Thursday 16 August 2007

ตำรวจตบเท้าต้านหนังเกย์ของ พจน์ อานนท์


ตำรวจตบเท้าต้านหนังเกย์ของ พจน์ อานนท์ ที่ผูกเรื่องความรักเพศเดียว กันระหว่างตำรวจกับผู้ร้าย เป็นการทำลายภาพลักษณ์วงการสีกากีอย่างไม่น่าให้อภัย ถึงขั้นขู่ฟ้องฐานหมิ่นประมาทหากไม่แก้บท ขณะที่วงการเกย์เสียงแตกทั้งเห็นด้วยและค้าน ส่วนผู้กำกับฯดังไม่หวั่น อ้างตัวแสดงไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ วอนทุกฝ่ายเปิดใจกว้างเพราะเชื่อมั่นสังคมเปลี่ยนไปแล้ว
ช่วงนี้การแบนภาพยนตร์ในเมืองไทยกำลังถูกจับตามองอย่างมาก เริ่มมาจากหนังที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงสถานที่กักกันของเขมรเรื่อง "เกม-ล่า-ท้า-ผี" จนต้องออกมาขอโทษประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นก็มาถึงเรื่อง "หมากเตะ โลกตะลึง" ที่ทางผู้สร้างต้องยอมขาดทุนหลายสิบล้านบาท เพื่อระงับการฉายเนื่องจากเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-ลาว หรือล่าสุดเรื่อง "เดอะ ดาวินชี โค้ด" ที่มีการถกเถียงกันอย่างมาก และทำให้คณะกรรมการเซ็นเซอร์ต้องพิจารณาถึง 2 ครั้งก่อนจะยอมให้นำออกฉายได้
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการมองกัน ว่ากระแสการต่อต้านหรือการเซ็นเซอร์หนังในอนาคตนั้นอาจจะอิงกับกระแสความเห็นของคน ในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะหนังที่มีความหมิ่น เหม่ต่อความเชื่อ มีผลกระทบกับประเทศเพื่อน บ้านและขัดกับศีลธรรมอันดีของคนในสังคม
ล่าสุด นักปั้นและผู้กำกับฯชื่อดัง พจน์ อานนท์ พร้อมด้วยทีมงาน ได้ทำพิธีบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวานนี้ ณ บริเวณศาลพระพิฆเนศ หน้าห้างสรรพสินค้าอิเซตัน โดยหนังเรื่องนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ในระหว่างนี้ทีมงานได้ใช้ชื่อ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" หรือ Friends ไปก่อน ส่วนเนื้อหาของหนังนั้นว่ากันว่าเป็น "หนังเกย์" เรื่องแรกของไทย โดยเป็นหนังแนวดราม่า-โรแมนติก มีพล็อตเรื่องเกี่ยวกับความรักของชายหนุ่ม 2 คน ซึ่งเป็นตำรวจกับมือปืน ทั้งคู่มีชีวิตเป็นเส้นขนาน แต่วันหนึ่ง ก็ได้มาพบเจอกันและสุดท้ายทั้งสองก็รักกัน ทั้งนี้หนังเรื่องดังกล่าวมี กานต์ หงส์ทอง เป็น ผู้เขียนบท
หลังจากมีกระแสข่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ออกไป ก็สร้างความฮือฮาและเริ่มมีกระแสความคิดเห็นในเรื่องนี้ทันที ทั้งมองว่าเนื้อเรื่อง ไม่สร้างสรรค์และอาจจะโดนแบน และการสอบ ถามผู้เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ กระทรวงวัฒนธรรม และฝ่ายเซ็นเซอร์นั้นมีความเห็นไม่ต่างกันว่าหากสร้างออกมาจริงอาจจะมีปัญหาแน่ ขณะที่ ทางผู้สร้างไม่หวั่นยังเดินหน้าต่อ!!
