องหนังตามประสาคนรักหนัง พี่ปิ่นออกไอเดียว่า “เฮ้ย! ปีหน้าเราอยู่ปีสี่แล้ว ไม่ค่อยมีเรียนล่ะ เรามาทำโครงการฉายหนังกันดีกว่า” ผมกับต้าร์ก็เห็นดีเห็นงามด้วย ก็เลยไปติดต่ออาจารย์ ตั้งเป็นชมรมเถื่อนขอฉายหนังซะงั้น เราตั้งชื่อกลุ่มโดยเลียนแบบชื่อวงดนตรีโปรเกรสซีฟร๊อคชื่อดัง “Dream Theatre” เพราะเหมือนกับว่านี้เป็นโรงหนังที่ต่อเติมความฝันของทุก ๆ คนเจตนารมย์ของพวกเรา 3 คน คือแบ่งปันหนังที่เรามี ให้คนอื่นได้ดูบ้าง โดยคนอื่นจะเอาหนังที่ตัวเองมีมาแจมก็ได้ มาแลกกันดู อาจารย์ก็เห็นดีเห็นงามด้วย พร้อมบอกว่าน่าจะทำกันมาตั้งนานแล้ว สถานที่ที่เราฉายเป็นห้องเรียนเล็ก ๆ บนตึก HB7 คณะมนุษย์ เวลานั่งดูก็เหมือนดูเวลาเรียนไม่มีผิด อย่างว่าละครับชมรมเถื่อนแค่ขอใช้ห้องได้แค่นี้ก็สุดยอดแล้วครับหนังเรื่องแรกที่เราฉาย คือ Day for Night มีคนมาดูไม่นับพวกผม 14 คน เป็นสิบสี่คนที่เราดีใจมาก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนสนใจโครงการเล็ก ๆ แบบนี้และแล้วคนก็มาดูกันมากขึ้น (ประกอบกับผมไปปั่นกระแสในอินเตอร์เนท) และประสบความสำเร็จมากเมื่อฉาย Pulp Fiction คนดูทะลักเต็มห้อง เป็นอีกครั้งที่เราดีใจมาก แล้วหนังเรื่องต่อ ๆ มา อย่าง Run Lola Run,Trainspotting ฯลฯ ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง แต่แล้ว เมื่อมีเริ่มต้นก็ต้องมีจบ โครงการเล็ก ๆ ที่เริ่มจากคนสามคน แม้จะได้รับความนิยมสูงขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีใครสืบทอดมันก็จบ ในตอนปีสี่เทอมสอง พวกผมต้องไปฝึกงาน น้อง ๆ หลาย ๆ คนที่เคยคุยถูกคอก็ไม่พร้อมจะรับสืบทอดต่อ โครงการนี้เลยปิดตัวลงอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของผมตอนนั้น ผมคิดว่าบรรยากาศเกี่ยวกับเรื่อง “หนัง” ใน มช.สนุกมาก ตัวผมเอง ที่ได้เรียนเกี่ยวกับทฤษฎีมา ก็ชอบเอาเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง เกี่ยวกับทฤษฎีต่าง ๆ มาเล่าให้เด็ก มช. ฟังในเวบบอร์ด แถมตอนนั้นก็มีหลายคนที่อยากทำหนัง ก็มีการพูดคุยกันทั้งในอินเตอร์เนทและพูดคุยกันแบบ face to face ถึงขนาดที่ว่า เคยมีคนจะทำรายงานเกี่ยวกับหนังสั้น ได้มาขอสัมภาษณ์พวกผมสามคนซะงั้น แต่ตอนนี้ผมจบมาได้เกือบสองปีแล้ว บรรยากาศเกี่ยวกับหนังใน มช. เป็นอย่างไรผมก็ไม่ทราบแล้ว ผมบอกได้แค่ว่า สองสามปีที่แล้ว มช.คึกคักเรื่องหนังมากผมและเพื่อนดีใจที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความคึกคักเรื่อง “หนัง” ใน มช. พร้อม ๆ กับการแต่งเติมความฝันตัวเอง แม้จะเป็นเทศกาลภาพยนตร์เล็ก ๆ แต่ความรู้สึกมันยิ่งใหญ่ยิ่งนักสุดท้ายผมฝันไว้อีกครั้งครับว่าถ้าได้เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย ผมจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ทำตามความฝันของตัวเอง เหมือนที่พวกผมเคยทำกันมาก่อนภาวนาให้ฝันนี้ของผมเป็นจริงด้วยเถิด