Monday 13 August 2007
พอดี...มีที่ไหน?? DTAC
ที่มา Link: http://www.positioningmag.com/Magazine/Details.aspx?id=43796
เคยได้ยินพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เปรยเอาไว้กับบรรดาญาติโยมใกล้ชิดว่า อุบายในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นช่างล้ำลึกยิ่งนัก เพราะดูเหมือนง่ายๆ แต่หากปฏิบัติเข้าจริงแล้ว แสนยากลำบาก โดยเฉพาะ "ทางสายกลาง” พระท่านว่า ที่ว่ามันยาก ก็เพราะว่ามนุษย์นั้นมักจะมีแนวโน้มความเชื่อ อารมณ์ และจิตเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งในลักษณะสุดขั้วเสมอ ดังนั้น ทางสายกลางจึงเป็นเส้นทางที่เดินยากที่สุด ไม่ใช่ง่ายที่สุด แต่ฟังแล้ว เข้าท่าที่สุด (เพราะนึกว่าง่ายสุดนะซี!) ฟังพระท่านว่า แล้วมาคิดทบทวน ก็ถึงบางอ้อว่า น่าจะเป็นจริง...เพราะในชีวิตของปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ นั้น แทบจะไม่เคยเห็นหรือรับรู้ว่าใครเดินทางสายกลางได้เต็มที่ ส่วนใหญ่ก็เดินด้วยปากและน้ำลายเป็นสำคัญ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอวิชชา หรือความอ่อนแอทางใจ หรือความโง่ และด้อยปัญญา นั่นเอง เกริ่นมาข้างต้นนี้ ไม่ใช่เรื่องพาเข้าวัดปลงสังขารหรอกนะ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาที่น่าประทับใจของ DTAC ที่พูดถึงคนที่ติดโทรศัพท์มือถืออย่างเข้ากระดูก เมาท์อยู่นั่นแหละ จนลืมไปว่าคนรอบข้างนั้นมีอยู่มากมาย เป็นภาพยนตร์โฆษณา “ล้อตัวเอง” ที่เข้าท่าเอามากๆ และถือเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่ง มีอย่างที่ไหน ใครๆ ก็รู้กันว่า รายได้ของผู้ให้บริการ หรือโอเปอเรเตอร์ของธุรกิจโทรศัพท์มือถือนั้น จุดสำคัญอยู่ที่ค่าเวลาที่ลูกค้าใช้โทรศัพท์หากัน หรือค่าแอร์ไทม์ นั่นเอง ยิ่งโทรมาก ยิ่งโทรบ่อย ยิ่งทำให้ฟันกำไรมาก หลายปีมานี้ กลยุทธ์ล่อใจให้คนใช้โทรศัพท์มือถือ ประเภท ”ยิ่งโทร ยิ่งถูก” ได้เป็นกลยุทธ์หลักอย่างหนึ่ง (คล้ายกับกลยุทธ์โฆษณาน่าชังของบริษัทบัตรเครดิต ประเภท “รูดปื๊ด...รูดปื๊ด” นั่นแหละ) เพื่อยุให้พวกติดโทรศัพท์มือถือใช้กันอย่างเมามัน ฟันกำไรกันปีละหลายหมื่นล้านบาท จนถึงทุกวันนี้ กลยุทธ์ ยิ่งโทรนาน ยิ่งโทรบ่อย ก็ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของค่ายมือถือทุกค่าย รวมทั้งค่าย DTAC เจ้าของโฆษณาชิ้นนี้ด้วย เพราะนั่นถือว่าเป็น slick talks of selling ดังนั้น การที่ออกโฆษณาชิ้นนี้มาล้อลูกค้าตัวเอง และล้อธุรกิจของตัว จึงเป็นการ "คิดย้อนศร" ในลักษณ์ brand differentiation ทางการตลาดที่มีความหมาย ในเชิงปรัชญาตะวันออก (เช่น เซน หรือเต๋า หรือบูชิโด หรือกระทั่งอิสลาม) คนที่กล้าล้อตัวเอง คือคนที่รับผิดชอบ และมีวิสามัญสำนึกที่เหนือกว่าปุถุชน...