โฆษก ตร.วอนทำเรื่องอื่นดีกว่า
ด้าน พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" ว่า อยากฝากไปถึงนายพจน์ อานนท์ อย่าทำหนังเรื่องนี้เลย เพราะคงมีแต่ความเสีย หายแน่ มันไม่มีประโยชน์ต่อสังคม สู้ทำหนังที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจะดีกว่า อาจจะทำ หนังที่สร้างความสามัคคีให้กับคนในสังคม แบบ นั้นจะดีกว่า
"ผมไม่ได้ต่อต้านหรือปฏิเสธเรื่องเกย์ ทุก ประเทศก็มีคนประเภทนี้อยู่ มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ แต่ก็อยากให้เขาอยู่ในสังคมของเขา แต่ ถ้าคุณพจน์จะทำหนังเรื่องแบบนี้ เอาเรื่องคน ในเครื่องแบบมาทำเป็นหนังเกย์ มันจะทำให้ภาพ ลักษณ์ของตำรวจเสีย ไม่เกิดประโยชน์
ผมอยากให้คุณพจน์สร้างอะไรที่เป็นตัว อย่างที่ดีให้กับสังคม มันจะเหมาะสมกว่า ถ้าเขายังคิดจะทำหนังแบบนี้แล้วเอาตำรวจไปเกี่ยวข้องด้วย ผมว่าชีวิตเขาจะไม่เป็นสุขหรอก เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นจำนวนมากคงไม่พอใจแน่ๆ รับรองได้"
ฟ้องแน่ฐานทำวงการสีกากีมัวหมอง
เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ภูวดล แสนพินิจ อาจารย์ภาควิชากฎหมาย โรงเรียนนายร้อยสาม พราน ซึ่งได้กล่าวถึงเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวว่า เกิดความกระทบกระเทือนต่อวงการ ตำรวจแน่นอนในด้านภาพลักษณ์ แม้ว่าความ จริงในสังคมเรื่องรสนิยมทางเพศมีอยู่ในทุกวงการก็ตาม แต่ถือเป็นการล้อเลียนและขัดต่อ ศีลธรรม เพราะอาชีพตำรวจมีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นอาชีพที่มีเกียรติภูมิในสายตาคนทั่วไป
"น่าจะเอาคนในอาชีพอื่นมาสร้างเป็นหนัง หรือถ้าเป็นหนังเกย์ทั่วๆ ไปก็ไม่ว่า ไม่ใช่นำคน ในอาชีพตำรวจมาสร้างหนังในทางเสียหายซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ขนาดหนังเรื่องอื่นๆ ที่ทำเกี่ยวกับตำรวจ เช่น หนังที่มีเนื้อหาปล้นกรมตำรวจยังให้มีการเปลี่ยนแปลงบทในบางฉาก ผมถามว่ายังไม่เข็ดหรือไง ถ้าหนังเรื่องนี้ยังฝืน สร้างอีกคงจะต้องมีปัญหาแน่นอน เพราะทำ ให้องค์กรตำรวจไม่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเป็นการล้อเลียน ถากถาง ถือเป็นการลองของ
ทางผมจะหารือกับผู้ใหญ่ในการเคลื่อน ไหวฟ้องร้องอย่างแน่นอนในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแง่ความเสื่อมเสีย เข้าข่ายหมิ่นประมาทภาพลักษณ์ของตำรวจ ยิ่งตำรวจ ชายมารักกับผู้ร้ายชายยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคน ร้ายก็คือคนร้าย ไม่ใช่คนดี มันเสียหายอยู่แล้ว ถือว่าหมิ่นประมาท หรือเอาคนในอาชีพทหารมาสร้างเป็นหนังในทำนองเดียวกันทางฝ่ายกอง ทัพเขาก็ไม่ยอมเช่นกัน แต่เบื้องต้นคงต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้สร้างภาพยนตร์ โดยจะขอดูบทและทำการพูดคุยกันในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ ซึ่งหากทางคุณพจน์จะแก้ ไขเนื้อหาในช่วงนี้ก็คงไม่สาย"
