Tuesday 28 August 2007

สูตรสำเร็จละคร หนังฉลองภักดีวิจิตร

สูตรสำเร็จละคร หนังฉลองภักดีวิจิตร

1. ละครและหนังของฉลองมีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างคำว่า เชย และ อินดี้

2. วงการเพลงมีพี่น้องสินเจริญ ละครหนังฉลองก็มีพี่น้อง ภักดีวิจิตรบราเธอร์

3. พระเอกมักมีอาชีพเป็นตำรวจ (แม้ทั้งเรื่องไม่เคยใส่เครื่องแบบแต่นั่นแหละ..ผู้กอง)
ไม่จำเป็นต้องหล่อมากแต่ต้องบึก กำยำ และอันนี้สำคัญต้องมี....ขนหน้าอก

4. นางเอกมักแก่นเซี้ยว ลุยๆออกไปไหนไม่แต่งหน้า(หรือแต่งว่ะ) กำพร้าแม่ หากเป็นลูกตัวร้ายก็มักจะใฝ่ดี ทำแผลได้และขับเรือหางยาวเป็น

5. พ่อนางเอกมักทำธุรกิจผิดกฎหมาย เป็นผู้มีอิทธิพล แต่ถ้าเป็นคนดีมักได้เป็นกำนัน

6. กำนันจะมีลูกสาวคนเดียว(และสวย) กำพร้าเมีย มีบ้านใหญ่ มีไร่องุ่น คาดผ้าขาวม้าและห้อยพระสมเด็จ

7. นางเอกมีเพื่อนเล่นที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นผู้หญิงชื่อมักจำง่าย(เช่น นังกระต่าย) ขี่จักรยานเฟสสันได้ ตอนแรกเกลียดผู้ชาย สุดท้ายมักได้แฟนก่อนนางเอก

8. หากเป็นผู้ชายก็มักเป็นลูกสมุนคู่ซ้อม อ้วน แคระ และผิวหมึก ที่สำคัญห้ามชอบนางเอก

9. เพื่อนพระเอกก็ต้องคู่กับเพื่อนนางเอก และมีความสัมพันธ์รุดหน้าก่อนคู่นางเอกเสมอ และแน่นอนรับบทโดย ภักดีวิจิตรบราเธอร์

10. หากในเรื่องมีฉากกุ๊กกิ๊กมีดนตรีประกอบ จะคล้ายกับมิวสิควีดีโอเพลงจากรายการชุมทางเสียงทอง (ของแท้ต้องมีโลโก้นพพรสีทองติดอยู่บนปก)


11. หนังฉลองห้ามมีกระเทยและคนใช้ มีได้...ก็ห้ามเด่น

12. พาหนะของพระเอกถ้าไม่ใหม่สุดๆ ก็ต้องเก่ากว่า 20ปีขึ้นไป ราคาแพงในสมัยนั้น อะไหล่หายาก ขับพวงมาลัยซ้าย เข้าเกียร์กระปุกมือขวา (โจรโผล่มายิงยากนะนั่น !)

13. ลูกน้องตัวโกงมักได้บทพูดเท่าๆกัน และโคลสอัพเต็มใบหน้าทุกคน

14. ความลับต่างๆมักมาจากการได้ยินโดยความบังเอิญ จากการซุ่มหลังต้นไม้ กอไม้ไผ่ รั้วสังกะสีและต้องมีฝูงเป็ด

15. ออกจากบ้านไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือ เอาลูกกระสุนใส่กระเป๋าให้เต็มไว้เหอะได้ใช้แน่นอน

16. ดูจากข้างนอกในผับบาร์คนคงจะเยอะ ไม่ต้องกลัวเข้าไปเหอะ มันมีที่ว่างหน้าเคาน์เตอร์อยู่ที่นึงให้นั่งเสมอ

17. ลูกน้องตัวโกงมักขี้หงุดหงิดเวลาโกรธจะเอามือตบโต๊ะ แต่เวลาอยู่กับหัวหน้าจะดูสุภาพ และพูดอะไรไปแล้วมักโดนตบเสมอ..

18 .ร้านขายน้ำชากาแฟในหมู่บ้านเป็นที่ใครอยากรู้ข่าวอะไร มาที่นี่รับรองรู้หมด

19. ตัวละครที่เป็นฝรั่งพูดไทยได้ทุกคน ชัดไม่ชัดก็อีกเรื่อง

20. นางร้ายมักสวย ตายก่อนเสมอ และต้องนมโต...ไม่รู้เป็นอะไร


21. หนังพจน์ต้องมีโก๊ะตี๋ หนังฉลองภักดีก็ต้องมีกรุงศรีวิไล

22. จะต้องมีฉากหลงป่า (กฎ กติกา ข้อบังคับ)

23. จะเจอนายพรานแต่งเป็นกะเหรี่ยง และไม่ต้องเล่าอะไรเพราะนายพรานรู้หมดทุกอย่าง

24. ในกลุ่มจะต้องมีคนที่ดูฉลาดคู่หนึ่งเสมอ ให้เดาได้เลยว่าจะเป็นพระเอก กับนางเอก

25. ในเมื่อมีคนฉลาดก็ต้องมีคนโง่ไว้เป็นภาระซึ่งก็คือ นางร้าย และตัวที่ตลก

26. แม้ผืนป่าจะกว้างแค่ไหนก็ต้องมาจ๊ะเอ๋เจอกับลูกน้องตัวโกงเสมอ

27. ไม่พูดพร่ำทำเพลงไม่ต้องถามว่าเป็นพวกไหน จะต้องมีการยิงกันก่อน..


28. ทั้งสองฝ่ายต้องถอยไปตั้งหลัก
>> พวกตัวโกงจะวิ่งหนีใส่เกียร์หมา และมาตัวเปล่า
>> ส่วนพวกพระเอกจะหนี....อย่างเท่ห์ และแบกเป้รุงรัง

29. พวกพระเอกจะต้องไปเจอถ้ำประหลาดที่มี แสงสว่างตลอดทั้งปี

30. หากมีใครแปลงร่างได้ก็จะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงในถ้ำนี่แหละ..

31 หากแปลงเป็นเสือจะถ่ายฉากเสือมาจากสวนสัตว์เปิด และคำรามอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
>> แต่ถ้ามีการตะปบจะเห็น (ถุง) มือเสือจริงๆ และมีเลือดกระฉูดกันเห็นๆ

32. ฉากตัดมาตอนเช้าทุกคนจะร่วมวงดื่มกาแฟ และไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืน

33. ใครมีประโยคเด็ดอะไรก็มาปล่อยกันตอนนี้นี่แหละ
>> เจ้าให้ข้าดื่ม ไยข้าจะไม่ดื่ม
>> ปืนนะมีไว้แล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มีนะผู้กองงง.


34. เหมือนจะรู้ว่าใกล้ๆมีน้ำตก นางเอกเตรียมผ้าถุงมาด้วย
>> นางเอกจึงขอตัวไปอาบน้ำ

35. นางเอกจะนุ่งกระโจมอกเผยแค่หัวไหล่ แต่ถ้าเป็นนางร้ายอนุญาตให้เห็นมากกว่านี้ได้
>>> ฉากนี้เราจะเห็นทรวดทรงของเธออย่างชัดเจน (ส่วนที่ดีที่สุดของหนังฉลอง)

36. นางเอกจะลูบไล้สบู่ไปมาแค่บริเวณต้นคอ เรียวแขนและเนินอกเท่านั้น แต่นางร้ายอนุญาตให้ล้วงไปในผ้าถุงได้

37. พลัน! เสียงกุกกักเกิดขึ้น

38. นางเอกจะตะโกนถามว่า..นั่นใครอ่ะ? แต่ร้อยทั้งร้อยไม่มีเสียงตอบรับ

39. แต่ถ้าเป็นจะใครสักคนก็มักเป็นพระเอก
>> นางเอกจะเขินอายโผล่แค่หัวในน้ำ หันหลังให้พระเอกแล้วพูดว่า "คุณมาแอบดูฉันเหรอ"

40. แต่ถ้าไม่มีใครนางเอกจะรีบขึ้นมาจากน้ำแต่งตัว

41. และเมื่อเข้ามาในกลุ่มก็พบว่าพระเอกหายไป

42. ถ้านางเอกไม่ชอบพระเอกอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่า ~พระเอกต้องเป็นไอ้โรคจิต

43. พระเอกกลับมาแล้ว พร้อมกับไก่

44. การก่อกองไฟในเรื่องเป็นอะไรที่ง่ายมาก มีการย่างไก่และทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่ต้องมีน้ำจิ้ม

45. นางเอกดูหิวกว่าคนอื่นเสมอแต่มักเก็บอาการเอาไว้


46. พระเอกจะเป็นคนเดียวที่ดูออกและถามนางเอกว่า "คุณไม่หิวเหรอครับ"
>>> นางเอกมักจะตอบว่า "ไม่(สั้นๆ)" แต่พระเอกก็ยื่นไปให้

47. ด้วยความหิวนางเอกจึงรับไว้และกินด้วยความลืมตัว

48. พระเอก "ไหนคุณว่าคุณไม่หิวไงครับ"
>> นางเอกนึกขึ้นได้ มองค้อนและพูดในใจว่า "ฝากไว้ก่อนเหอะตาบ้า"


49. ดึกแล้ว คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม กองไฟเพียงกองเดียวก็ให้แสงสว่างได้ทั่วทั้งป่า

50. นางร้ายอนุญาตให้นุ่งสั้นเข้านอนได้เพียงคนเดียวโดยไม่กลัวยุงป่า (เน้นซูมไปทั่วร่าง ~ ส่วนที่ดีที่สุดอีกส่วนหนึ่งของหนังฉลอง)

51. ของที่ตามหามาทั้งเรื่องมักอยู่ที่นางเอก แม้จะชิ้นใหญ่แค่ไหนก็มักพาไปไหนด้วยเสมอ เช่น รูปปั้นหินศิลาแลง (หนักนะนั่น!!)

52. ตำรวจจราจรมีอยู่ทุกที่ขับมอเตอร์ไซด์วิบากในป่า ก็ต้องใส่หมวกกันน็อค

53. ดนตรีประกอบจะต้องตื่นเต้นเร้าใจ ไม่เว้นแม้แต่ฉากตัวโกงกินโค้ก หรือพระเอกกำลังโบกแท็กซี่

54. เพลงประกอบละครอังกอร์ 1 คือต้นฉบับ เรื่องหน้าแค่เปลี่ยนคำศัพท์ และคัฟเวอร์

55. อย่าได้งงถ้าหากเห็นลูกน้องตัวโกงตัวหนึ่งโดนยิงตาย แต่ตอนท้ายแต่งกายมาเป็นชาวบ้านเพราะทุกคนเป็น ~ อมตะ

56. ทุกครั้งที่ต่อสู้กับผู้ร้าย นางเอกจะตะโกนเรียกพระเอกด้วยความเป็นห่วงจนพระเอกพลาดท่าผู้ร้ายเสมอ (มรึงงงดูเฉยๆได้ป่ะ)

57. แม้จะโดนผู้ร้ายสาดกระสุนสักเท่าไร พระเอกจะโดนยิงแค่หนึ่งนัดตรงหัวไหล่หรือไม่ก็ต้นขา ส่วนคนที่ทำแผลให้ ไปดูข้อ 4

58. ถ้าดูละครหนังฉลองไม่รู้เรื่องก็อย่าไปดูเหนังรื่องอื่นเลยนะ >>>โดยเฉพาะของศาสดาเป็นเอก Invisible Waves

59. และสุดท้ายตอนจบ พระเอกไม่เคยตาย
>>> เพื่อรอจะพูดประโยคสุดท้ายว่า ผมร้อยตำรวจเอก...ในนามของ...ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือกับทางราชการ จ่าช่วยเอาตัวพวกนี้ไปโรงพักด้วย!

60. แล้วเมื่อสันติสุขมาเยือนอีกครั้ง พระเอกก็ขอนางเอกแต่งงาน ณ ที่ตรงนั้น

"คุณรัชนีแต่งงานกับผมนะครับ"

นางเอกมองหน้าพระเอกด้วยน้ำตาคลอเบ้า แล้วก็พูดว่า "แหล่มเลยค่ะ"


----------------- สวัสดี ------------------------




ป.ล. อย่าลืมนะครับ
ละครและหนังฉลองคือวัฒนธรรมไทย ช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ให้ลูกหลาน
ก่อนจะหายไปตามกาล เหมือนกับหนังพิศาลอัครเศรณี

Saturday 18 August 2007

Movie Reviews A - Z

Chinese commercial for World of Warcraft and Coca-Cola

Chinese commercial for World of Warcraft and Coca-Cola

king of the video from the Carlsberg ad with Bobby Robson

Making of the video from the Carlsberg ad with Bobby Robson, Jack Charlton, Bobby Charlton, Stuart Pearse, Bryan Robson, Peter Reid and other heros! Cracker of a movie!

Student TVC : Making Faces

Making Faces


Student TVC : Our first ad film Naturoma Shampoo

ดูเหมือนการเป็นผุ้กำกับหนัง จะเป็นความฝันสูงสุดของมนุษย์ จริงๆ

Student TVC : Our first ad film Naturoma Shampoo.

We made this video..during Manzar 07...our college annual function in the event of ad making...though we cud nt win any prize for this ... all » ad...we enjoyed this experience a lot... hope u will enjoy the video...specially gabbar's acting.