แม้จะไม่ถึงกับอภิมนุษย์ก็เถอะ ในมุมหนึ่ง อาจจะมีคนมองว่า...ถ่มน้ำลายรดฟ้า???…ทำให้คนที่เคยติดโทร...ติดเมาท์...ในที่ทำงาน...หน้าลิฟต์...ในโรงภาพยนตร์...ในสถานบริการ...ฯ...และติดพันไม่เลือกเวลา และบรรยากาศ... เลิกพฤติกรรมดังกล่าว แล้วทำให้รายได้จากค่าแอร์ไทม์ลดลงไป เป็นความเสี่ยงทางการตลาดและการเงินอย่างหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นการประเมินที่อนุรักษ์ไปหน่อย...เพราะโฆษณาชิ้นนี้เล่นกับความเหนือชั้นของครีเอทีฟ แอดอย่างแท้จริง ที่ต้องขอชมเชยกันเอาไว้ Luke Sullivan เจ้าของหนังสือคลาสสิกทางด้านโฆษณา “Hey, Whipple, Squeeze This” (ใครที่เชื่อว่าตนเองรู้เรื่องการตลาด และการโฆษณา แต่ไม่เคยอ่านเล่มนี้ ขอแนะนำให้กลับไปอ่านด่วน...ด้วยความปรารถนาดี) บอกเอาไว้ชัดเลยว่า สารของการโฆษณาที่ชัดเจน จะต้องเข้าใจให้ดีว่า ผู้บริโภคนั้นเกลียดนักกับโฆษณาจูงใจแบบยัดเยียดประเภท "ดีอย่างเดียว ดีไปหมด" อย่างยิ่ง โฆษณาชิ้นนี้เข้าข่ายนี้ เพราะถือว่า Don’t be slick. Be Yourself. เพื่อที่ว่าผลลัพธ์จะแปรเปลี่ยนเป็น Be SMART. Be Crisp, be to the point. นั่นคือ “...สื่อสารกับคนรอบข้างเสียบ้าง ใช้โทรศัพท์ให้พอดี" ตามด้วยเหตุผลว่า “…DTAC เชื่อมั่นในความพอดี...” ภาพของคนที่ติดโทรจนลืมให้บริการลูกค้า ลืมสื่อสารเพื่อนร่วมงาม ลืมแม้กระทั่งคนในครอบครัว...โทรอย่างไม่รู้กาลเทศะ...เป็นภาพจำเจที่เราเห็นจนพร่ำเพรื่อ ซึ่งต้องการให้มีคนกระตุ้นต่อมจิตสำนึกให้กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง...โลกที่ติดดิน…เติมภูมิปัญญาให้กับลูกค้าอย่างแนบเนียนไร้รอยตะเข็บเลยทีเดียว โฆษณาชิ้นนี้ ทำได้ดีสมบูรณ์แบบ และน่าประทับใจอย่างยิ่งในรอบปี คอลัมน์นี้ ขอมอบรางวัล Fair Play Awards ให้ไปเลย หมดหัวใจ (ใครจะไม่ให้ก็ช่างเถอะ) ถือเป็นความรับผิดชอบของนักธุรกิจในโลกทุนนิยมยุคใหม่ ที่ไม่ใช่เอาแต่ฟาดกำไรอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าลูกค้าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหรือเลวลง หากแต่ช่วยเตือนสติให้มีเหตุมีผลด้วย... ร้ายกว่านั้น...เป็นการเตือนสติที่เต็มไปด้วยศิลปะของการจูงใจที่เหนือเมฆ ไม่ทำให้คนถูกเตือนเสียหน้า หรือเกิดความรู้สึกต่อต้าน มีแต่จะบอกว่า...เออ...จริงของมัน (ว่ะ)!! ถือเป็นงานโฆษณาเพื่อสังคมที่สุดยอดอีกชั้นหนึ่งของค่าย DTAC ก่อนที่จะมีข่าวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ที่ทำให้ดูโอ ซีอีโอ อย่าง วิชัย เบญจรงคกุล และ ซิคเว่ เบรคเก้ ต้องโบกมืออำลาจากกัน เป็นโฆษณาที่เบิกโรงให้กับชุด ”เติมใจ” (วันไหนน้ำมันขึ้นราคา เติมให้ 30 บาท) อันเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการตลาดอีกครั้งหนึ่งของค่ายนี้ ไม่เหมือนกับเจ้าอื่น โดยเฉพาะรายใหญ่ที่ฟันกำไรเงียบๆ อยู่คนเดียว...