พ.ต.ท.ภูวดล กล่าวด้วยว่า โดยปกติการ คัดเลือกนักเรียนตำรวจนอกจากการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์แล้ว ยังต้องผ่านขั้นตอน อื่นๆ อีก 7 ด่าน เช่น การทดสอบบุคลิกภาพ ตรวจสอบประวัติ ฯลฯ มีการกลั่นกรองหลาย ขั้นตอนในทางจิตวิทยากว่าจะมาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งในแต่ละปีมีการคัดเลือกให้ เหลือประมาณ 120 กว่าคน จากจำนวนผู้สมัคร 2 หมื่นกว่าคน
"ใครผิดปกติทางร่างกายและจิตใจก็ไม่เอา ถือเป็นบุคคลประเภท 3 ไม่เอาเข้ามาวงการ ราชการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับวงการตำรวจ"
"รองวิสุทธิ์" รับไม่ได้เป็นตำรวจเกย์
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รอง ผบก.ปดส. ในฐานะผู้มีอำนาจในการจัดระเบียบสังคมและจริยธรรมของจเรตำรวจแห่ง ชาติ มองว่า ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไม่เหมาะสม อย่างแน่นอน เพราะทำให้เสียภาพลักษณ์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคนในวงการอาชีพ ตำรวจ ซึ่งต้องเป็นชายแท้และเป็นลูกผู้ชาย ดู แล้วผิดพฤติกรรมตำรวจที่ต้องเป็นชาย 100% หากเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ถือเป็นการสร้างความเสื่อม เสียในเรื่องศักดิ์ศรีของคนในอาชีพตำรวจ
"ลูกผู้ชายจะมีอะไรกับลูกผู้ชายไม่ได้ ดูได้ จากเพลงมาร์ชของตำรวจที่เขียนไว้ว่า เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง...ยก ตัวอย่างข่าวตำรวจระดับสารวัตรที่เพิ่งถูกกะเทย ฆ่าในม่านรูด ซึ่งคนในสังคมจะคิดเห็นกันอย่าง ไรในการพากะเทยไปนอน คล้ายๆ เป็นการเบี่ยงเบนพฤติกรรม
มนุษย์เราชายต้องคู่กับหญิง แม้คุณจะสร้างหนังเกย์ก็ไม่ควรเอาตำรวจมาเกี่ยวข้อง แค่ ตำรวจรักกับผู้ชายก็ไม่เหมาะสม และยิ่งรักกับ ผู้ร้ายยิ่งไม่ดีใหญ่ ยิ่งทำให้เกียรติภูมิตำรวจเสีย หายเป็นทวีคูณ เป็นตำรวจต้องจับผู้ร้ายต้องทำ ตามหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ทำให้สังคมเกิดความวุ่นวาย เป็นแบบอย่าง ต่อเยาวชนในทางที่ไม่ดี ซึ่งเยาวชนอาจจะอ้างได้ว่าทีตำรวจยังรักกับผู้ร้ายได้โดยไม่เสียหาย ทั้งที่อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่เยาวชนใฝ่ฝัน การ ที่ไปรักกับผู้ร้ายอาจมีการช่วยเหลือให้พ้นผิดได้ เป็นการยึดความรักมากกว่าหน้าที่ และยิ่ง ทะลึ่งไปรักเพศเดียวกันอีกทำให้เยาวชนเกิดการเลียนแบบ"
พ.ต.อ.วิสุทธิ์ กล่าวย้ำอีกว่า แม้ความเป็น จริงทุกสาขาอาชีพในสังคมมีผู้ชายรักผู้ชาย รวม ถึงในวงการตำรวจและทหาร แต่ก็ไม่มีประโยชน์ อะไรที่จะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เพราะยิ่งทำ ให้สังคมเสียหาย ท่ามกลางสังคมในปัจจุบันที่ มีความล่อแหลมในทุกด้าน ทั้งอบายมุข ยาเสพ ติด ตนอยากถามว่าสังคมจะได้อะไร ทำไมต้อง เอาใจกลุ่มเกย์ที่เป็นกลุ่มเล็กๆ ในสังคมไทย ทำไมต้องเอาอาชีพตำรวจมาทำเป็นหนังเกย์ทั้ง ที่ภาพลักษณ์ตำรวจในสายตาประชาชนมองว่าเป็นคนกล้า มีเกียรติ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จิตใจต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่ไปหลงรักเพศเดียวกัน