Janice Dickinson Modeling Agency : Making It the movie

Janice Dickinson Modeling Agency Outtake Reel #1: Teasers


Janice Dickinson, the world’s first supermodel, struggles to open her own modeling agency in Hollywood while keeping up with her duties as ... all » the mother of two teens. After finding an office space, she holds her first casting call in search of models to join her agency.




Janice's models book roles in a new film as well as a print ad campaign for clothing line Ed Hardy.

Janice Dickinson Modeling Agency #109: Making It

DK Lounge : Home Video : Commercial 1

This is the first of hopefully many DK Lounge commercials. I spent a couple hours dealing with god damn Windows Movie Maker (even though I ... all » have much better software, don't ask why I didn't use that instead). I know nobody gives a shit, but I just thought I'd let you know that I became very enraged during the creation of this stupid minute long video, all because of Microsoft's buggy movie making shit.

Anyway, if you have any negative comments, f_ck off. I had one minute worth of time to put shit in, and I didn't really have the greatest material to work with. But hey, comments are appreciated.

BACK PAGE : Short Film

Abby, a social misfit, collects and categorizes classified ads (not personals) by how she imagines she'll be able to 'help' the people who ... all » have placed the ads. As Abby responds to these ads in unusual ways, she stumbles upon an ad placed by Will, a misguided prankster who places phony ads as a means of entertaining himself.

(30 Minutes, DV. Every volunteer who participated in the making of this film is passionate about filmmaking, but for one reason or another pursues another career. One of the main goals for this film was to bring together a group of people excited about the craft of movie making in an environment geared to learning and exploration.)

Horror In The Woods- A Hairy Gorilla 1/2 Marathon Promotional Video

Horror In The Woods- A Hairy Gorilla 1/2 Marathon Promotional Video

Horror in the Woods is a film designed to promote the Halloween race "Hairy Gorilla Half Marathon" The race is like none other. Dozens of ... all » ghouls, ghosts ad goblins cover the course with hopes to scare the living daylights out of racers. It truly is a unique race with great fun. 2007 marks it's 3rd year and it will be a blast! Come and run for your life at Thatcher Park October 28th, 2007!!!

This video was filmed in 2 days in October 2006. It was left as an unfinished project. Here in August 2007 It was rediscovered and finished for your enjoyment. The Cast is Amanda Thornton and Brenan Tarrier. The evil spirits were filmed on separate days. Jesse Naftel took the firs 3 rolls as "Death", "Jason" and "Scarecrow". Kelsey Jenks was the second "Jason", the one who actually kills. I really enjoyed making this movie- though time was limited, I did the best I could with what I had. Amanda and Brenan did a fantastic job as rookie acting people and I couldn't ask for more! I hve plenty of other movies iId like to film, but for now this is it. Enjoy!

Motor Classic Car and Lowriders London Museum, a promo commercial by Lotfistyle Film video car advert new 2007 elo the biggest car collector in uk

Motor Classic Car and Lowriders London Museum, a promo commercial by Lotfistyle Film video car advert new 2007 elo the biggest car collector in uk

visit: www.likebay.co.uk or www.uscc.co.uk or search for lotfistyle on both youtube and goodle videos. Lotfi brings you again another promo since his first one with Revo Traxxas. I made this short promo for the London Motor Museum which is owned by Elo a collector of Loweriders, Classic American Cars and modern mtv pimp my rides too. this student film used an xl2 and adobe premier but its considered as a no-budget film. Thanks to everyone who helped lotfistyle production in the making of this video. made in february 2007.


Commercial using movie footage

Have to make a 30 second commercial using movie footage. Any comments or suggestions to make it better would be greatly appreciated. I chose to make a sewing machine commercial using Spiderman. Originally I was going to have Spiderman get a cut in his suit and take it home to see the hole and then he has to sew it up. But I couldn't find the footage I needed for it so I switched to this one. Not sure whether to use it or start over and make a travel commercial with Pirates of the Caribbean .


Commercial using movie footage

Have to make a 30 second commercial using movie footage. Any comments or suggestions to make it better would be greatly appreciated. I chose to make a sewing machine commercial using Spiderman. Originally I was going to have Spiderman get a cut in his suit and take it home to see the hole and then he has to sew it up. But I couldn't find the footage I needed for it so I switched to this one. Not sure whether to use it or start over and make a travel commercial with Pirates of the Caribbean .


BattleField 2142 Trailer Sneakpreview brought by www.ad-clan.nl

This trailer is still underconstruction! The AlphDogs clan is still making this movie better! Any idea's? go visit www.ad-clan.nl and send a PM to Lyon_NL


What children see, children do. - Think! : TV Commercial

The brief for Children See Children Do was to let all adult Australians know that they have an influence on children within their community ... all » and that they can make a difference to children's wellbeing. The brief, a copy of which is attached, asked the creative team to address the concept that responsibility for children's wellbeing goes beyond parents and child care professionals and rests with all of us. The brief was to target the general public – all Australian adults.

A second part to the brief was to provide the first campaign to be launched under the social marketing brand Child Friendly Australia.

The brief was developed by NAPCAN and workshopped with the DDB team over several weeks. The brief was then put out through the DDB Creative teams and the final concept was selected from approximately eleven submitted. We have been extremely fortunate to have a major advertising agency prepared to contribute so much to this cause and to do so with the full expertise available to them (not the cheapest and easiest). Their most valuable contribution comes from their expert knowledge in knowing what and how to get a message to the public.

Making the Ad

The film was produced by Soma Films also on a pro-bono basis using professional talent and crew. NAPCAN contributed approximately $10,000 toward out of pocket expenses for the shoot and in recognition of the talent.

Before filming the script was sent to the Children's Guardian (Child Welfare) who oversee any filming which involves children to ensure that during filming the children are not exposed to harm in any way.

So, for example, the domestic violence scene was put together by filming the child separately to the adults and putting the total scene together in post production. When we saw the first rough of the film the girl with the cigarette was not holding anything – the cigarette and smoke was added digitally during the post production process.

RIDE : Student : TV Commercial

SEAGULL’S FILM ON SAFE DRIVING Pune-based Seagull, a leading advertising agency, has done a social service commercial on “Safe Driving on ... all » the road” for the public interest. The team involved in making the commercial was Mr. Sagar Haveli, the Copywriter and Mr. Umesh Juwatkar, Visualizer. The film of 1 minute, 18 secs duration depicts a guy playing a bike racing game on the computer and as the camera zooms out we see the guy is sitting on a wheel chair. The film ends with the copy “Not everyone gets a second chance, Ride Safely”.

Trumpet Advertising

A zap ad produced by Trumpet Advertising, London for Alto Clothes. No animals were harmed in the making of this movie.

The Messenger : Making of the movie

The Messenger : Making of the movie

Synopsis: An ancient symbol is misappropriated and used in a prominant ad campaign, causing people to behave in violent ways Production ... all » Notes: "The Messenger" was a finalist for the NYC Midnight Movie Making Madness Competition. We were assigned a genre and topic: Horror and "Someone is putting out ads that trigger horrible acts." We had two weeks to write, shoot, edit, & score the movie. As a finalist, we participated in the 24 hour competition where we had to go through the whole process from midnight Friday to midnight Saturday. See the results of that contest in "Topiary Witness," also posted here. OFFICIAL SELECTION in the ORINDA FILM FESTIVAL 2004, OFFICIAL SELECTION in the TRIGGERSTREET ONLINE FILM FESTIVAL 2004

KOYAANISQATSI : Making of the movie

KOYAANISQATSI, Reggio's debut as a film director and producer, is the first film of the QATSI ... all » trilogy. The title is a Hopi Indian word meaning "life out of balance." Created between 1975 and 1982, the film is an apocalyptic vision of the collision of two different worlds -- urban life and technology versus the environment. The musical score was composed by Philip Glass.

KOYAANISQATSI attempts to reveal the beauty of the beast! We usually perceive our world, our way of living, as beautiful because there is nothing else to perceive. If one lives in this world, the globalized world of high technology, all one can see is one layer of commodity piled upon another. In our world the "original" is the proliferation of the standardized. Copies are copies of copies. There seems to be no ability to see beyond, to see that we have encased ourselves in an artificial environment that has remarkably replaced the original, nature itself. We do not live with nature any longer; we live above it, off of it as it were. Nature has become the resource to keep this artificial or new nature alive.

That being said, my intention in-other-words, let me describe the bigger picture. KOYAANISQATSI is not so much about something, nor does it have a specific meaning or value. KOYAANISQATSI is, after all, an animated object, an object in moving time, the meaning of which is up to the viewer. Art has no intrinsic meaning. This is its power, its mystery, and hence, its attraction. Art is free. It stimulates the viewer to insert their own meaning, their own value. So while I might have this or that intention in creating this film, I realize fully that any meaning or value KOYAANISQATSI might have comes exclusively from the beholder. The film's role is to provoke, to raise questions that only the audience can answer. This is the highest value of any work of art, not predetermined meaning, but meaning gleaned from the experience of the encounter. The encounter is my interest, not the meaning. If meaning is the point, then propaganda and advertising is the form. So in the sense of art, the meaning of KOYAANISQATSI is whatever you wish to make of it.

http://www.koyaanisqatsi.org/


Blast Time: The Making of a Film

Blast Time: The Making of a Film

Woody Allen, Tom Cruise, Jack Nicholson, Russell Crowe, Dustin Hoffman, Stephen King and Elton John all collaborate on a film called 'Blast ... all » Time', an action movie that seems to have no plot at all.

Winner of 3 Ceremonium Awards: Best Original Song ("Blast Chance For Love"), Best Direction (Dustin Buursma & Max Johnson), and Best Picture of 2005. Additionally nominated for two Best Lead Improv Actor and two Best Supporting Improv Actor awards (Dustin Buursma and Max Johnson), Best Editing, Best Cinematography, and Best Use of Music

Friday 17 August 2007

JUNIORS: PLACES FILLING FAST FOR AWARD CRAFT COURSE

JUNIORS: PLACES FILLING FAST FOR AWARD CRAFT COURSE

AWARD SPONSORS ADSHEL, CUTTING EDGE AND FILM CONSTRUCTION OFFER JUNIOR CREATIVES CHANCE TO CRAFT THEIR SKILLS WITH THE BEST IN THE BUSINESS
Workshops commence this coming Monday 20th August - ADSHEL CREATE AWARD Craft, led by AWARD Committee reps Simon Cox and Dejan Rasic, and Buzz Pringle, offers an incredible chance for new creatives to spend intimate time with the industry’s top talent in a six day workshop.
NetX will provide an amazing full day workshop on interactive, an incredible line-up of presenters and topics covered.

Topics & Speakers include:

Great Creative for Outdoor - Jonathan Kneebone, The Glue Society

Photography & Re-touching – Gary Sheppard & Jules Zuppich - Diamond Fire Monkeys, Yvonne Moxham and Inness Robbins – Electric Art

Copywriting – Graham Nunn, Funnel Productions

Design & Typography – Ash Bolland, Umeric

Art Direction – Jay Benjamin & Andy DiLallo, JWT

Print Production – Darren Bailey & Sarah Hadfield – Lowe Hunt

Direction – Perry Bradley & Jozsef Fityus – Film Construction

Offline Editing & Telecine – Mark Bennett, Peter Ritchie – Cutting Edge

Flame Compositing & Visual Effects – Jeff Gaunt – Cutting Edge

Interactive – Shaun Branagan – NetX
(Including speakers from Soap, nineMSM, Nuo, One Digital, Feedcorp, @radical.media)

Radio – Buzz Pringle and Brad Power - StellaRadio


Participants must have at least six months experience in an agency.
LIMITED PLACES AVAILABLE.
Download the booking form from www.awardonline.com or email lucymckee@awardonline.com for more details.