ลูกค้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง (หัว) มัน!! ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อเปลี่ยนเจ้าของรายใหม่ไปเป็นต่างชาติแล้ว ค่าย DTAC ยังจะมีความคิดสร้างสรรค์ทำนองนี้ออกมาเพิ่มเติมอีก คนทำดีอย่างนี้ ต้องให้กำลังใจกันมากๆ...ชนะในธุรกิจหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ชนะใจลูกค้า ถือว่าสุดยอดวรยุทธ กินใจคนได้ยาวนาน ว่า บริษัทนี้ไม่เห็นแก่ได้ถ่ายเดียว ไม่ว่าความพอดี...ในโลกของความเป็นจริง...จะมีหรือไม่ก็ตามที ภาพยนตร์โฆษณา ดีแทค “พอดี” บริษัทผู้โฆษณา : บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ประเภทสินค้า/บริการ : แบรนด์ดีแทค ชื่อชุดโฆษณา : “พอดี” ความยาวโฆษณา : 60 วินาที เอเยนซี่ : บริษัท ครีเอทีฟ จูซ จีวัน จำกัด ฝ่ายสร้างสรรค์ : - กำภู หุตะสังกาศ - ยุทธไกร สุขวุฒิไชย - สายรุ้ง มหาเปารยะ ควบคุมการผลิต : - จุฑารัตน์ ชิงดวง - อรุณศรี ศรีโรจนันท์ โปรดักชั่นเฮาส์ : Sky Exits ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา : อนุรักษ์ จั่นสัญจัย
..Comments
ความคิดเห็นที่ 9
เห็นด้วย... เห็นด้วย หนูเองค่ะอาวิษณุ เมื่อไหร่จะมีพ็อกเก็ตบุ๊คส์ออกมาเสียทีละคะ กำลังรออ่านและรอโปรโมตให้อยู่
Posted by : เมย์ at office เองจ๊ะ
ความคิดเห็นที่ 8
มองอย่างคนมองโลกในแง่ดี ก็ถือว่าโฆษณาต้องการสื่อถึงความพอดี เป็นโฆษณาเชิงสร้างสรรค์ แต่มองอย่างคนมองโลกในแง่ร้ายก็ยังมองได้ว่าทำโฆษณามาเพื่อตอบรับโปรโมชั่นที่มีอยู่และกำลังจะตามมา เพราะช่วงที่โฆษณาออกฉาย โปรโมชั่นที่กำลังดังของ Dtac ก็คือ โทรนาทีแรก 5 บาท นาทีต่อไป 25 สตางค์ หลังจากนั้นก็ออกโปรโมชั่นทำนองเดียวกันออกมาอีกประเภทยิ่งคุยนานยิ่งถูกแบบ Work นาที 1-3 นาทีละ 2.5 บาท นาทีที่ 4-60 ไม่เสียตังค์ ถ้าคนแน้นโทรนาน ไม่รู้จักพอดีเสียบ้าง Dtac ก็แย่พอดี ก็เลยต้อง คุยน้อย คุยแต่พอดี อย่าคุยนาน แต่คุยถี่ๆ ก็ได้นะท่านลูกค้า
Posted by : anowan
ความคิดเห็นที่ 7
ชอบโฆษณาชิ้นนี้ แต่เกลียดโฆษณา Work Work Work โคตะระเกลียดกันทั้งบ้านเลยเชียวหละ ปลดลงได้แล้ว อุบาทถ์สุดๆ คิดได้ไง พาลอยากเลิกใช้บริการเลย
Posted by : ขอยุ่งด้วยคน
ความคิดเห็นที่ 6
รู้ว่าพอดีก็ตอนก่อนตายครับ
Posted by : lamakakai
ความคิดเห็นที่ 5
Posted by : saharat.prigsaeng@bluescopesteel.com
ความคิดเห็นที่ 4