วธ.แนะต้องระวังสร้างหนังเบี่ยงเบน
น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวให้ความเห็นถึงการสร้างหนังในแนวชายรักชายหรือหนังเกย์ที่กำลังจะสร้างในเร็วๆ นี้ว่า ถือเป็นสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอที่คงจะมีใครหรือหน่วยงานใดไปห้ามไม่ให้สร้างไม่ได้ แต่เชื่อ ว่ากระแสสังคมจะเป็นตัวช่วยตัดสินเองว่าอะไร สมควรหรืออะไรไม่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้มีประ ชาชนที่ตื่นตัวและให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังมากขึ้น
สำหรับการสร้างแนวนี้ในต่างประเทศอาจ จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในเมืองไทยทางผู้สร้าง ควรต้องคำนึงด้วยว่าสังคมไทยมีความพร้อมและยอมรับตรงนี้แค่ไหน เพราะวิถีชีวิตของชาย รักชายนั้นสังคมไทยยังไม่เปิดกว้างยอมรับและ มองว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่ง จริงๆ แล้วตนก็ไม่อยากจะเห็นสังคมเน่าเฟะไปมากกว่านี้
"หากหนังเรื่องนี้สร้างออกมาจริงก็อาจจะทำให้มีคนอยากดู แต่ไม่ใช่การสนับสนุน เป็น เรื่องของการอยากรู้อยากเห็นมากกว่า คนที่ดูโดยเฉพาะวัยรุ่นคงแยกแยะได้และไม่ทำให้เกิด การเลียนแบบหรือเข้าใจผิดว่าสังคมให้การยอม รับเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ส่วนเนื้อหาโดยรวมที่ทำออกมาซึ่งมีการพาดพิงถึงตำรวจนั้นก็เป็นเรื่อง ที่สถาบันนั้นจะดูแลหรือออกมาแสดงจุดยืน รวมทั้งการพิจารณาเนื้อหาแต่ละฉากในหนังนั้น อยู่ที่ฝ่ายเซ็นเซอร์ของกองทะเบียนกรมตำรวจ"
กองเซ็นเซอร์ชี้อยากเสี่ยงลองสร้างดู
ทางด้าน พ.ต.ท.ธงชัย พีระกีรติ ธรรมมากร สารวัตรหน่วยงานกองเซ็นเซอร์กรมตำรวจ กล่าวให้ความเห็นว่า ทางกองเซ็นเซอร์ มีหน้าที่รับหนังทุกเรื่องเข้ามาพิจารณาตรวจสอบ อยู่แล้ว ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แต่การจะให้ผ่านหรือไม่ผ่านนั้นเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ กองควบคุมภาพยนตร์ ซึ่งมีสิทธิ์จะแบน หรือตัดฉากไม่เหมาะสมออกไปได้ โดยแต่ละปีก็จะมีหนังที่ถูกแบนห้ามฉาย 1-2 เรื่อง ส่วน หนังที่ถูกตัดบางฉากออกไปนั้นมีไม่น้อย โดย หนังที่ถูกแบนส่วนใหญ่ทางคณะ กรรมการมองว่ามีเนื้อหาสาระที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและธรรม เนียมประเพณี
ส่วนหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหรือหนังเกย์ที่เป็นหนังไทยนั้น ช่วง 2-3 ปีที่ ตนมารับตำแหน่งนี้ยังไม่เคยพบว่ามีการส่งมาให้กองเซ็นเซอร์ ตรวจพิจารณา หากมีการสร้าง หนังแนวนี้ออกมาจริงก็คงต้องปล่อยให้สร้างไป และลองส่งมา ตรวจสอบดูว่าทางคณะกรรม การจะมีความเห็นอย่างไร