Thursday 16 August 2007

Behind The Scene : PIRATES OF THE CARIBBEAN: DEAD MAN’S CHEST







Behind the Scene :
เบื้องหลังการถ่ายทำ PIRATES OF THE CARIBBEAN: DEAD MAN’S CHEST

PIRATES OF THE CARIBBEAN: DEAD MAN’S CHEST“Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” อีพิคภาคสองแห่งตำนาน “Pirates of the Caribbean” กับการกลับมาของกัปตันแจ็ค…ร่วมด้วยวิลล์ เทิร์นเนอร์และเอลิซาเบธ สวอนน์ ที่ประกอบด้วยตัวละครทั้งเก่าและใหม่เต็มลำเรือใน นำแสดงโดยจอห์นนี่ เด็ปป์ เจ้าเก่า ในบทบาทที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, ออร์แลนโด้ บลูม และ เคียรา ไนต์ลี่ย์ นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมปี 2005ภายใต้การอำนวยการสร้างของ เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์และผู้กำกับกอร์ เวอร์บินสกี้ ...กัปตันแจ็คแล่นเรือออกไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่ที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าพิศวงยิ่งขึ้น สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ตระการตายิ่งขึ้น และ ความฮาที่ขำขันยิ่งขึ้น ในภาคต่อ ที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ผู้มีนิสัยแปลกพิลึก—เขาอาจเป็นได้ทั้งโจรสลัดที่เก่งกาจที่สุดหรือห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ เขาต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องลี้ลับพิศวงเหนือธรรมชาติอีกครั้ง แม้ว่าคำสาปแห่งเรือแบล็คเพิร์ลจะมลายไปแล้ว ภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ากลับคืบคลานเข้ามาใกล้ เหตุเกิดจากการที่กัปตันแจ็คติดหนี้เลือดที่ต้องชดใช้ให้กับ เดวี โจนส์ (บิลล์ ไนฮีย์) ผู้ทรงอิทธิพลเหนือน่านสมุทร กัปตันเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ซึ่งเหนือกว่าเรือทุกลำในเรื่องของความเร็วและความเงียบกริบ ถ้าหากแจ็คไม่อาจคิดหาทางเอาตัวรอดจากสัญญาทาสนี้ได้ล่ะก็ เขาจะถูกสาปให้ต้องใช้ชีวิตเป็นลูกสมุนของโจนส์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เรื่องนี้เองได้ขัดขวางแผนแต่งงานระหว่าง วิลล์ เทิร์นเนอร์ และ เอลิซาเบธ สวอนน์ ผู้ซึ่งพบว่าตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวโชคร้ายของแจ็คอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การประจันหน้ากับสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเล ชาวเกาะที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย นักทำนาย เทีย ดัลมา (นาโอมี แฮร์ริส) หรือกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างน่าฉงนของ บู๊ทสแตร็ป บิลล์ (สเตลแลน สการ์สการ์ด) พ่อที่หายสาบสูญไปนานของวิลล์
“Pirates 2” อีพิคและเรื่องราวผจญภัยน่าอัศจรรย์ที่จะทำให้ผู้ชมได้สนุกไปกับเรื่องราวหฤหรรษ์เช่นเดียวกับภาคก่อนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ มือเขียนบทของเรื่องคือ เท็ด เอเลียตต์ และเทอร์รี รอสซิโอ มือเขียนบทของภาคแรก เจ้าของผลงานฮิตอย่าง “Aladdin” และ “Shrek” ด้วยบทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ที่ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและลูกโลกทองคำและได้รับรางวัลสมาพันธ์นักแสดง จอห์นนี่ เด็ปป์ได้ก่อให้เกิดไอคอนแห่งวงการภาพยนตร์ของแท้ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เด็ปป์เป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมและโด่งดังสูงสุดคนหนึ่งของโลก ด้วยบทบาทที่หลากหลายตลอดอาชีพนักแสดงที่โดดเด่นของเขา เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและลูกโลกทองคำจากทั้ง “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” ออร์แลนโด้ บลูม กลายเป็นดาราใหญ่ระดับนานาชาติ นักแสดงหนุ่มผู้ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ คนนี้ก็ได้แสดงในภาพยนตร์ของเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ เรื่อง “Black Hawk Down” ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์, “Troy” ของวูลฟ์กัง ปีเตอร์สัน, “Kingdom of Heaven” ของสก็อตต์และ “Elizabethtown” ของคาเมรอน โครว์ และ เคียรา ไนต์ลี่ย์ นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมปี 2005 จาก “Pride & Prejudice” เธอได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ม้ามืดเรื่อง “Bend It Like Beckham” นอกเหนือจากเรื่อง “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” แล้ว เธอยังร่วมแสดงใน “Love Actually” , “King Arthur,” แม้ว่าเครดิตผลงานจะมีเพียงห้าเรื่อง ภาพยนตร์ของ กอร์ เวอร์บินสกี้ กลับทำรายได้รวมกันทั่วโลกไปกว่า หนึ่งพันล้านเหรียญ โดยเฉพาะ “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง, เจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ คือหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ เขาดำรงตำแหน่งประธานเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดไปทั่วโลกมากมาย “American Gigolo,” “Flashdance,” “Days of Thunder,” “Bad Boys,” “Dangerous Minds,” “Crimson Tide,” “The Rock,” “Con Air,” “Armageddon,” “Enemy of the State,” “Gone in 60 Seconds,” “Coyote Ugly,” “Remember the Titans,” “Pearl Harbor,” “Black Hawk Down,” “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl,” “Bad Boys II,” “Veronica Guerin,” “King Arthur,” “National Treasure” และ “Glory Road” ในซีซัน 2005 - 2006 เขามีผลงานเป็นซีรีส์เก้าเรื่องทางเน็ตเวิร์คโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ที่ยาวนานเกือบหกสิบปี
นักแสดงที่กลับมาร่วมงานกับเด็ปป์, บลูมและไนต์ลี่ย์อีกครั้งหนึ่งใน “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” ได้แก่แจ็ค ดาเวนพอร์ตในบท เจมส์ นอร์ริงตัน ผู้การกองเรืออังกฤษ , โจนาธาน ไพรซ์ในบท เวธเธอร์บี สวอนน์ ท่านข้าหลวงบิดาของเอลิซาเบธ, เควิน อาร์. แม็คแนลลี ในบทโจชามี กิบส์ กะลาสี, ลี อาเรนเบิร์กและแม็คเคนซีย์ ครู้ก ในบทพินเทลและราเก็ตติ เพื่อนคู่รักคู่แค้น, เดวิด เบลลีย์ในบท คอตตอน ผู้ที่นกแก้วพูดแทนเขาทุกอย่างและมาร์ติน เคล็บบาในบท มาร์ตี ชายร่างเล็กแต่ใจใหญ่ ...นักแสดงชื่อดังระดับโลกที่เข้ามารับบทสำคัญทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ ไนฮีย์ (“Love Actually ) ในบทเดวี โจนส์ เจ้าแห่งท้องสมุทร,สเตลแลน สการ์สการ์ด (“King Arthur ) ในบทบู๊ทสแตร็ป บิลล์ เทิร์นเนอร์ พ่อของวิลล์, นาโอมี แฮร์ริส ( 28 Days Later ) ในบทเทีย ดัลมา, ทอม ฮอลแลนเดอร์ ในบทลอร์ด คัทเลอร์ เบ็คเก็ตต์ ประธานบริษัทอีสต์ อินเดีย เทรดดิ้ง คัมปะนี และเดวิด โชฟิลด์ (“The Last of the Mohicans,” “Gladiator”) ในบทเมอร์เซอร์ เจ้าหน้าที่ผู้ไร้ปรานีของเบ็คเก็ตต์ ภาพแรกที่ปรากฏในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันของ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ คือภาพโคลสอัพหัวกะโหลก และธงหัวกะโหลกไขว้ในภาพยนตร์ปี 1950 ที่สร้างจาก “Treasure Island” ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน 53 ปีให้หลัง ผลงาน “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” จากสตูดิโอเจ้าเก่าได้ฟื้นคืนชีพและคืนชีวิตชีวาให้แก่แนวหนังที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความบันเทิงให้ผู้คนนับล้าน เรื่องราวน่าตื่นเต้นของเหล่าผู้กล้าแห่งท้องสมุทร ทั้งฝ่ายเลวและฝ่ายดีดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นPirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” กลายเป็นภาพยนตร์ฮิตในทุกแห่งที่มันลงโรง โดยมันทำรายได้ในสหรัฐฯ ไปได้ 305,413,918 ล้านเหรียญและมันก็สร้างสถิติด้วยการกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 653,913,918 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสำหรับจอห์นนี่ เด็ปป์ …โจรสลัดในแบบที่ผู้ชมไม่เคยพบเจอมาก่อน ภายใต้การสร้างสรรค์ที่เป็นแบบฉบับของเขาเองโดยแท้ กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์เป็นตัวละครจากภาพยนตร์ที่เป็นไอคอนเพียงหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นในสหัสวรรษใหม่นี้ ตัวละครที่แปลกใหม่และพิลึกพิลั่นซึ่งเกิดขึ้นจากการแสดงของมนุษย์พันหน้า จอห์นนี่ เด็ปป์ กัปตันเรือโจรสลัดผู้มีลำตัวไหวเอนอยู่ตลอดเวลา เชื่อในเรื่องโชคลาง ผู้มีศีลธรรมและนิสัยในการรักษาความสะอาดที่น่าสงสัยพอๆ กัน เขากลายเป็นแอนตีฮีโรแห่งโลกภาพยนตร์เพียงหนึ่งเดียวในศตวรรษใหม่ ด้วยผมทรงเดรดล็อค หนวดเคราที่ประดับประดาไปด้วยลูกปัดและหินสี เครื่องรางของขลังมากมายที่แขวนตามเสื้อผ้าเขา และฟันที่ฝังทองและเงิน ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ชมโดยไม่ถูกจำกัดในเรื่องของอายุ เพศหรือเชื้อชาติ เช่นเดียวกับตัวหนัง เมื่อเร็วๆ นี้ การแสดงของเด็ปป์ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 100 การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลจากนิตยสารพรีเมียร์ ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2006 ซึ่งนำเสนอภาพของพ่อกัปตันคนดีนี้บนหน้าปกชนิดโดดเด่นกว่าเพื่อน (เด็ปป์ติดลิสต์นี้เป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกจาก “Edward Scissorhands”)สำหรับ เด็ปป์ แล้ว เขาเผยถึงงานครั้งยิ่งใหญ่นี้ว่า “ผมคิดไม่ถึงเลยว่าตัวละครตัวนี้จะฝังรากลึกในหัวใจของผู้ชมได้มากขนาดนี้ ผมยังอึ้ง _!!! อยู่เลยนะเนี่ย ผมได้รับโอกาสที่จะดึงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาจากตัวละครตัวนี้มา และผมก็มีไอเดียที่ค่อนข้างแน่นปึ้กทีเดียวว่าเขาเป็นใคร และเขาน่าจะเป็นยังไง หลายคนคิดว่าผมบ้าไปแล้วด้วยซ้ำครับ แต่ผมก็ยึดติดอยู่กับเขา และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ในแง่ของการค้นหาตัวละครครับ “สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ” คือพยายามทำให้กัปตันแจ็คถูกใจเด็กเล็กๆ พอๆ กับที่ถูกใจพวกผู้ใหญ่ที่เป็นปัญญาชนครับ”