ไม่ขอพูดเรื่องธรรม ไม่พูดหลักมัชฌิมาปฎิปทา หรือทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าสอน แต่จะขอเล่าข้อคิดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งล่วงลับไปแล้ว สอนไว้ให้คิด ครับอดีตนักประพันธ์อาวุโส ชื่อ สด กูรมะโลหิต เจ้าของบทประพันธ์ที่เคยโดดเด่นในอดีต เรื่อง "คนดีที่โลกไม่ต้องการ" และเรื่องระย้า คนรุ่นใหม่ ๆ อาจจะไม่เคยอ่านคุณสดเป็นนักเรียนไทยที่ได้ทุนหลวงไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อยู่ประเทศจีนนาน ในระหว่างสงครามโลก จึงมีความรู้เรื่องวรรณคดีจีน สุดจะให้ใครเทียบเท่าวันหนึ่งคุณสด พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าสอนให้เดินสายกลาง คือปฎิบัติตนให้พอดี อย่าเข้มงวดหรือตึงเกินไป แล้วก็อย่าย่อหย่อนเอาแต่ กิน นอน เล่น ต้องปฎิบัติให้อยู่กลาง ๆ แปลว่าพอดี ๆ คุณสดท่านอธิบายว่า เท่าเข้าใจคำว่าพอดี ก็ดดยนึกไปถึงประวัติศาสตร์ของจีน เขาอธิบาย ความงดงามของ พระนาง บูเช็คเทียน มหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของจีน ที่มาจากลูกชาวนา ว่า สัดส่วนพระวรกายของพระนาง บูเช๊คเทียนนั้นพอดีไปหมด ความสูงก็พอดี ถ้าใส่รองเท้าสูงไปสักนิดก็ไม่งาม พระพักตร์ แก้มฝาดแดงระเรื่อพอดี จะเอาชาด เอาสีอะไรไปแต่งเติมไม่ได้ เลย ริมฝีปากก็แดงพอดี ทาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าไปแต่งเติมส่วนใหน ความพอดีของมหากษัตริย์หญิงพระองค์นี้ ก็หมดความสวย แปลว่าธรรมชาติสร้างพระองค์มาให้มีความงดงามพอดีไปทุกส่วน จะเติมเสริมแต่งไม่ได้ที่เราต้องแต่ง เราต้องเติม ต้องเขียนคิ้ว ทาแก้ม ก็เพราะประสงค์จะให้งาม ให้พอ ดี ๆ ถ้าแต่งมากไป ก็ไม่พอดีอีก ผมก็จำคำสอนของท่านไว้ ว่าความพอดีนั้น บางคนถ้าพอดีแล้ว ก็อย่าไปแต่งไปเติม อย่าคิดว่าคนอื่นทำแต่งเราสวย บางทีเราแต่งอาจจะกลายเป็นสิ่งตรงข้ามก็ได้ คือไม่พอดีกัน เรื่อง อย่างนี้ ต้องระวังคำว่าพอเพียง กับคำว่าพอดี น่าจะมีความหมายเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงตรัสสอนให้รู้จักความพอเพียง ก็คือเอาแต่พอดี ๆละโมปโลภมาก ก็ดูไม่สวย
Posted by : 8999
ความคิดเห็นที่ 3
ฉันชอบมาก ๆ เลยโฆษณาชุดนี้ เห็นด้วย ๆ ที่ว่าดี เพราะบางคนโทรไม่จักเวลาบ้าง ไม่มีมารยามเลย
Posted by : Nok
ความคิดเห็นที่ 2
ให้รางวัลด้วยอีกคนเป็นแฟนดีแทคมาสิบสองปีแล้ว
Posted by : M&M
ความคิดเห็นที่ 1
เห็นด้วยกับบทความครับมีความรู้สึกที่ดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโฆษณาชุดนี้ นี่คงเป็นอิทธิพลของความเป็นคนพื้นฐานจิตใจดีงามของคุณบุญชัย ซึ่งมีเชื้อสายคนเหนือ(พะเยา)ปนจีนนะครับคุณวิษณุครับ ไปยังไงมาไงหรือครับ ทำไมมาโผล่ที่นี่ เคยเห็นผลงานบทความที่มช.นึกว่าจะเดินตามรอยอ.นิธิเสียอีก ยังชื่นชมความคิดและความสามารถครับ
Posted by : มช ณ ดอยตุง