"หนังไทยที่จะสร้างแนวชายรักชายนั้นถือว่าค่อนข้างเสี่ยงต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ทางผู้ สร้างควรจะคิดให้ดีเพราะการลงทุนไม่ใช่เงินน้อยๆ แต่ถ้ากล้าเสี่ยงทางฝ่ายเซ็นเซอร์ก็ต้องดูว่ามีฉากที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า ยิ่งบอกว่าเนื้อ หาเกี่ยวกับตำรวจและผู้ร้ายที่ส่อไปทางรักกัน หรือที่สังคมมองว่าเป็นเกย์นั้น ส่วนตัวมองว่าหากเป็นเรื่องแต่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะไม่ได้ใช้ชื่อ หรือประวัติของตำรวจจริงๆ มาสร้าง แต่ตำรวจในองค์กรมีถึง 2 แสนคนก็อาจจะมี บ้างที่ไม่พอใจที่เอาสถาบันตำรวจมาเกี่ยวข้อง เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะมีกระแสต่อต้านก็ได้" ชาวสีม่วงขอให้เกย์เป็นที่ปรึกษา
ส่วน นายนที ธีระโรจน พงษ์ ผู้นำกลุ่มเกย์การ เมือง ให้ความเห็นถึงหนังที่ จะสร้างเกี่ยวกับชีวิตของชาว เกย์ว่า คนไทยไม่ค่อยคิดวิธี การสร้างหนังเกย์ให้มีความแตกต่างออกไป ส่วนใหญ่จะ สร้างหนังเกี่ยวกับเรื่องเพศตลอด ทำให้พวกเกย์ถูกมอง ในแง่ลบว่าเป็นพวกที่หมก มุ่นเรื่องเพศ
"การสร้างนั้นควรจะเป็นการสร้างสรรค์ ไม่ใช่สัก แต่สร้างอย่างเดียว ควรคำนึง ถึงผลกระทบที่จะมีตามมาต่อกลุ่มชาวเกย์ด้วย ถ้าเป็นไปได้หนังที่เกี่ยว กับเกย์ทุกเรื่องอยากให้มีข้อความขึ้นด้วยว่า เรื่องนี้เป็นแค่หนัง พวกเกย์ทุกคนไม่ได้เป็นเช่นนี้ เพราะหนังจะทำให้คนติดตาและฝังใจว่า พวก เกย์มีแต่พวกที่หมกมุ่นในเรื่องเพศ จริงๆ แล้ว เกย์ที่ทำงานเพื่อสังคมก็มี
อยากจะขอแนะคุณพจน์ ให้พิจารณาเอา กลุ่มเกย์ที่มีคุณภาพเข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ในการสร้างหนังเรื่องนี้ ไม่อยากให้เอาแนวคิด ของตัวเองมาทำให้เสียกันทั้งกลุ่ม ยิ่งเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำรวจจะทำให้คนมองเป็นเรื่องผิด จริยธรรม ยิ่งทำให้คนเกลียดเกย์เข้าไปอีก" "พจน์" แจงแค่ถ่ายทอดรักลึกซึ้ง
ด้าน พจน์ อานนท์ เจ้าของโปรเจกต์ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" ได้กล่าวถึงหนังเรื่องดังกล่าวว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าโรแมนติก ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องอย่างเป็นทางการ สาเหตุที่อยากทำก็เพราะก่อนหน้านี้ตนทำหนังกะเทย "ปล้นนะยะ" มาแล้ว ก็ประสบความสำเร็จดี จึงอยากทำอะไรที่แปลกจากตลาดออกไปบ้าง
"เราอยากทำมานานแล้ว เคยเสนอค่ายหนัง ดังแห่งหนึ่งไป แต่เขาก็ไม่เอา พอมาถึงเวลานี้ สังคมก็เปิดกว้างมากขึ้นก็เลยอยากทำขึ้นมาอีก ผมจึงเอาโปรเจกต์นี้ไปคุยกับเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) สหมงคลฟิล์ม เสี่ยเจียงก็ให้ทำและบอกว่าจะเน้นขายที่เมืองนอกมากกว่า