ส่วน ออร์แลนโด้ บลูม กล่าวว่า “ผมอยากให้วิลล์เป็นหนุ่มน้อยที่รักความยุติธรรม ซื่อตรงจริงใจแบบในหนังภาคแรกน้อยลงหน่อย และให้เขาเผยแง่มุมด้านมืดมากขึ้นครับ การเดินทางที่แท้จริงของวิลล์ในภาคที่สองนี้คือความกังวลที่มีต่อ บู๊ทสแตร็ป บิลล์ พ่อของเขาที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในภาคแรกทั้งๆ ที่ไม่มีใครได้เห็นเขาด้วยซ้ำไป วิลล์ต้องการจะช่วยเหลือพ่อของเขาจากชะตากรรมที่ต้องอาศัยอยู่ในเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนกับเดวี โจนส์และลูกเรือที่น่าสะพรึงกลัวของเขา ดังนั้น จุดมุ่งหมายของวิลล์ก็คือการสานสัมพันธ์กับพ่อของเขา ไปพร้อมๆ กับการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเอลิซาเบธไปด้วย ตัวละครหลักแต่ละตัวใน ‘Dead Man’s Chest’ ต่างก็มีจุดมุ่งหมายของตัวเองทั้งนั้น ซึ่งบางครั้งจุดมุ่งหมายของพวกเขาก็ขัดแย้งกันเอง มันมีความตึงเครียดของคู่รักหนุ่มสาวระหว่างวิลล์และเอลิซาเบธให้เห็นด้วยครับ”
เช่นเดียวกับผู้ชมทั่วโลก เคียรา ไนต์ลี่ย์ ต่างก็ยินดีปนแปลกใจกับความสำเร็จยิ่งใหญ่ของภาคแรก “เราสร้างหนังที่มีที่มาจากเครื่องเล่นในสวนสนุกดิสนีย์ ซึ่งเป็นหนังแบบที่ไม่เคยประสบความสำเร็จมาซัก 50 ปีเห็นจะได้ค่ะ แต่เรามีกอร์ เวอร์บินสกี้ ผู้มีวิสัยทัศน์ที่เหลือเชื่อ และจอห์นนี่ เด็ปป์ เจ้าของบทแจ็ค สแปร์โรว์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ก้าวสู่ความเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่ค่ะ สิ่งที่เยี่ยมเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ก็คือตัวละครมีการพัฒนาขึ้น เอลิซาเบธตอนเริ่มเรื่อง เธอกำลังจะแต่งงานกับวิลล์อยู่รอมร่อ แต่แผนการสวยหรูนั้นก็พังทลายเป็นเสี่ยงๆ วิลล์ถูกจับในข้อหาเป็นโจรสลัดและเอลิซาเบธในข้อหาช่วยเหลือการหลบหนีของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ เอลิซาเบธกลายเป็นหญิงสาวที่มีภารกิจค่ะ และมันก็มีความนัยบางอย่างในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวิลล์ล์ และแจ็คสแปร์โรว์…ซึ่งพัฒนาไปเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ”
2005 (และ 2006) : ตำนานการผจญภัยของโจรสลัดถ่าย “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl” เป็นอีพิคเรื่องเยี่ยม การพูดถึงการถ่ายทำ “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” คงใช้ได้แค่คำว่าตำนานการผจญภัย ด้วยการเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่ง การถ่ายทำครั้งนี้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินจริง ที่เพียบพร้อมไปด้วยการผจญภัยน่าอัศจรรย์ ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ การเตรียมงานสำหรับ “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” และ “Pirates of the Caribbean III” เริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2004 จากสคริปต์ที่เขียนโดยเอเลียตต์และรอสซิโอ ทีมงานสร้างรู้ดีว่า การใช้เกาะแห่งเดียวเป็นโลเกชัน เช่นเดียวกับในภาคแรกไม่เพียงพอเสียแล้ว พอร์ต รอยัลและทอร์ทูกา แหล่งพักพิงของโจรสลัด ได้รับการออกแบบใหม่โดย ริค ไฮน์ริคส์ ในอ่าววัลลิลาบูในเกาะเซนต์วินเซนต์ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาคแรกด้วยเช่นกัน โดมินิกา สรวงสวรรค์สีเขียวชอุ่มที่ไร้มลทินแปดเปื้อนด้วยนโยบายการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลายเป็นสถานที่ถ่ายทำสำคัญด้วยโลเกชันที่งดงามมากมาย ตั้งแต่ชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นปาล์ม ป่า ป่าเขตร้อนไปจนถึงที่ราบสูง และในหมู่เกาะบาฮามา พวกเขาได้ถ่ายทำในทั้งเกาะเอ็กซ์มัสและในสิ่งก่อสร้างริมทะเลที่อยู่บนเกาะแกรนด์ บาฮามา ไอแลนด์ เมื่อการเตรียมงานเดินหน้าถึงขีดสุด ทีมงานเกือบ 1,000 ชีวิตในแผนกต่างๆ ต่างก็กำลังทำงานในช่วงพรีโปรดักชันของ “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” ในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ลอสแองเจลิสไปจนถึงลอนดอนและทะเลแคริบเบียน นี่คือ “ความร่วมแรงร่วมใจ” กันอย่างแท้จริง ส่วนทีมงานสร้างสิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการสร้างเรือแบล็คเพิร์ลลำใหม่ขึ้นจากเรือเดอะ ซันเซ็ต ขนาด 109 ฟุต ที่เป็นเรือเรียบๆ ธรรมดา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือบรรทุกน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก การสร้างเรือแบล็คเพิร์ลลำใหม่จากซันเซ็ตใช้เวลานานแปดเดือน และเมื่อการทำงานสิ้นสุดลง บางสิ่งบางอย่างที่แปลกใหม่แต่คุ้นตาก็เสร็จสมบูรณ์ “ผลที่ได้ก็คือจากแนวน้ำขึ้นมา คุณก็จะได้เรือโจรสลัดแบล็คเพิร์ลลำงาม” ส่วนเรือที่จะนำไปใช้ในการถ่ายทำในโดมินิกาและหมู่เกาะบาฮามาก็คือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ที่แสนน่าประทับใจ เรือลำนี้มีขนาดความยาว 170 ฟุต น้ำหนักระวาง 420 ตัน ดาดฟ้าเรือที่ผุพังฝังแน่นไปด้วยเพรียง หอยแมลงภู่ และซากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แห่งน่านน้ำทั้งเจ็ด โครงกระดูกที่มีลักษณะเหมือนจระเข้ ซึ่งเป็นสัตว์ล่าเหยื่อผู้น่าสะพรึงกลัวนั้น ถูกแขวนอยู่บนเสากระโดงเรือ ใบเรือขาดวิ่นเป็นริ้ว ทางเดินเรือถูกปกคลุมไปด้วยสาหร่ายทะเล ปืนใหญ่ 36 กระบอกที่แม้จะฝังไปด้วยร่างของสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล แต่ก็ยังคงใช้งานได้เป็นอย่างดีตั้งอยู่ที่กราบเรือทั้งสองด้านและปืนใหญ่ขนาดมหึมาสองกระบอกที่โผล่พ้นช่องปืนออกมาก็เป็นเครื่องข่มขวัญผู้ใดก็ตามที่หาญกล้ามาขวางทางเรือลำนี้ได้เป็นอย่างดี เรือแบล็คเพิร์ลและฟลายอิ้ง ดัทช์แมนต่างก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีใบเรือสี่ชุดครบสมบูรณ์ ส่วนเสากระโดงและใบเรือที่เหลือจะถูกใส่เข้ามาทีหลังด้วยฝีมือของทีมงานจากอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค การเสาะหาผ้าและวัตถุดิบจากทั่วโลก เพื่อนำมาสร้างสรรค์ชุดคอสตูมกว่า 8,000 ชุด เพื่อใช้ใน “Dead Man’s Chest” และ “Pirates III” เป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังอย่างสูง รวมทั้งทีมงานช่างตัด ช่างเย็บ ช่างย้อม ผู้หาวัตถุดิบ ช่างทาสี ช่างทำหนังและผู้ช่วยงานอีกมากมาย สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือคอสตูมเหล่านี้จะต้องดูราวกับถูกตัดเย็บขึ้นมาในศตวรรษที่ 18 ในทุกรายละเอียด เสื้อผ้าเหล่านี้จะต้องดูเหมือนกับว่า มันถูกสวมใส่จริงๆ มาเป็นเวลานาน การเพิ่มอายุและย้อมสีเป็นกระบวนการที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับหนังพีเรียด สำหรับทีมนักแสดงและทีมงาน ความท้าทายสูงสุดคือการท้าทายต่อสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ของเกาะแห่งนี้ ที่มาพร้อมกับอากาศร้อนจัด ความชื้น และฝนตกฟ้าผ่าที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที, การต้องเดินทางไปตามถนนบนเขาที่แคบและอันตราย ที่กว้างในระดับแค่ให้รถเก๋งคันกะทัดรัดสองคันวิ่งสวนกัน หรือปล่อยให้รถขนอุปกรณ์ 16 ล้อวิ่งได้คันเดียวเท่านั้น, ต้องคอยเลี่ยงงูเหลือมงูหลาม (เป็นงูไม่มีพิษ แต่ใช้วิธีรัดด้วยพละกำลัง) และพืชและสัตว์ท้องถิ่นที่แปลกประหลาด ทีมงานยังต้องบุกเบิกงานสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ให้กับทีมงานและนักแสดงของภาพยนตร์เรื่อง “Dead Man’s Chest” ซึ่งรวมถึงเสาโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตไร้สาย ทีมงานมากกว่า 600 ชีวิตของ “Pirates” เดินหน้าเข้าสู่เมืองโดมินิก้าที่ให้การต้อนรับพวกเขา ทำให้คนงานกว่า 400 คนได้ทำงานในกองถ่ายโดยแบ่งแยกกันไปตามแผนกหลังกล้องต่างๆ รวมไปถึงตำแหน่งหน้ากล้องด้วย และถ้าคำพูดที่ว่ากองทัพเดินด้วยท้องเป็นความจริง กองถ่ายภาพยนตร์ก็คงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ในวันที่ถ่ายฉากที่ใหญ่ที่สุดหลายวันในโดมินิก้า พอล คูซมิช ผู้จัดหาอาหารประจำกองถ่าย และทีมงานที่ขยันขันแข็งของเขา ต้องทำอาหารเลี้ยงคนจำนวน 780 ถึง 840 คน แค่อาหารมื้อเช้ามื้อเดียว ทีมงานที่หิวโหยบริโภคไข่ 1100 ถึง 1500 ฟอง, เบคอน 100 ถึง 160 ปอนด์, ขนมปัง 80 ก้อน, ไส้กรอก 50 ปอนด์, ขนมปังแข็ง 400 ก้อน และผลไม้ 10-12 ตะกร้า ยกเว้นของกินที่หาได้ในพื้นที่แล้ว ทุกอย่างต้องถูกส่งมาจากอเมริกา ขณะเดียวกันนั้น เท็ด โยเนนากะ ผู้เชี่ยวชาญในการขนส่ง และลีอา แอนเดอร์สัน ผู้ช่วยที่มีความกระตือรือร้นไม่แพ้กันของเขา ต้องขนส่งรถอาหารไปยังพื้นที่ที่ยากลำบากเพื่อส่งน้ำให้กับทีมงานและนักแสดง ระหว่างรออาหารมื้อสำคัญของคูซมิช การถ่ายทำในโดมินิก้าเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน ที่หาดแฮมป์สตีดของเกาะแห่งนี้ ซึ่งเป็นชายหาดกว้างที่มองออกไปเห็นน้ำทะเลสีฟ้าเป็นประกายระยิบระยับ บนชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ ในขณะที่ด้านหลังเป็นป่าและสวนมะพร้าว อันที่จริง ต้นไม้บางส่วนเป็นฝีมือการสร้างของทีมงานเพื่อใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยผู้กำกับศิลป์ วิลเลี่ยม แล็ดด์ สกินเนอร์ได้นำต้นไม้ 7000 ต้นเข้ามา หลายต่อหลายฉากถ่ายทำกันบริเวณในและรอบๆ หาดแฮมป์สตีด ซึ่งรวมถึงฉากการต่อสู้ระหว่างแจ็ค สแปร์โรว์, วิลล์ เทอร์เนอร์ และเจมส์ นอร์ริงตันบนวงล้อใหญ่ยักษ์ที่กำลังหมุนอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในฉากที่ซับซ้อนที่สุดที่เคยเห็นกันมาในภาพยนตร์ ในบรรดาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในฉากนี้ก็คือความจริงที่ว่าบางครั้งลูกมะพร้าวที่ทั้งใหญ่ทั้งหนัก มักหล่นลงมาจากต้นมะพร้าวที่มีความสูงถึง 100 ฟุตขณะที่กองถ่ายปักหลักถ่ายทำอยู่ จนทีมงานต้องพากันสวมหมวกป้องกันศีรษะ และกอร์ เวอร์บินสกี้ต้องใส่หมวกกันน็อคแบบโบราณ