ที่มา Link: http://www.positioningmag.com/Magazine/Details.aspx?id=43796
เคยได้ยินพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เปรยเอาไว้กับบรรดาญาติโยมใกล้ชิดว่า อุบายในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นช่างล้ำลึกยิ่งนัก เพราะดูเหมือนง่ายๆ แต่หากปฏิบัติเข้าจริงแล้ว แสนยากลำบาก โดยเฉพาะ "ทางสายกลาง” พระท่านว่า ที่ว่ามันยาก ก็เพราะว่ามนุษย์นั้นมักจะมีแนวโน้มความเชื่อ อารมณ์ และจิตเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งในลักษณะสุดขั้วเสมอ ดังนั้น ทางสายกลางจึงเป็นเส้นทางที่เดินยากที่สุด ไม่ใช่ง่ายที่สุด แต่ฟังแล้ว เข้าท่าที่สุด (เพราะนึกว่าง่ายสุดนะซี!) ฟังพระท่านว่า แล้วมาคิดทบทวน ก็ถึงบางอ้อว่า น่าจะเป็นจริง...เพราะในชีวิตของปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ นั้น แทบจะไม่เคยเห็นหรือรับรู้ว่าใครเดินทางสายกลางได้เต็มที่ ส่วนใหญ่ก็เดินด้วยปากและน้ำลายเป็นสำคัญ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอวิชชา หรือความอ่อนแอทางใจ หรือความโง่ และด้อยปัญญา นั่นเอง เกริ่นมาข้างต้นนี้ ไม่ใช่เรื่องพาเข้าวัดปลงสังขารหรอกนะ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาที่น่าประทับใจของ DTAC ที่พูดถึงคนที่ติดโทรศัพท์มือถืออย่างเข้ากระดูก เมาท์อยู่นั่นแหละ จนลืมไปว่าคนรอบข้างนั้นมีอยู่มากมาย เป็นภาพยนตร์โฆษณา “ล้อตัวเอง” ที่เข้าท่าเอามากๆ และถือเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่ง มีอย่างที่ไหน ใครๆ ก็รู้กันว่า รายได้ของผู้ให้บริการ หรือโอเปอเรเตอร์ของธุรกิจโทรศัพท์มือถือนั้น จุดสำคัญอยู่ที่ค่าเวลาที่ลูกค้าใช้โทรศัพท์หากัน หรือค่าแอร์ไทม์ นั่นเอง ยิ่งโทรมาก ยิ่งโทรบ่อย ยิ่งทำให้ฟันกำไรมาก หลายปีมานี้ กลยุทธ์ล่อใจให้คนใช้โทรศัพท์มือถือ ประเภท ”ยิ่งโทร ยิ่งถูก” ได้เป็นกลยุทธ์หลักอย่างหนึ่ง (คล้ายกับกลยุทธ์โฆษณาน่าชังของบริษัทบัตรเครดิต ประเภท “รูดปื๊ด...รูดปื๊ด” นั่นแหละ) เพื่อยุให้พวกติดโทรศัพท์มือถือใช้กันอย่างเมามัน ฟันกำไรกันปีละหลายหมื่นล้านบาท จนถึงทุกวันนี้ กลยุทธ์ ยิ่งโทรนาน ยิ่งโทรบ่อย ก็ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของค่ายมือถือทุกค่าย รวมทั้งค่าย DTAC เจ้าของโฆษณาชิ้นนี้ด้วย เพราะนั่นถือว่าเป็น slick talks of selling ดังนั้น การที่ออกโฆษณาชิ้นนี้มาล้อลูกค้าตัวเอง และล้อธุรกิจของตัว จึงเป็นการ "คิดย้อนศร" ในลักษณ์ brand differentiation ทางการตลาดที่มีความหมาย ในเชิงปรัชญาตะวันออก (เช่น เซน หรือเต๋า หรือบูชิโด หรือกระทั่งอิสลาม) คนที่กล้าล้อตัวเอง คือคนที่รับผิดชอบ และมีวิสามัญสำนึกที่เหนือกว่าปุถุชน...