จุดขายของผมไม่ได้เน้นขายเกย์อย่างเดียว ผมอยากให้ทุกคนดูได้ เพราะสิ่งที่ผมอยากจะ ถ่ายทอดมากที่สุดก็คือ ผมอยากให้ทุกคนมองเห็นว่า ความรักมันเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย ผมอยากจะถ่ายทอด ให้คนได้เห็นความรักระหว่าง ชายกับชายมันลึกซึ้งได้ไม่แพ้ ความรักหนุ่มสาวทั่วไป ซึ่ง ก็จะมีบทเลิฟซีนนิดหน่อย
ความที่ว่าหนังมาทำหลังจากที่ Brokeback Moun- tain ออกฉาย เลยทำให้คนบางกลุ่มคิดว่าเราก๊อบปี้เรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วเปล่าเลย ไปลองค้นคำสัมภาษณ์ เก่าๆ ดูก็ได้ว่าผมพูดเรื่อง นี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีนายทุนยอมให้ทำแค่นั้นเอง"
ผู้กำกับฯชื่อดัง กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาตนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าชอบสร้างกระแสเพื่อโปรโมตหนังของตัวเอง เมื่อตัดสินใจสร้างหนัง เรื่องนี้ก็พยายามที่จะทำแบบเงียบๆ แม้กระทั่ง จัดพิธีบวงสรวงเปิดกล้องอย่างเป็นทางการ ตน ก็ไม่ได้เชิญนักข่าวมาทำข่าวแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ วายตกเป็นข่าวจนได้ และตนเชื่อว่าจะต้องมีคน บางกลุ่มมองว่าตนปลุกกระแสเพื่อโปรโมตหนัง เรื่องนี้อีกอย่างแน่นอน
ยัน "Friends" ไม่ได้ระบุเป็น ตร.
สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบทของหนังเรื่องนี้ที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเป็นเกย์และไปหลงรักกับผู้ร้ายซึ่งเป็นเพศเดียว กันนั้น นายพจน์กล่าวว่า อยากให้ทุกคนรอชม หนังเรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยวิจารณ์กัน ตนยืนยัน ว่าไม่ได้ทำให้ภาพลักษณŒของตำรวจเสียหายแต่อย่างใด
"เรื่องนี้จะพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจบจาก โรงเรียนตำรวจมา ยังไม่ได้ทำงานเป็นตำรวจ เพียงแค่กำลังจะเป็นตำรวจ จึงไม่ได้สวมเครื่อง แบบตำรวจ แต่บังเอิญมาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน แล้วตัวเอกของเรื่องก็มีแฟนเป็นผู้หญิง เขาใช้ ชีวิตตามปกติมาตลอด แต่มาวันหนึ่งได้เจอกับ ผู้ชายคนนี้ก็เกิดอาการสับสน ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องมันก็เท่านั้น มัน เป็นพล็อตที่เราคิดไว้นานแล้ว
เรื่องนี้ไม่ได้บอกเลยว่าตำรวจเลว แล้วตำรวจจะเสียหายได้ยังไง ส่วนเรื่องเป็นเกย์นั้น ผมก็อยากบอกว่าความรักมันเกิดได้กับคนทุก เพศทุกวัยทุกสาขาอาชีพ แต่จริงๆ แล้วในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้บอกว่าพระเอกเป็นเกย์ อย่าง ที่บอกคือ มันเป็นความสับสนที่ไม่สามารถรู้ใจตัวเองได้"
นายพจน์กล่าวอีกว่า อยากให้คิดแค่ว่าพล็อต ของเรื่องนี้คือคนเป็นมือปืนกับคนที่จะถูกฆ่านั้นเกิดรักกัน จึงฆ่ากันไม่ลง อยากให้ทุกฝ่าย เปิดใจกว้าง ตนเชื่อว่าปัจจุบันผู้ใหญ่ในสังคม ก็เปิดกว้างมากขึ้น คนไทยเริ่มรับรู้เรื่องแบบนี้เยอะกว่าแต่ก่อนจึงไม่น่าจะมีอะไรมาก