ส่วนหนึ่งของฉากแอ็คชั่นปนตลกที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งวิลล์ เทอร์เนอร์ และโจรสลัดของเรือแบล็คเพิร์ลคนอื่นๆ โดนขังอยู่ในกรงทรงกลมขนาดใหญ่ที่ทำจากกระดูกมนุษย์ (ซึ่งอันที่จริงทำจากลาเท็กซ์และโฟม) ถ่ายทำกันที่ติตู กอร์จที่โด่งดังของโดมินิก้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติมอร์น ทรอยส์ พิตันส์ ที่ตั้งอยู่ใจกลางโดมินิก้าทางด้านใต้ น้ำที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็งทำให้ทีมงานต้องสวมใส่ชุดเว็ตสูท แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้มากนักเมื่อเกิดพายุฝนกระหน่ำทำให้การถ่ายทำของวันนั้นต้องล่าช้าออกไป...แต่ก็อย่างที่หลายคนบอก เฮ้ นี่มันป่าฝนนะ! “ตอนที่ผมคิดว่าผมคงลืมไปแล้วว่าอากาศหนาวในโดมินิก้าที่ร้อนแสนร้อนเป็นยังไง ‘Pirates of the Caribbean’ ก็มีหนทางที่จะทำทุกความปรารถนาของคุณให้เป็นจริง” เควิน อาร์ แม็คนัลลี่บอก “สำหรับฉากที่กรงซึ่งทำจากกระดูกตกลงสู่ลำธารลึก พวกเขาต้องเจอกับน้ำที่เย็นที่สุดในโดมินิก้า และเราต้องอยู่ที่นั่นนานถึงสองวัน! แต่ติตู กอร์จเป็นสถานที่ที่อัศจรรย์มาก มันกว้างเพียงแค่ 10 ฟุต แค่ตกมาจากหน้าผาก็จะต้องเจอกับน้ำเย็น ใส สวยที่เราเจอกันอยู่นี่”ฉากกรงกระดูกเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากแผนกต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมถึงผู้ประสานงานสตั๊นต์อย่างจอร์จ มาร์แชลล์ รัจด้วย “ความเป็นจริงที่เราต้องจับคนใส่ลงไปในกรงนี้ กลิ้งมันลงไปตามเขา ตกไปจากหน้าผา และแกว่งไปมาระหว่างกำแพงหิน กลายเป็นปัญหาไม่น้อย เราสร้างกรงที่เบาพอจะให้คนแบกมันขึ้นมาได้อย่างไร มีการค้นคว้าและทดลองเยอะมาก เราลงเอยด้วยกรงหลายเวอร์ชั่น มีกรงอันหนึ่งที่ทำจากโฟมน้ำหนักเบา ส่วนกรงอีกกรงหนึ่งทำจากวัสดุที่มีน้ำหนักมากขึ้น จะเอาไว้ใช้สำหรับฉากที่ต้องกลิ้งลงจากเขา” .....“ฉากกรงกระดูกมันบ้ามาก” บลูมเล่า “ครั้งแรกที่พวกเขาปล่อยเราจากเครน ไม่มีใครรู้ว่าจะเจอกับอะไร มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกระโดดบันจี้จัมป์...ท้องคุณจะเบาหวิว เชื่อผมเถอะ คุณไม่มีทางลืมวินาทีแบบนั้นแน่” “ฉากกรงกระดูกมันบ้ามาก” บลูมเล่า “ครั้งแรกที่พวกเขาปล่อยเราจากเครน ไม่มีใครรู้ว่าจะเจอกับอะไร มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกระโดดบันจี้จัมป์ ...ท้องคุณจะเบาหวิว เชื่อผมเถอะ คุณไม่มีทางลืมวินาทีแบบนั้นแน่” ...ยังมีฉากที่กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ต้องวิ่งหนีไปตามชายหาดเพื่อหลบให้พ้นจากกลุ่มชาวเกาะที่กำลังโกรธแค้น ซึ่งถ่ายทำกันที่ชายหาดแฮมป์สตีด “ฉากนั้นเหนื่อยมาก” จอห์นนี่ เด๊ปป์ยอมรับ “คนสองร้อยคนแต่งตัวเป็นชาวเกาะวิ่งไล่ตามผมมาตามชายหาดในขณะที่ผมแต่งตัวเป็นแจ็ค สแปร์โรว์แบบเต็มยศ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่ามาก” “Dead Man’s Chest” ที่ใช้เวลาในการถ่ายทำนานเกือบหนึ่งปีเต็มนับแต่ที่เริ่มต้นถ่ายทำกันในเบอร์แบงก์ ได้ปิดกล้องลงแล้ว ในวันสุดท้ายของการถ่ายทำ ณ โลเกชั่นในแคริบเบี้ยน ทีมงานทุกคนได้มารวมตัวกันในเต้นท์อาหารที่แค้มป์ในแกรนด์บาฮาม่า โดยบรัคไฮเมอร์, เวอร์บินสกี้ และทีมงานของเขา ได้สรุปรายละเอียดข้อมูลสำคัญๆ เอาไว้ดังต่อไปนี้:
ผู้ประสานงานการเดินทางของกองถ่ายได้จองตั๋วเครื่องบินแบบเดินทางเที่ยวเดียวจำนวน 10,000 ใบ นี่ยังไม่รวมถึงการเช่าเครื่องบินเหมาลำ
มีการซื้อโทรศัพท์ในโดมินิก้าไป 475 เครื่อง
ถังน้ำมันจำนวน 550 ถังถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ตกแต่งฉาก
ควันจำนวน 178 บาร์เรลถูกใช้ไปโดยแผนกสเปเชียลเอฟเฟ็กต์
ถ่านจำนวน 6,000 ก้อนถูกใช้ไปโดยแผนกเสียง
ในฉากหนึ่ง ทุกแผนกในกองถ่ายใช้วอล์กกี้ทอล์กกี้สูงถึง 200 ตัว
เชือกบนเรือ การตกแต่งฉาก และอุปกรณ์แต่งฉาก ทำให้ทีมงานใช้เชือกไปกว่า 463,000 ฟุต...ซึ่งเท่ากับระยะทางยาว 87 ไมล์!
รวมการถ่ายทำของกองถ่ายที่ 1, 2 และหน่วยงานอื่นๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ฟิล์มในการถ่ายทำรวมความยาวได้ 335 ไมล์... เพียงพอที่จะทอดตัวจากลอสแอนเจลิสไปถึงซาคราเมนโต้
แผนกอาหารต้องประกอบอาหารไปทั้งหมด 200,000 มื้อและก็ถึงเวลาแล้วที่ทั้งนักแสดงและทีมงานจะได้กลับบ้านไปหาคนที่พวกเขารัก และชื่นชมกับความทรงจำที่คุ้มค่าในหนึ่งปีที่ผ่านไป “มันน่าทึ่งในทุกระดับเลยนะ” จอห์นนี่ เด๊ปป์ กล่าว “คุณแทบจะกลายเป็นครอบครัวเร่ร่อนที่แสนแปลกประหลาด เป็นเหมือนคณะละครสัตว์ร่อนเร่”
“การต้องจากครอบครัวและเพื่อนๆ ไปเป็นเวลานานขนาดนั้นต้องเป็นเรื่องลำบากใจอยู่แล้ว แต่เราได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันขึ้นมา และในกองถ่ายยังมีบรรยากาศที่ดีอีกด้วย” ออร์แลนโด้ บลูมกล่าว “เวลาหลายชั่วโมงอาจดูยาวนานและการทำงานก็แสนจะท้าทาย แต่พวกเราทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นคือโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นความบันเทิงที่มีคุณภาพ เป็นความสนุกสนานของทั้งครอบครัว มีเรื่องที่ดีที่ทุกคนสามารถสนุกสนานได้ เนื้อเรื่องไม่จริงจังเกินไป และให้อิสระกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นในภาพยนตร์สักเรื่อง และที่มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกราวกับว่าผมกำลังมีชีวิตอยู่ในความฝันมากมายในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการโหนตัวอยู่กับเชือก การกลิ้งไปในกรงกระดูก การสไลด์ตัวไปตามใบเรือ หรือการได้จูบกับผู้หญิงสวย อันที่จริงงานนี้เป็นงานยาก แต่มันถูกทำให้ดูเหมือนง่ายมากเมื่ออยู่บนจอ แต่การได้แสดงสิ่งเหล่านี้ก็มีความสนุก ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเพราะนี่คือกลุ่มคนเก่งๆ มีความคิดมากมายและความใส่ใจที่ถูกใส่ลงไปในกระบวนการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหมด” “ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครสร้างภาพยนตร์แบบนี้อีก” บลูมสรุป “มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดสิ้นสุดของยุคๆ หนึ่งในแง่ของการสร้างภาพยนตร์แบบนี้ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้”“ผมมีความนับถืออย่างลึกซึ้งต่อกอร์ และยังคงมีความนับถือเขาเสมอมานับแต่ที่เราได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ภาคแรก” จอห์นนี่ เด๊ปป์กำลังพูดถึงผู้กำกับของเขา “แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ การได้เห็นสิ่งที่เขาต้องเจอในการทำงานแต่ละวันถือว่ามหัศจรรย์มาก กับความกดดันที่เขาต้องเจอ ผมไม่เคยเห็นเขาหลุดไปจากความใจเย็นหรือจินตนาการของเขาเลย เขาสามารถรับมือและต่อสู้ในแบบของเขา เป็นภาพที่มหัศจรรย์ที่ได้มาเห็น กอร์เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่คุณในฐานะที่เป็นนักแสดง สามารถที่จะทิ้งบทไปโดยไม่ต้องอ่านมันเลย และไว้วางใจในความรู้ของเขาที่มีต่อเรื่องนี้ เขารู้จักมันเป็นอย่างดี”“กอร์คือผู้กำกับที่เป็นปรากฏการณ์” ออร์แลนโด้ บลูมกล่าวเสริม “ตอนที่ผมได้ดูภาพยนตร์ภาคแรก ผมประทับใจมากกับวิธีที่เขายังคงรักษาความเป็นหนึ่งทั้งกับเรื่องและตัวละครไว้ได้ กอร์มีความสามารถที่จะกระตุ้นทีมงาน และมีจิตวิญญาณและพลังกระชุ่มกระชวยที่จะตีฉากทุกฉากให้แตกกระจุย ไม่ว่ามันจะมีความซับซ้อนสักแค่ไหนก็ตาม”คีร่า ไนต์ลี่ย์เห็นด้วยกับเพื่อนร่วมจอของเธอ “ฉันไม่รู้หรอกว่าสมองของกอร์คิดพิจารณาถึงทุกเรื่องในเวลาเดียวกันแบบนี้ได้ไง แต่มันน่าประทับใจมาก ฉันคิดว่ามันสำคัญนะที่ในภาพยนตร์แบบเรื่องนี้ ซึ่งวางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในดินแดนแห่งจินตนาการและความฝัน จะต้องมีแก่นอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกสมจริง และนั่นก็คือสิ่งที่ฉันคิดว่ากอร์ทำ...เขาทำให้มันดูเหมือนจริงได้เสมอ”ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยร่วมงานกันเป็นประจำหรือจะเป็นพวกทีมงานหน้าใหม่ว่าไม่มีอะไรจะเหมือนกับการได้มาอยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ของเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์อีกแล้ว “ภาพยนตร์ภาคแรกให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม และนับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป” เด๊ปป์บอก “ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความเป็นเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์แท้ๆ ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างจะยิ่งใหญ่ แต่ก็ถูกสร้างออกมาอย่างมีรสนิยม เจอร์รี่ใช้คนเก่งที่สุดในวงการ และมันน่าประทับใจมาก”“เจอร์รี่มีทีมงานรอบตัวที่มีความสามารถรับมือกับทุกอย่างที่กอร์และทีมเขียนบทต้องการ” ออร์แลนโด้ บลูมกล่าวเสริม “มักจะมีความรู้สึกที่ว่า ‘เราจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร’ นั่นคือทัศนคติที่เจอร์รี่มีต่อชีวิตและงานสร้างภาพยนตร์ ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ มันคือวิธีการสร้างภาพยนตร์ที่มีความกล้าหาญ ไร้ความหวาดกลัว และบางครั้งมันก็น่าปลาบปลื้มอย่างมาก” “ตอนนี้ ฉันแสดงภาพยนตร์ของเจอร์รี่มาแล้วสามเรื่อง” คีร่า ไนต์ลี่ย์บอก “และมันน่าทึ่งมาก พวกมันยิ่งใหญ่จริงๆ! สเกลของภาพยนตร์เหล่านี้ยิ่งใหญ่มาก เจอร์รี่สร้างโลกโจรสลัดขึ้นมาทั้งโลก และเราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของมัน สุดยอดจริงๆ”
แต่การทำงานยังไม่จบสิ้น พวกเขาต้องหยุดพักจากการถ่ายทำภาพยนตร์ “Pirates of the Caribbean III” เพื่อที่บรัคไฮเมอร์และเวอร์บินสกี้จะสามารถเริ่มต้นงานโพสต์โปรดักชั่น พวกเขากระโดดเข้าห้องตัดต่อกับทีมผู้ลำดับภาพเคร็ก วู้ด และสตีเฟ่น ริฟกิ้น รวมไปถึงยังต้องจัดการงานวิชวลเอฟเฟ็กต์, ซาวน์เอฟเฟ็กต์, การแต่งดนตรีประกอบ และรายละเอียดอีกนับพันที่ต้องทำให้เสร็จเพื่อให้ภาพยนตร์เรื่อง “Dead Man’s Chest” เสร็จสิ้นได้ทันเวลาฉายในวันที่ 7 กรกฎาคม วอลท์ดิสนีย์ อิมเมจิเนียริ่งต้องปรับปรุงเครื่องเล่น “Pirates of the Caribbean” ซึ่งมีกำหนดจะต้องเปิดให้บริการในเวลาเดียวกันกับที่มีการเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์อธิบายว่า “พวกเขาเพิ่มตัวละครเด่นๆ เข้าไปในเครื่องเล่น ซึ่งจะต้องเป็นความตื่นเต้นสำหรับพวกเราที่จะได้เห็นตัวละครที่พวกเราสร้างขึ้นมา กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกของดิสนีย์”และ ใช่แล้ว...หลังจากเปิดตัวฉายภาพยนตร์เรื่อง “Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest” แล้ว บรัคไฮเมอร์, เวอร์บินสกี้ และทีมงานจะต้องกลับไปยังฉาก โรงถ่าย และท้องทะเลเพื่อสร้างภาพยนตร์ “Pirates of the Caribbean III” ที่ขณะนี้ยังไม่มีชื่อตอน เรือแบล็คเพิร์ลจะได้กลับลงทะเลอีกครั้ง...และการผจญภัยของ “Pirates of the Caribbean” จะดำเนินต่อไป!