แม้จะไม่ถึงกับอภิมนุษย์ก็เถอะ ในมุมหนึ่ง อาจจะมีคนมองว่า...ถ่มน้ำลายรดฟ้า???…ทำให้คนที่เคยติดโทร...ติดเมาท์...ในที่ทำงาน...หน้าลิฟต์...ในโรงภาพยนตร์...ในสถานบริการ...ฯ...และติดพันไม่เลือกเวลา และบรรยากาศ... เลิกพฤติกรรมดังกล่าว แล้วทำให้รายได้จากค่าแอร์ไทม์ลดลงไป เป็นความเสี่ยงทางการตลาดและการเงินอย่างหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นการประเมินที่อนุรักษ์ไปหน่อย...เพราะโฆษณาชิ้นนี้เล่นกับความเหนือชั้นของครีเอทีฟ แอดอย่างแท้จริง ที่ต้องขอชมเชยกันเอาไว้ Luke Sullivan เจ้าของหนังสือคลาสสิกทางด้านโฆษณา “Hey, Whipple, Squeeze This” (ใครที่เชื่อว่าตนเองรู้เรื่องการตลาด และการโฆษณา แต่ไม่เคยอ่านเล่มนี้ ขอแนะนำให้กลับไปอ่านด่วน...ด้วยความปรารถนาดี) บอกเอาไว้ชัดเลยว่า สารของการโฆษณาที่ชัดเจน จะต้องเข้าใจให้ดีว่า ผู้บริโภคนั้นเกลียดนักกับโฆษณาจูงใจแบบยัดเยียดประเภท "ดีอย่างเดียว ดีไปหมด" อย่างยิ่ง โฆษณาชิ้นนี้เข้าข่ายนี้ เพราะถือว่า Don’t be slick. Be Yourself. เพื่อที่ว่าผลลัพธ์จะแปรเปลี่ยนเป็น Be SMART. Be Crisp, be to the point. นั่นคือ “...สื่อสารกับคนรอบข้างเสียบ้าง ใช้โทรศัพท์ให้พอดี" ตามด้วยเหตุผลว่า “…DTAC เชื่อมั่นในความพอดี...” ภาพของคนที่ติดโทรจนลืมให้บริการลูกค้า ลืมสื่อสารเพื่อนร่วมงาม ลืมแม้กระทั่งคนในครอบครัว...โทรอย่างไม่รู้กาลเทศะ...เป็นภาพจำเจที่เราเห็นจนพร่ำเพรื่อ ซึ่งต้องการให้มีคนกระตุ้นต่อมจิตสำนึกให้กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง...โลกที่ติดดิน…เติมภูมิปัญญาให้กับลูกค้าอย่างแนบเนียนไร้รอยตะเข็บเลยทีเดียว โฆษณาชิ้นนี้ ทำได้ดีสมบูรณ์แบบ และน่าประทับใจอย่างยิ่งในรอบปี คอลัมน์นี้ ขอมอบรางวัล Fair Play Awards ให้ไปเลย หมดหัวใจ (ใครจะไม่ให้ก็ช่างเถอะ) ถือเป็นความรับผิดชอบของนักธุรกิจในโลกทุนนิยมยุคใหม่ ที่ไม่ใช่เอาแต่ฟาดกำไรอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าลูกค้าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหรือเลวลง หากแต่ช่วยเตือนสติให้มีเหตุมีผลด้วย... ร้ายกว่านั้น...เป็นการเตือนสติที่เต็มไปด้วยศิลปะของการจูงใจที่เหนือเมฆ ไม่ทำให้คนถูกเตือนเสียหน้า หรือเกิดความรู้สึกต่อต้าน มีแต่จะบอกว่า...เออ...จริงของมัน (ว่ะ)!! ถือเป็นงานโฆษณาเพื่อสังคมที่สุดยอดอีกชั้นหนึ่งของค่าย DTAC ก่อนที่จะมีข่าวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ที่ทำให้ดูโอ ซีอีโอ อย่าง วิชัย เบญจรงคกุล และ ซิคเว่ เบรคเก้ ต้องโบกมืออำลาจากกัน เป็นโฆษณาที่เบิกโรงให้กับชุด ”เติมใจ” (วันไหนน้ำมันขึ้นราคา เติมให้ 30 บาท) อันเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการตลาดอีกครั้งหนึ่งของค่ายนี้ ไม่เหมือนกับเจ้าอื่น โดยเฉพาะรายใหญ่ที่ฟันกำไรเงียบๆ อยู่คนเดียว...