ผู้กำกับฯชื่อดังยังกล่าวยืนยันด้วยว่า ตน จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพล็อตเรื่องแน่นอน และ ตนไม่กลัวหากจะมีใครไม่เห็นด้วย เพราะมั่น ใจว่าไม่ได้กระทบใครทั้งสิ้น และหากตนจะ มัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ก็คงไม่ต้องทำงานกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
วอนโปลิศยอมรับเอาใจชาวเกย์
นายวรพงศ์ ศิริวรรณ เว็บมาสเตอร์มิสเตอร์โปลิศดอทคอม ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มเกย์ที่นิยมคนในเครื่องแบบโดยเฉพาะคนในวงการตำรวจ กลับมีความเห็นว่า การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อภาพยนตร์เรื่องดัง กล่าวเป็นเรื่องของมุมมองความคิด เพราะโดยปกติแล้วกลุ่มเกย์ถูกคน ในสังคมมองในแง่ลบอยู่แล้ว ดังนั้นเนื้อหาของภาพยนตร์ไม่ควรจะสร้าง ให้เกิดผลกระทบต่อสังคมเกย์โดยรวม ไม่ควรเน้นเรื่องเซ็กซ์มากเกินไป แต่ควรเน้นเรื่องความรักบริสุทธิ์ที่มีต่อกัน
"ถ้าเน้นความรักบริสุทธิ์แบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาและจะทำให้คนทั่วไปยอมรับได้ อย่างกรณีเว็บไซต์ของผมที่ผ่านมาก็ถูกกลุ่มเกย์สาย เอ็นจีโอมองว่าทำให้เกย์โดยรวมเสียภาพพจน์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้มุ่งหมายในเรื่องล่อแหลม
ความรักคนเราเกิดได้ในทุกอาชีพในสังคมไม่ว่าหญิงกับหญิง ชาย กับชาย คิดว่าถ้าหนังเรื่องนี้ทำออกมาดีแบบหนังเกาหลีก็น่าสนใจ บรรดา ชาวเกย์ก็จะมาดูเป็นจำนวนมาก เพราะเกย์ส่วนใหญ่ชอบคนในเครื่อง แบบโดยเฉพาะตำรวจ ซึ่งผมประเมินได้จากข้อความในเว็บและข้อความ ต่างๆ ตามเว็บเกย์ ความจริงก็เข้าใจว่าตำรวจส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ แต่ก็อยากให้ตำรวจเปิดใจยอมรับ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้"
ตำรวจเป็นไบมีถมเถแต่ต้องปิดบัง
อย่างไรก็ตาม นายวรพงศ์ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยเจอตำรวจเป็นเกย์จำนวนมาก และเคยคุยกับตำรวจคนหนึ่งที่เป็นเกย์เหมือนคนทั่วๆ ไป เพียงแค่มีหน้าที่จับผู้ร้ายเท่านั้น แต่จิตใจชอบผู้ชายด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่ตำรวจเป็นไบเซ็กชวล บางคนมีภรรยาหรือบางคนอยู่เป็นโสดชอบทั้งหญิงและชาย จนบางทีเก็บกดเพราะต้องปิดบังคนในอาชีพ เดียวกัน
เว็บมาสเตอร์มิสเตอร์โปลิศดอทคอม ยังแสดงความเห็นใจตำรวจ ที่เป็นเกย์ว่า สังคมตำรวจค่อนข้างปิด ยิ่งทำให้ตำรวจที่เป็นเกย์น่าสงสาร ไม่สามารถทำอะไรที่แปลกแยกจากพวกพ้องได้ หรือใครเป็นโสดก็ถูกมองว่าเป็นเกย์ อีกทั้งตำรวจถูกกดดันในเรื่องวินัยการจะแสดงออกท่าทางกระตุ้งกระติ้งคงไม่ได้ หากผู้ร้ายเห็นอาจเป็นผลเสียต่อหน้าที่การงาน
ทั้งนี้ จากประสบการณ์สามารถมองออกได้ว่าตำรวจคนไหนเป็นเกย์ หรือไม่เป็นเกย์ สังเกตได้ง่ายจากการแต่งเครื่องแบบที่เรียบร้อยกว่าตำรวจปกติ หรือหากดูพฤติกรรมให้ลึกๆ จะมีท่าทางมีเยื้องย้าย อย่าง ตำรวจระดับสูงบางคนในทีวีมีหลายนายที่ตนดูออกว่าเป็นเกย์หรือไม่