The Android By Johnnie Walker

The Android Thai Version



The Android English Version



Johnnie Walker Android ad from martinez2006 and Vimeo.

Behind The Scene The Android


Johnnie Walker’s latest television commercial comes from the future through the perspective of an android. The 60 second Scotch whisky TV advertisement, “Human”, provides an ambience consistent with that of Isaac Asimov’s story Bicentennial Man, directed as a film by Steven Spielberg, and Stanley Kubrick’s A.I.

An android (played by Aaron Cash) sits in a library of the future saying, “I am faster than you, stronger than you. Certainly I will last much longer than you. You may think that I am the future. But you’re wrong. You are. If I had a wish, I wish to be human”.

Outside now, the android turns in the sunlight. “To know how it feels to feel”. The android grabs a butterfly in his hand, then releases it.
Back in the library the butterfly provides a point of continuity for the soliloquy. “To hope, to despair, to wonder, to love. I can achieve immortality by not wearing out. You can achieve immortality simply by doing one great thing.

The Johnnie Walker Human ad was developed at Bartle Bogle Hegarty, London, by chairman and worldwide creative director John Hegarty, copywriter and art director Justin Moore and Steve Robertson, with producer Kristin Armstrong.

Filming was directed by Dante Ariola, with MJZ, with producer Debbie Turner. Editing was done by Andrea McArthur at Peepshow, London.

Post production was done at The Mill, London, with producer Helen Hughes, Lead Flame Chris Knight, Lead 3D producer Gil James, Lead 3D Supervisor Russell Tickner. Flame artists were Richard Roberts, Coory Brown, Dave Birkhill. Flame Assists were Mark Payne, Stirling Archibald and Sheldon Gardener. 3D artists were Christ Rabbet, Eva Kuehlmann, Daniel Hope and Vincent Baartsoen. The Mill’s new podcast channel includes a video showing behind-the-scenes development of the visual effects.

Original music was composed by Peter Challis, Marc Teitler and Bernd Würtz at A-Bomb, London.

“พจน์” สุดทนประโยคเด็ด “เสี่ยเจียง” มึงทำหนังเอี้ยอะไร?