ลูกค้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง (หัว) มัน!! ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อเปลี่ยนเจ้าของรายใหม่ไปเป็นต่างชาติแล้ว ค่าย DTAC ยังจะมีความคิดสร้างสรรค์ทำนองนี้ออกมาเพิ่มเติมอีก คนทำดีอย่างนี้ ต้องให้กำลังใจกันมากๆ...ชนะในธุรกิจหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ชนะใจลูกค้า ถือว่าสุดยอดวรยุทธ กินใจคนได้ยาวนาน ว่า บริษัทนี้ไม่เห็นแก่ได้ถ่ายเดียว ไม่ว่าความพอดี...ในโลกของความเป็นจริง...จะมีหรือไม่ก็ตามที ภาพยนตร์โฆษณา ดีแทค “พอดี” บริษัทผู้โฆษณา : บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ประเภทสินค้า/บริการ : แบรนด์ดีแทค ชื่อชุดโฆษณา : “พอดี” ความยาวโฆษณา : 60 วินาที เอเยนซี่ : บริษัท ครีเอทีฟ จูซ จีวัน จำกัด ฝ่ายสร้างสรรค์ : - กำภู หุตะสังกาศ - ยุทธไกร สุขวุฒิไชย - สายรุ้ง มหาเปารยะ ควบคุมการผลิต : - จุฑารัตน์ ชิงดวง - อรุณศรี ศรีโรจนันท์ โปรดักชั่นเฮาส์ : Sky Exits ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา : อนุรักษ์ จั่นสัญจัย
..Comments
ความคิดเห็นที่ 9
เห็นด้วย... เห็นด้วย หนูเองค่ะอาวิษณุ เมื่อไหร่จะมีพ็อกเก็ตบุ๊คส์ออกมาเสียทีละคะ กำลังรออ่านและรอโปรโมตให้อยู่
Posted by : เมย์ at office เองจ๊ะ
ความคิดเห็นที่ 8
มองอย่างคนมองโลกในแง่ดี ก็ถือว่าโฆษณาต้องการสื่อถึงความพอดี เป็นโฆษณาเชิงสร้างสรรค์ แต่มองอย่างคนมองโลกในแง่ร้ายก็ยังมองได้ว่าทำโฆษณามาเพื่อตอบรับโปรโมชั่นที่มีอยู่และกำลังจะตามมา เพราะช่วงที่โฆษณาออกฉาย โปรโมชั่นที่กำลังดังของ Dtac ก็คือ โทรนาทีแรก 5 บาท นาทีต่อไป 25 สตางค์ หลังจากนั้นก็ออกโปรโมชั่นทำนองเดียวกันออกมาอีกประเภทยิ่งคุยนานยิ่งถูกแบบ Work นาที 1-3 นาทีละ 2.5 บาท นาทีที่ 4-60 ไม่เสียตังค์ ถ้าคนแน้นโทรนาน ไม่รู้จักพอดีเสียบ้าง Dtac ก็แย่พอดี ก็เลยต้อง คุยน้อย คุยแต่พอดี อย่าคุยนาน แต่คุยถี่ๆ ก็ได้นะท่านลูกค้า
Posted by : anowan
ความคิดเห็นที่ 7
ชอบโฆษณาชิ้นนี้ แต่เกลียดโฆษณา Work Work Work โคตะระเกลียดกันทั้งบ้านเลยเชียวหละ ปลดลงได้แล้ว อุบาทถ์สุดๆ คิดได้ไง พาลอยากเลิกใช้บริการเลย
Posted by : ขอยุ่งด้วยคน
ความคิดเห็นที่ 6
รู้ว่าพอดีก็ตอนก่อนตายครับ
Posted by : lamakakai
ความคิดเห็นที่ 5
Posted by : saharat.prigsaeng@bluescopesteel.com
ความคิดเห็นที่ 4