“พจน์” สุดทนประโยคเด็ด “เสี่ยเจียง” มึงทำหนังเอี้ยอะไร?
จัด “ปาร์ตี้เจ็บกระดองใจ” ไปเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พจน์ อานนท์ ผู้กำกับฯที่ขยันตกเป็นข่าวฉาวมากที่สุดของวงการ เรียกว่าไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรเป็นต้องตกเป็นข่าวได้ตลอด ทั้งที่เธอไม่ได้ เปิดหวอ ทำนมหก ถ่ายนู้ด ใดๆ เธอก็ตกเป็นข่าวรายวันได้ตลอด
ล่าสุดกับข่าวที่ว่า พจน์ ทะเลาะกับ เสี่ยเจียง-คุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ จนถึงขั้นประกาศกร้าวของลาออกจากค่าย สหมงคลฟิล์ม แล้วหอบเอาหนังเรื่องใหม่ของเขาคือ “หนังกะเทย ที่มี โก๊ะตี๋, อ.ยิ่งศักดิ์, เอกชัย ศรีวิชัย และเป้ย-ปานวาด นำแสดง” ไปทำกับค่ายไฟว์สตาร์แทน
งานนี้ มันมีเบื้องหลัง เบื้องลึก อย่างไรกันแน่?
* พจน์ น้อยใจเสี่ย
ข่าว “คลุกวงใน” รายงานมาเป็น “ต่อยหอย” ว่า เรื่องนี้น่าจะเริ่มมาตั้งแต่คดีบาดหมางระหว่าง พจน์ อานนท์ กับ ตั๊ก-บงกช ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันจนถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลียร์ให้ลงเอยกันด้วยดี
กรณีนี้ ข่าวว่า พจน์ อานนท์ ออกอาการน้อยใจ เสี่ยเจียง อยู่ไม่น้อย เพราะดูทีว่า เสี่ยเจียงออกจะเข้าข้าง ตั๊ก-บงกช มากกว่า (จนมีหลายคนยุให้ พจน์ อานนท์ ไปเสริมอึ๋ม เผื่อว่าสถานการณ์จะพลิกมาเข้าเขาบ้าง)
แต่สถานการณ์มาแตกหักเอาก็อีตอนที่ พจน์ทำหนังเรื่อง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็น “หนังเกย์” ที่ พจน์ตั้งใจสร้างอย่างแรงกล้า เพื่อหวังจะทำหนังขายคุณภาพ โชว์ฝีมือให้ใครๆ ได้เห็นว่า เขาสามารถจะทำหนังคุณภาพที่มีเนื้อหาเข้มๆ ได้เช่นกัน ไม่ใช่ทำเป็นแต่ “หนังกะเทยตลก” เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พจน์ พยายามจะพิสูจน์ตนเองมาตลอด
ครั้นเมื่อพจน์ทำหนัง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” เสร็จเรียบร้อย จัดการฉายให้เสี่ยเจียงดู คำวิจารณ์ที่ได้รับจากเสี่ยเจียงก็คือ “ไอ้พจน์ มึงทำหนังเอี้ยอะไรวะ?” !?!
เสี่ยเจียงวิจารณ์สรุปด้วยถ้อยคำจากยุคพ่อขุนราม ซึ่งถ้อยคำเช่นนี้ถือว่าเป็นสไตล์ปกติของเสี่ยเจียงที่มักจะพูดจาตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้ผู้ชายหัวใจไหวอย่าง พจน์ อานนท์ สุดจะทนฟังได้ เพราะเกิดไม่ทัน ยุคพ่อขุนราม
แต่นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่า การที่เสี่ยเจียงเสนอให้พจน์เอาหนังเรื่องนี้ไปสร้างใหม่ โดยให้ปรับแต่งเป็นหนังแอ็กชัน...ซะงั้น! ถือเป็นข้อเสนอที่ หยามเกียรติผู้กำกับฯ เป็นที่สุด
นี่จึงเป็นข้อเสนอที่พจน์ไม่อาจสนองได้! เนื่องจากหนังทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญคือ พจน์ตั้งใจจะทำเป็นหนังดรามา ขายความประทับใจ แต่เสี่ยเจียงกลับจะให้ไปเปลี่ยนเป็นหนังแอ็กชันซะงั้น...แล้วมันจะไหวเหรอครับเสี่ย?
เจอเข้ามุกนี้ พจน์ อานนท์ ก็เลยประกาศกร้าวว่า “ถ้างั้นผมลาออกละกัน” !
ว่าแล้ว พจน์ อานนท์ ก็สวมวิญญาณน เกย์ไทยหัวใจเพชร เอ๊ย...ชายไทยหัวใจเพชร เดินสะบัดก้นงอนๆ ออกมาจากค่ายสหมงคลฟิล์ม ทันที
แต่ประทานโทษ จะออกมาแบบ ตัวเปล่าเล่าเปลือย มันก็ใช่ที่ เพราะว่าเธอมี “บางอย่าง” คั่งค้างอยู่ เธอจึงหอบเอา “หนังกะเทย” ที่เตรียมสร้างเป็นผลงานล่าสุดออกมาด้วย
แล้วค่ายไหนล่ะ ที่พจน์จะเดินเข้าไปหา ถ้าไม่ใช่ค่ายที่เป็นเหมือน “ฝั่งตรงข้าม” ของค่ายสหมงคลฟิล์ม อย่าง ค่ายไฟว์สตาร์
งานนี้จึงเป็นเหมือน “ลูกวิ่งมาเข้าทาง” ผู้บริหารของค่ายห้าดาวก็ซัดลูกเข้า “ตุงตรงเป้า” เสี่ยเจียง พอดิบพอดี (ป่านนี้เสี่ยเจียงอาจมี “หน้าเขียว” เพราะความเคือง)
ด้วยการตอบรับพจน์คืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง เพราะพจน์เองก็ใช่ใครอื่น เขาเคยแจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์จาก ค่ายไฟว์สตาร์ นี่แหละ จากหนังเรื่อง “สะแด่วแห้ว” ในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับฯ และ “สติแตก สุดขั้วโลก” ในฐานะผู้กำกับฯ
ไฟว์สตาร์ พร้อมให้ พจน์ เปิดกล้องถ่ายทำหนังเรื่องนี้ทันที!
* หนังเกย์ – หนังกะเทย By พจน์ อานนท์
อันว่าหนังเรื่องนี้นั้น แต่เดิมพจน์ตั้งชื่อว่า “หอแต๋วแตก” ที่มีพล็อตเรื่องคร่าวๆ ประมาณว่า นักศึกษาสาวนางหนึ่ง (เป้ย-ปานวาด) ที่ฆ่าตัวตาย เพราะถูกผู้ชายข่มขืน วิญญาณนของเธอดันไปเข้าสิงในร่างของแต๋วอย่าง โก๊ะตี๋ นักศึกษาในหอพักแห่งหนึ่ง เรื่องมันก็เลยชุลมุนวุ่นวาย กลายเป็น หอแต๋วแตก สมชื่อ
ต่อมา เสี่ยเจียง เกิดนึกอยากจะเปลี่ยนชื่อเพื่อ เอาเคล็ด จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “โกยนะยะ” แทน ซึ่งพจน์ก็ “ยินยอมพร้อมใจเปลี่ยน” แต่โดยดี ไม่มีขัดใจเสี่ย
แต่เมื่อเกิดคดี “เสี่ยไม่ปลื้ม...จบ” ขึ้นมาเช่นนี้ เมื่อพจน์หอบเอาหนังเรื่องนี้ไปทำกับค่ายใหม่อย่าง ไฟว์สตาร์ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา พจน์จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อหนังเสียใหม่เป็น “อีบานเช้า เขย่าโลง” !
ซึ่งความจริง ชื่อนี้มาจากชื่อเดิมว่า “อีบานเช้า เขย่าเมือง” หนังอีกโปรเจ็กต์ของพจน์ที่เขาเคยคิดที่จะทำแต่ยังไม่ได้ลงมือ คงจะมีการสลับสับเปลี่ยนกันเพื่อให้ลงตัว ฟังดูชวนเวียนหัวนัก
กลับมาที่หนังเกย์เรื่อง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” ที่เสี่ยเจียงให้เกียรตินิยามมาด้วยถ้อยคำที่ คม-ชัด-ตรง ว่า “หนังเอี้ยอะไรวะ?” นั้น พจน์ อานนท์ เถียงคอเป็นเอ็น เขายืนยันมั่นใจว่า
นี่เป็นหนังคุณภาพเรื่องหนึ่งของเขา ที่หลายคนที่ได้ดูในวันนั้นต่างก็ร้องไห้กันระงม ต่างรู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้
คงมีเพียง เสี่ยเจียง คนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ “อิน” และเขาก็มั่นใจว่า หนังเรื่องนี้จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ กลุ่มเพศที่สาม ที่ถือว่าเป็น กลุ่มเป้าหมายหลัก ของหนังเรื่องนี้
พจน์ยืนยันว่า ขนาด ผู้กำกับฯ รุ่นบรมครูท่านหนึ่ง ที่ได้ดูแล้ว ยังเอยปากว่า “พจน์ คุณจะทำหนังชิงออสการ์หรือยังไง? “ ซึ่งพจน์ตีความว่า “นี่คือคำชม” แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ฟังกับหูตัวเอง เลยไม่อาจฟันธงว่า
นี่เป็นคำชม หรือคำประชด กันแน่ !
งานนี้หากจะวิเคราะห์กันแล้ว การที่เสี่ยเจียงไม่ปลื้มหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยว่า เสี่ยเจียงไม่ได้เป็น เกย์ ไม่ได้เป็น พลพรรครักตุ๊ด การที่จะออกอาการไม่ปลื้มหนังเกย์เรื่องนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก
แต่ถ้าหากว่า เสี่ยแกออกอาการปลื้มสุดๆ ร้องห่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาเล็ด นั่นสิเรื่องแปลกแน่ๆ เพราะชมรมชาวสีม่วงอาจได้สมาชิกใหม่ทันที
แต่ที่น่าถกเถียงกัน ณ ตอนนี้ก็คือ ตกลงหนังเรื่องนั้น คุณภาพออกมาประมาณไหนกันแน่? ดี หรือ ไม่ดี อย่างไร?
“ดีมั่กๆ” อย่างที่ พจน์ อานนท์ มั่นใจนักหนา หรือว่า “เอี้ยมั่กๆ” อย่างที่ เสี่ยเจียงบริภาษ นี่ต่างหากล่ะที่เป็นปริศนาชบาไพรที่ต้องการคำตอบ!
แต่อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ พจน์ อานนท์ ก็ได้เดินออกมาจากค่ายสหมงคลฟิล์มมาเรียบร้อยแล้ว หนังเรื่อง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” จะได้ฉายหรือไม่ ยังไม่มีใครรู้คำตอบ เพราะมีหลายแนวทางที่อาจเป็นไปได้ อาทิ
หนึ่ง เสี่ยเจียงตัดใจ นำไปลงเป็นหนังแผ่นไปซะเลย
สอง เสี่ยเจียงยกให้ผู้กำกับฯ ในสังกัดใครสักคนเอาไปทำใหม่ เพื่อให้ออกมาเป็นหนังแอ็กชันอย่างที่ใจเสี่ยปรารถนา (ลองหลับตานึกภาพ องค์บาก หรือ ต้มยำกุ้งในเวอร์ชันหนังเกย์ ก็คงจะมีเฮเหมือนกันนะตัวเอง)
สาม แม้ว่า เสี่ยจะไม่ปลื้ม แต่ถ้าหากว่า การที่พจน์ทะเลาะกับเสี่ยเจียง แล้วเกิดกระแสข่าวตูมตามเกรียวกราวออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นไปได้มากว่า เสี่ยอาจจะเปลี่ยนใจ ลองเสี่ยงนำหนังเรื่องนี้ออกฉาย เพื่อหยั่งเชิง และชิมลาง
ซึ่งข้อสามนี้ ถ้าหากว่า หนังเกิดกลายเป็นความสำเร็จแบบพลิกความคาดหมาย ต่อไปใครจะรู้ว่า เสี่ยเจียง อาจจะ ส่งเทียบเชิญ พร้อม เครื่องบรรณาการ ไปเป็นการขออภัย น้องพจน์ พร้อมเรียกร้องให้ น้องพจน์ กลับคืนสู่ค่ายตราใบโพธิ์อีกครั้งก็เป็นได้
คุณต้องรู้ความจริงอย่างหนึ่งของวงการบันเทิงว่า ไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูที่ถาวร “ผลประโยชน์” เท่านั้นที่แน่นอน!!!
* อนาคต พจน์ อานนท์
นอกจากอนาคตของ “หนังเกย์” เรื่อง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” ที่ต้องจับตาดูว่า จะได้ฉายหรือไม่แล้ว อีกทิศทางที่ต้องจับตาก็คือ อนาคตของ พจน์ อานนท์ ว่าจะเป็นเช่นไร
เพราะจะว่าไป ณ วันนี้ พจน์ อานนท์ ตกอยู่ในสภาพเหมือน “ชายสามโบสถ์” เพราะเขาเป็นผู้กำกับฯ ที่ย้ายค่ายหนังมาแล้ว 3 ค่าย
เริ่มต้นกับ ค่ายไฟว์สตาร์ ทำหนังมาหลายเรื่อง อาทิ สติแตกสุดขั้วโลก, 18 ฝนคนอันตราย, ว๊าย...บึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก, โกซิกส์ โกหก กะล่อน ปลิ้นปล้อน ตอแหล
ก่อนจะย้ายไปทำกับ ค่ายอาร์เอส ทำเรื่อง “ปล้นนะยะ” ที่มีปัญหาเรื่องนำเอาโลโกของเสื้อผ้าแบรนด์ดังมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หวิดถูกระงับฉายจนต้องมีการเสียเงินเพื่อลบโลโกเสื้อผ้าแบรนด์นั้นออกจากหนัง ทำเอานายทุนออกอาการเคืองพจน์อยู่มิใช่น้อย โทษฐานที่ทำให้ต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ แล้วย้ายมาที่ ค่ายสหมงคลฟิล์ม ก็มาเจอกับปัญหาเรื่อง ทะเลาะกับดาราในสังกัด และทำหนังไม่สบอารมณ์นายทุนเข้าให้อีก
งานนี้ไม่ได้อยากให้ใครทะเลาะกับใคร เพราะส่วนใหญ่รู้จักกันดีทั้งนั้น โดยส่วนตัว รู้สึกเข้าใจทั้งฝ่าย พจน์ อานนท์ และฝ่าย เสี่ยเจียง
พจน์ อานนท์ นั้น เขาแจ้งเกิดมากับหนังวัยรุ่น ก่อนจะมาได้ดีเอากับ หนังเกย์ หนังกะเทย แนวตลก ขายความสนุกสนาน ที่กลายเป็น “โลโกประจำตัว” ของเขาไปแล้ว ฉะนั้นเวลาจะคิดโปรเจกต์ใหม่ทีไร นายทุนก็มักจะมองเขาว่า ทำหนังเกย์ กะเทย แนวตลกน่าจะดีที่สุด นายทุนจึงพยายามจะให้เขาทำแต่หนังแนวนี้เท่านั้น
โดยที่เจ้าตัวก็มั่นใจว่า เขาทำหนังแนวอื่นได้เช่นกัน ไม่ใช่แค่หนังตลก อย่างที่เขาพยายามจะพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานอย่าง 18 ฝนคนอันตราย, เอ๋อเหรอ มาจนถึง เพื่อน...กูรักมึงว่ะ เป็นผลงานล่าสุด
แต่เหล่านี้ ก็ล้วนแต่เป็นหนังที่ไม่ทำเงินตูมตามเหมือนอย่างหนังตลกที่เขาทำ ยกเว้นเรื่อง “เพื่อน...กูรักมึงว่ะ” ที่ยังไม่ได้ออกฉาย จึงยังไม่อาจทราบผล
ข้างฝ่าย เสี่ยเจียง ก็เข้าใจอยู่ว่า นายทุนทำหนัง ก็อยากจะเห็น “หนังทำเงิน” ถ้าดูแล้วไม่แน่ใจว่าหนังจะได้ตังค์ ก็ไม่รู้จะสร้างออกมาทำไม ยกเว้นว่า มั่นใจว่าจะสร้างเพื่อหวังกล่อง
แต่กับกรณี “หนังพจน์” เรื่องล่าสุดนี้ ก็ยังไม่อาจคาดหวังได้ว่า จะได้ “กล่อง” หรือไม่ เพราะสุดท้ายอาจจะ “แห้ว” ทั้ง “เงิน” และ “กล่อง” ก็เป็นได้สูงเช่นกัน
ยกเว้นแต่ว่า นายทุนดูหนังแล้ว เกิดความรู้สึก “มั่นใจอะไรบางอย่าง” ว่า นี่เป็นหนังดีที่น่าลองฉาย เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีหนังหลายเรื่องที่ ฮิตเกินความคาดหมายทำรายได้เกินคาดคิด สร้างความฮือฮาเกินคาดหวัง
มีตัวอย่างให้เห็นอย่าง นางนาก ของ นนทรีย์ นิมิบุตร, หลวงพี่เท่ง ของ โน้ต เชิญยิ้ม ใครจะคิดว่าฮิตสนั่น โกยสนาน กันขนาดนั้น
นั่นจึงอยู่ที่ว่า เสี่ยเจียง เห็น “สิ่งนั้น” จากหนังของ พจน์ อานนท์ หรือไม่!
สำหรับ พจน์ อานนท์ ก็ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครั้งที่เขาสร้างหนังเรื่อง “โกซิกส์โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล” เขาก็ตั้งใจที่จะสร้างให้เป็นหนังขายฝีมือ ทำเป็นหนังโรแมนติกที่แอบมีการเซอร์ไพรส์ผู้ชมในตอนจบ (ด้วยการเอากะเทยจริงมาเป็นนางเอก ประกบคู่ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์)
แต่ครั้นพอสร้างเสร็จ เขากลับถูก นายทุนค่ายไฟว์สตาร์ ขอให้เปลี่ยนเป็นหนังตลกมาแล้ว จนเขาต้องมีการถ่ายเพิ่ม คิดมุกตลกใส่เข้าไปในหนัง ที่เจ้าตัวเองก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจมาแล้ว
การที่ไฟว์สตาร์รีบรับพจน์กลับคืนสู่บ้านเก่า ส่วนหนึ่ง อาจเป็นความเอ็นดูที่เคยมีกันแมาแต่เก่าก่อน
แต่อีกส่วน เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือ “เกมหักเหลี่ยมโหด” โทษฐานที่ สมาพันธ์ภาพยนตร์สหมงคลฟิล์ม เอ๊ย...สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ เพิ่งจะปลดชื่อหนัง Invisible Waves คำพิพากษาของมหาสมุทร ออกจากการเป็นตัวแทนส่งไปประกวด รางวัลออสการ์ ไปเป็นหนังเรื่อง “อหิงสา...จิ๊กโก๋มีกรรม” ของค่าย อาร์.เอส.แทน
นั่นหมายความว่า พจน์แค่พลัดหลงเข้ามาเป็น “หมาก” ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
ฉะนั้น ในวันที่ พจน์ กำลังเริ่มกลายเป็น ผู้กำกับฯ รุ่นพี่ แล้ว มีผู้กำกับฯ รุ่นน้องวิ่งไล่ตามมาติดๆ จึงสมควรที่ พจน์ จะต้อง “หาตัวเองให้เจอ” หาที่เหมาะที่ควรสำหรับตัวเอง แล้วปักหลักให้ มั่นคง
พจน์เดินมาถึง “วัย” ที่ต้องการ ความมั่นคงในชีวิต แล้ว จะมาทำตัวแบบเอะอะอะไร ก็สะบัดตูดออกจากค่าย ย้ายไปค่ายตรงข้ามให้มันสะใจเล่น ผมว่า...มันหมดเวลาที่จะทำเยี่ยงนั้นแล้ว
ผมรักไฟว์สตาร์...ผมเข้าใจสหมงคลฟิล์ม แต่ผมเอ็นดู และเห็นใจ พจน์ อานนท์ มากกว่า
จึงอยากเตือนมาด้วยความหวังดี คำตอบสำหรับเรื่องนี้ พจน์ อานนท์ ต้องค้นหาด้วยตัวเอง เป็นคำตอบสุดท้าย
สยามรัฐ