ไม่ขอพูดเรื่องธรรม ไม่พูดหลักมัชฌิมาปฎิปทา หรือทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าสอน แต่จะขอเล่าข้อคิดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งล่วงลับไปแล้ว สอนไว้ให้คิด ครับอดีตนักประพันธ์อาวุโส ชื่อ สด กูรมะโลหิต เจ้าของบทประพันธ์ที่เคยโดดเด่นในอดีต เรื่อง "คนดีที่โลกไม่ต้องการ" และเรื่องระย้า คนรุ่นใหม่ ๆ อาจจะไม่เคยอ่านคุณสดเป็นนักเรียนไทยที่ได้ทุนหลวงไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อยู่ประเทศจีนนาน ในระหว่างสงครามโลก จึงมีความรู้เรื่องวรรณคดีจีน สุดจะให้ใครเทียบเท่าวันหนึ่งคุณสด พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าสอนให้เดินสายกลาง คือปฎิบัติตนให้พอดี อย่าเข้มงวดหรือตึงเกินไป แล้วก็อย่าย่อหย่อนเอาแต่ กิน นอน เล่น ต้องปฎิบัติให้อยู่กลาง ๆ แปลว่าพอดี ๆ คุณสดท่านอธิบายว่า เท่าเข้าใจคำว่าพอดี ก็ดดยนึกไปถึงประวัติศาสตร์ของจีน เขาอธิบาย ความงดงามของ พระนาง บูเช็คเทียน มหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของจีน ที่มาจากลูกชาวนา ว่า สัดส่วนพระวรกายของพระนาง บูเช๊คเทียนนั้นพอดีไปหมด ความสูงก็พอดี ถ้าใส่รองเท้าสูงไปสักนิดก็ไม่งาม พระพักตร์ แก้มฝาดแดงระเรื่อพอดี จะเอาชาด เอาสีอะไรไปแต่งเติมไม่ได้ เลย ริมฝีปากก็แดงพอดี ทาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าไปแต่งเติมส่วนใหน ความพอดีของมหากษัตริย์หญิงพระองค์นี้ ก็หมดความสวย แปลว่าธรรมชาติสร้างพระองค์มาให้มีความงดงามพอดีไปทุกส่วน จะเติมเสริมแต่งไม่ได้ที่เราต้องแต่ง เราต้องเติม ต้องเขียนคิ้ว ทาแก้ม ก็เพราะประสงค์จะให้งาม ให้พอ ดี ๆ ถ้าแต่งมากไป ก็ไม่พอดีอีก ผมก็จำคำสอนของท่านไว้ ว่าความพอดีนั้น บางคนถ้าพอดีแล้ว ก็อย่าไปแต่งไปเติม อย่าคิดว่าคนอื่นทำแต่งเราสวย บางทีเราแต่งอาจจะกลายเป็นสิ่งตรงข้ามก็ได้ คือไม่พอดีกัน เรื่อง อย่างนี้ ต้องระวังคำว่าพอเพียง กับคำว่าพอดี น่าจะมีความหมายเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงตรัสสอนให้รู้จักความพอเพียง ก็คือเอาแต่พอดี ๆละโมปโลภมาก ก็ดูไม่สวย
Posted by : 8999
ความคิดเห็นที่ 3
ฉันชอบมาก ๆ เลยโฆษณาชุดนี้ เห็นด้วย ๆ ที่ว่าดี เพราะบางคนโทรไม่จักเวลาบ้าง ไม่มีมารยามเลย
Posted by : Nok
ความคิดเห็นที่ 2
ให้รางวัลด้วยอีกคนเป็นแฟนดีแทคมาสิบสองปีแล้ว
Posted by : M&M
ความคิดเห็นที่ 1
เห็นด้วยกับบทความครับมีความรู้สึกที่ดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโฆษณาชุดนี้ นี่คงเป็นอิทธิพลของความเป็นคนพื้นฐานจิตใจดีงามของคุณบุญชัย ซึ่งมีเชื้อสายคนเหนือ(พะเยา)ปนจีนนะครับคุณวิษณุครับ ไปยังไงมาไงหรือครับ ทำไมมาโผล่ที่นี่ เคยเห็นผลงานบทความที่มช.นึกว่าจะเดินตามรอยอ.นิธิเสียอีก ยังชื่นชมความคิดและความสามารถครับ
Posted by : มช ณ ดอยตุง
ที่มา Link: http://www.positioningmag.com/Magazine/Details.aspx?id=43796