ตำรวจตบเท้าต้านหนังเกย์ของ พจน์ อานนท์


ตำรวจตบเท้าต้านหนังเกย์ของ พจน์ อานนท์ ที่ผูกเรื่องความรักเพศเดียว กันระหว่างตำรวจกับผู้ร้าย เป็นการทำลายภาพลักษณ์วงการสีกากีอย่างไม่น่าให้อภัย ถึงขั้นขู่ฟ้องฐานหมิ่นประมาทหากไม่แก้บท ขณะที่วงการเกย์เสียงแตกทั้งเห็นด้วยและค้าน ส่วนผู้กำกับฯดังไม่หวั่น อ้างตัวแสดงไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจ วอนทุกฝ่ายเปิดใจกว้างเพราะเชื่อมั่นสังคมเปลี่ยนไปแล้ว
ช่วงนี้การแบนภาพยนตร์ในเมืองไทยกำลังถูกจับตามองอย่างมาก เริ่มมาจากหนังที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงสถานที่กักกันของเขมรเรื่อง "เกม-ล่า-ท้า-ผี" จนต้องออกมาขอโทษประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นก็มาถึงเรื่อง "หมากเตะ โลกตะลึง" ที่ทางผู้สร้างต้องยอมขาดทุนหลายสิบล้านบาท เพื่อระงับการฉายเนื่องจากเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-ลาว หรือล่าสุดเรื่อง "เดอะ ดาวินชี โค้ด" ที่มีการถกเถียงกันอย่างมาก และทำให้คณะกรรมการเซ็นเซอร์ต้องพิจารณาถึง 2 ครั้งก่อนจะยอมให้นำออกฉายได้
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการมองกัน ว่ากระแสการต่อต้านหรือการเซ็นเซอร์หนังในอนาคตนั้นอาจจะอิงกับกระแสความเห็นของคน ในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะหนังที่มีความหมิ่น เหม่ต่อความเชื่อ มีผลกระทบกับประเทศเพื่อน บ้านและขัดกับศีลธรรมอันดีของคนในสังคม
ล่าสุด นักปั้นและผู้กำกับฯชื่อดัง พจน์ อานนท์ พร้อมด้วยทีมงาน ได้ทำพิธีบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวานนี้ ณ บริเวณศาลพระพิฆเนศ หน้าห้างสรรพสินค้าอิเซตัน โดยหนังเรื่องนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ในระหว่างนี้ทีมงานได้ใช้ชื่อ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" หรือ Friends ไปก่อน ส่วนเนื้อหาของหนังนั้นว่ากันว่าเป็น "หนังเกย์" เรื่องแรกของไทย โดยเป็นหนังแนวดราม่า-โรแมนติก มีพล็อตเรื่องเกี่ยวกับความรักของชายหนุ่ม 2 คน ซึ่งเป็นตำรวจกับมือปืน ทั้งคู่มีชีวิตเป็นเส้นขนาน แต่วันหนึ่ง ก็ได้มาพบเจอกันและสุดท้ายทั้งสองก็รักกัน ทั้งนี้หนังเรื่องดังกล่าวมี กานต์ หงส์ทอง เป็น ผู้เขียนบท
หลังจากมีกระแสข่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ออกไป ก็สร้างความฮือฮาและเริ่มมีกระแสความคิดเห็นในเรื่องนี้ทันที ทั้งมองว่าเนื้อเรื่อง ไม่สร้างสรรค์และอาจจะโดนแบน และการสอบ ถามผู้เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ กระทรวงวัฒนธรรม และฝ่ายเซ็นเซอร์นั้นมีความเห็นไม่ต่างกันว่าหากสร้างออกมาจริงอาจจะมีปัญหาแน่ ขณะที่ ทางผู้สร้างไม่หวั่นยังเดินหน้าต่อ!!
โฆษก ตร.วอนทำเรื่องอื่นดีกว่า
ด้าน พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" ว่า อยากฝากไปถึงนายพจน์ อานนท์ อย่าทำหนังเรื่องนี้เลย เพราะคงมีแต่ความเสีย หายแน่ มันไม่มีประโยชน์ต่อสังคม สู้ทำหนังที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจะดีกว่า อาจจะทำ หนังที่สร้างความสามัคคีให้กับคนในสังคม แบบ นั้นจะดีกว่า
"ผมไม่ได้ต่อต้านหรือปฏิเสธเรื่องเกย์ ทุก ประเทศก็มีคนประเภทนี้อยู่ มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ แต่ก็อยากให้เขาอยู่ในสังคมของเขา แต่ ถ้าคุณพจน์จะทำหนังเรื่องแบบนี้ เอาเรื่องคน ในเครื่องแบบมาทำเป็นหนังเกย์ มันจะทำให้ภาพ ลักษณ์ของตำรวจเสีย ไม่เกิดประโยชน์
ผมอยากให้คุณพจน์สร้างอะไรที่เป็นตัว อย่างที่ดีให้กับสังคม มันจะเหมาะสมกว่า ถ้าเขายังคิดจะทำหนังแบบนี้แล้วเอาตำรวจไปเกี่ยวข้องด้วย ผมว่าชีวิตเขาจะไม่เป็นสุขหรอก เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นจำนวนมากคงไม่พอใจแน่ๆ รับรองได้"
ฟ้องแน่ฐานทำวงการสีกากีมัวหมอง
เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ภูวดล แสนพินิจ อาจารย์ภาควิชากฎหมาย โรงเรียนนายร้อยสาม พราน ซึ่งได้กล่าวถึงเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวว่า เกิดความกระทบกระเทือนต่อวงการ ตำรวจแน่นอนในด้านภาพลักษณ์ แม้ว่าความ จริงในสังคมเรื่องรสนิยมทางเพศมีอยู่ในทุกวงการก็ตาม แต่ถือเป็นการล้อเลียนและขัดต่อ ศีลธรรม เพราะอาชีพตำรวจมีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นอาชีพที่มีเกียรติภูมิในสายตาคนทั่วไป
"น่าจะเอาคนในอาชีพอื่นมาสร้างเป็นหนัง หรือถ้าเป็นหนังเกย์ทั่วๆ ไปก็ไม่ว่า ไม่ใช่นำคน ในอาชีพตำรวจมาสร้างหนังในทางเสียหายซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ขนาดหนังเรื่องอื่นๆ ที่ทำเกี่ยวกับตำรวจ เช่น หนังที่มีเนื้อหาปล้นกรมตำรวจยังให้มีการเปลี่ยนแปลงบทในบางฉาก ผมถามว่ายังไม่เข็ดหรือไง ถ้าหนังเรื่องนี้ยังฝืน สร้างอีกคงจะต้องมีปัญหาแน่นอน เพราะทำ ให้องค์กรตำรวจไม่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเป็นการล้อเลียน ถากถาง ถือเป็นการลองของ
ทางผมจะหารือกับผู้ใหญ่ในการเคลื่อน ไหวฟ้องร้องอย่างแน่นอนในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแง่ความเสื่อมเสีย เข้าข่ายหมิ่นประมาทภาพลักษณ์ของตำรวจ ยิ่งตำรวจ ชายมารักกับผู้ร้ายชายยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคน ร้ายก็คือคนร้าย ไม่ใช่คนดี มันเสียหายอยู่แล้ว ถือว่าหมิ่นประมาท หรือเอาคนในอาชีพทหารมาสร้างเป็นหนังในทำนองเดียวกันทางฝ่ายกอง ทัพเขาก็ไม่ยอมเช่นกัน แต่เบื้องต้นคงต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้สร้างภาพยนตร์ โดยจะขอดูบทและทำการพูดคุยกันในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ ซึ่งหากทางคุณพจน์จะแก้ ไขเนื้อหาในช่วงนี้ก็คงไม่สาย"
พ.ต.ท.ภูวดล กล่าวด้วยว่า โดยปกติการ คัดเลือกนักเรียนตำรวจนอกจากการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์แล้ว ยังต้องผ่านขั้นตอน อื่นๆ อีก 7 ด่าน เช่น การทดสอบบุคลิกภาพ ตรวจสอบประวัติ ฯลฯ มีการกลั่นกรองหลาย ขั้นตอนในทางจิตวิทยากว่าจะมาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งในแต่ละปีมีการคัดเลือกให้ เหลือประมาณ 120 กว่าคน จากจำนวนผู้สมัคร 2 หมื่นกว่าคน
"ใครผิดปกติทางร่างกายและจิตใจก็ไม่เอา ถือเป็นบุคคลประเภท 3 ไม่เอาเข้ามาวงการ ราชการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับวงการตำรวจ"
"รองวิสุทธิ์" รับไม่ได้เป็นตำรวจเกย์
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รอง ผบก.ปดส. ในฐานะผู้มีอำนาจในการจัดระเบียบสังคมและจริยธรรมของจเรตำรวจแห่ง ชาติ มองว่า ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไม่เหมาะสม อย่างแน่นอน เพราะทำให้เสียภาพลักษณ์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคนในวงการอาชีพ ตำรวจ ซึ่งต้องเป็นชายแท้และเป็นลูกผู้ชาย ดู แล้วผิดพฤติกรรมตำรวจที่ต้องเป็นชาย 100% หากเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ถือเป็นการสร้างความเสื่อม เสียในเรื่องศักดิ์ศรีของคนในอาชีพตำรวจ
"ลูกผู้ชายจะมีอะไรกับลูกผู้ชายไม่ได้ ดูได้ จากเพลงมาร์ชของตำรวจที่เขียนไว้ว่า เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง...ยก ตัวอย่างข่าวตำรวจระดับสารวัตรที่เพิ่งถูกกะเทย ฆ่าในม่านรูด ซึ่งคนในสังคมจะคิดเห็นกันอย่าง ไรในการพากะเทยไปนอน คล้ายๆ เป็นการเบี่ยงเบนพฤติกรรม
มนุษย์เราชายต้องคู่กับหญิง แม้คุณจะสร้างหนังเกย์ก็ไม่ควรเอาตำรวจมาเกี่ยวข้อง แค่ ตำรวจรักกับผู้ชายก็ไม่เหมาะสม และยิ่งรักกับ ผู้ร้ายยิ่งไม่ดีใหญ่ ยิ่งทำให้เกียรติภูมิตำรวจเสีย หายเป็นทวีคูณ เป็นตำรวจต้องจับผู้ร้ายต้องทำ ตามหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ทำให้สังคมเกิดความวุ่นวาย เป็นแบบอย่าง ต่อเยาวชนในทางที่ไม่ดี ซึ่งเยาวชนอาจจะอ้างได้ว่าทีตำรวจยังรักกับผู้ร้ายได้โดยไม่เสียหาย ทั้งที่อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่เยาวชนใฝ่ฝัน การ ที่ไปรักกับผู้ร้ายอาจมีการช่วยเหลือให้พ้นผิดได้ เป็นการยึดความรักมากกว่าหน้าที่ และยิ่ง ทะลึ่งไปรักเพศเดียวกันอีกทำให้เยาวชนเกิดการเลียนแบบ"
พ.ต.อ.วิสุทธิ์ กล่าวย้ำอีกว่า แม้ความเป็น จริงทุกสาขาอาชีพในสังคมมีผู้ชายรักผู้ชาย รวม ถึงในวงการตำรวจและทหาร แต่ก็ไม่มีประโยชน์ อะไรที่จะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เพราะยิ่งทำ ให้สังคมเสียหาย ท่ามกลางสังคมในปัจจุบันที่ มีความล่อแหลมในทุกด้าน ทั้งอบายมุข ยาเสพ ติด ตนอยากถามว่าสังคมจะได้อะไร ทำไมต้อง เอาใจกลุ่มเกย์ที่เป็นกลุ่มเล็กๆ ในสังคมไทย ทำไมต้องเอาอาชีพตำรวจมาทำเป็นหนังเกย์ทั้ง ที่ภาพลักษณ์ตำรวจในสายตาประชาชนมองว่าเป็นคนกล้า มีเกียรติ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จิตใจต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่ไปหลงรักเพศเดียวกัน
วธ.แนะต้องระวังสร้างหนังเบี่ยงเบน
น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวให้ความเห็นถึงการสร้างหนังในแนวชายรักชายหรือหนังเกย์ที่กำลังจะสร้างในเร็วๆ นี้ว่า ถือเป็นสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอที่คงจะมีใครหรือหน่วยงานใดไปห้ามไม่ให้สร้างไม่ได้ แต่เชื่อ ว่ากระแสสังคมจะเป็นตัวช่วยตัดสินเองว่าอะไร สมควรหรืออะไรไม่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้มีประ ชาชนที่ตื่นตัวและให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังมากขึ้น
สำหรับการสร้างแนวนี้ในต่างประเทศอาจ จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในเมืองไทยทางผู้สร้าง ควรต้องคำนึงด้วยว่าสังคมไทยมีความพร้อมและยอมรับตรงนี้แค่ไหน เพราะวิถีชีวิตของชาย รักชายนั้นสังคมไทยยังไม่เปิดกว้างยอมรับและ มองว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่ง จริงๆ แล้วตนก็ไม่อยากจะเห็นสังคมเน่าเฟะไปมากกว่านี้
"หากหนังเรื่องนี้สร้างออกมาจริงก็อาจจะทำให้มีคนอยากดู แต่ไม่ใช่การสนับสนุน เป็น เรื่องของการอยากรู้อยากเห็นมากกว่า คนที่ดูโดยเฉพาะวัยรุ่นคงแยกแยะได้และไม่ทำให้เกิด การเลียนแบบหรือเข้าใจผิดว่าสังคมให้การยอม รับเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ส่วนเนื้อหาโดยรวมที่ทำออกมาซึ่งมีการพาดพิงถึงตำรวจนั้นก็เป็นเรื่อง ที่สถาบันนั้นจะดูแลหรือออกมาแสดงจุดยืน รวมทั้งการพิจารณาเนื้อหาแต่ละฉากในหนังนั้น อยู่ที่ฝ่ายเซ็นเซอร์ของกองทะเบียนกรมตำรวจ"
กองเซ็นเซอร์ชี้อยากเสี่ยงลองสร้างดู
ทางด้าน พ.ต.ท.ธงชัย พีระกีรติ ธรรมมากร สารวัตรหน่วยงานกองเซ็นเซอร์กรมตำรวจ กล่าวให้ความเห็นว่า ทางกองเซ็นเซอร์ มีหน้าที่รับหนังทุกเรื่องเข้ามาพิจารณาตรวจสอบ อยู่แล้ว ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แต่การจะให้ผ่านหรือไม่ผ่านนั้นเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ กองควบคุมภาพยนตร์ ซึ่งมีสิทธิ์จะแบน หรือตัดฉากไม่เหมาะสมออกไปได้ โดยแต่ละปีก็จะมีหนังที่ถูกแบนห้ามฉาย 1-2 เรื่อง ส่วน หนังที่ถูกตัดบางฉากออกไปนั้นมีไม่น้อย โดย หนังที่ถูกแบนส่วนใหญ่ทางคณะ กรรมการมองว่ามีเนื้อหาสาระที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและธรรม เนียมประเพณี
ส่วนหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหรือหนังเกย์ที่เป็นหนังไทยนั้น ช่วง 2-3 ปีที่ ตนมารับตำแหน่งนี้ยังไม่เคยพบว่ามีการส่งมาให้กองเซ็นเซอร์ ตรวจพิจารณา หากมีการสร้าง หนังแนวนี้ออกมาจริงก็คงต้องปล่อยให้สร้างไป และลองส่งมา ตรวจสอบดูว่าทางคณะกรรม การจะมีความเห็นอย่างไร
"หนังไทยที่จะสร้างแนวชายรักชายนั้นถือว่าค่อนข้างเสี่ยงต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ทางผู้ สร้างควรจะคิดให้ดีเพราะการลงทุนไม่ใช่เงินน้อยๆ แต่ถ้ากล้าเสี่ยงทางฝ่ายเซ็นเซอร์ก็ต้องดูว่ามีฉากที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า ยิ่งบอกว่าเนื้อ หาเกี่ยวกับตำรวจและผู้ร้ายที่ส่อไปทางรักกัน หรือที่สังคมมองว่าเป็นเกย์นั้น ส่วนตัวมองว่าหากเป็นเรื่องแต่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะไม่ได้ใช้ชื่อ หรือประวัติของตำรวจจริงๆ มาสร้าง แต่ตำรวจในองค์กรมีถึง 2 แสนคนก็อาจจะมี บ้างที่ไม่พอใจที่เอาสถาบันตำรวจมาเกี่ยวข้อง เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะมีกระแสต่อต้านก็ได้" ชาวสีม่วงขอให้เกย์เป็นที่ปรึกษา
ส่วน นายนที ธีระโรจน พงษ์ ผู้นำกลุ่มเกย์การ เมือง ให้ความเห็นถึงหนังที่ จะสร้างเกี่ยวกับชีวิตของชาว เกย์ว่า คนไทยไม่ค่อยคิดวิธี การสร้างหนังเกย์ให้มีความแตกต่างออกไป ส่วนใหญ่จะ สร้างหนังเกี่ยวกับเรื่องเพศตลอด ทำให้พวกเกย์ถูกมอง ในแง่ลบว่าเป็นพวกที่หมก มุ่นเรื่องเพศ
"การสร้างนั้นควรจะเป็นการสร้างสรรค์ ไม่ใช่สัก แต่สร้างอย่างเดียว ควรคำนึง ถึงผลกระทบที่จะมีตามมาต่อกลุ่มชาวเกย์ด้วย ถ้าเป็นไปได้หนังที่เกี่ยว กับเกย์ทุกเรื่องอยากให้มีข้อความขึ้นด้วยว่า เรื่องนี้เป็นแค่หนัง พวกเกย์ทุกคนไม่ได้เป็นเช่นนี้ เพราะหนังจะทำให้คนติดตาและฝังใจว่า พวก เกย์มีแต่พวกที่หมกมุ่นในเรื่องเพศ จริงๆ แล้ว เกย์ที่ทำงานเพื่อสังคมก็มี
อยากจะขอแนะคุณพจน์ ให้พิจารณาเอา กลุ่มเกย์ที่มีคุณภาพเข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ในการสร้างหนังเรื่องนี้ ไม่อยากให้เอาแนวคิด ของตัวเองมาทำให้เสียกันทั้งกลุ่ม ยิ่งเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำรวจจะทำให้คนมองเป็นเรื่องผิด จริยธรรม ยิ่งทำให้คนเกลียดเกย์เข้าไปอีก" "พจน์" แจงแค่ถ่ายทอดรักลึกซึ้ง
ด้าน พจน์ อานนท์ เจ้าของโปรเจกต์ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" ได้กล่าวถึงหนังเรื่องดังกล่าวว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าโรแมนติก ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องอย่างเป็นทางการ สาเหตุที่อยากทำก็เพราะก่อนหน้านี้ตนทำหนังกะเทย "ปล้นนะยะ" มาแล้ว ก็ประสบความสำเร็จดี จึงอยากทำอะไรที่แปลกจากตลาดออกไปบ้าง
"เราอยากทำมานานแล้ว เคยเสนอค่ายหนัง ดังแห่งหนึ่งไป แต่เขาก็ไม่เอา พอมาถึงเวลานี้ สังคมก็เปิดกว้างมากขึ้นก็เลยอยากทำขึ้นมาอีก ผมจึงเอาโปรเจกต์นี้ไปคุยกับเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) สหมงคลฟิล์ม เสี่ยเจียงก็ให้ทำและบอกว่าจะเน้นขายที่เมืองนอกมากกว่า
จุดขายของผมไม่ได้เน้นขายเกย์อย่างเดียว ผมอยากให้ทุกคนดูได้ เพราะสิ่งที่ผมอยากจะ ถ่ายทอดมากที่สุดก็คือ ผมอยากให้ทุกคนมองเห็นว่า ความรักมันเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย ผมอยากจะถ่ายทอด ให้คนได้เห็นความรักระหว่าง ชายกับชายมันลึกซึ้งได้ไม่แพ้ ความรักหนุ่มสาวทั่วไป ซึ่ง ก็จะมีบทเลิฟซีนนิดหน่อย
ความที่ว่าหนังมาทำหลังจากที่ Brokeback Moun- tain ออกฉาย เลยทำให้คนบางกลุ่มคิดว่าเราก๊อบปี้เรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วเปล่าเลย ไปลองค้นคำสัมภาษณ์ เก่าๆ ดูก็ได้ว่าผมพูดเรื่อง นี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีนายทุนยอมให้ทำแค่นั้นเอง"
ผู้กำกับฯชื่อดัง กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาตนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าชอบสร้างกระแสเพื่อโปรโมตหนังของตัวเอง เมื่อตัดสินใจสร้างหนัง เรื่องนี้ก็พยายามที่จะทำแบบเงียบๆ แม้กระทั่ง จัดพิธีบวงสรวงเปิดกล้องอย่างเป็นทางการ ตน ก็ไม่ได้เชิญนักข่าวมาทำข่าวแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ วายตกเป็นข่าวจนได้ และตนเชื่อว่าจะต้องมีคน บางกลุ่มมองว่าตนปลุกกระแสเพื่อโปรโมตหนัง เรื่องนี้อีกอย่างแน่นอน
ยัน "Friends" ไม่ได้ระบุเป็น ตร.
สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบทของหนังเรื่องนี้ที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเป็นเกย์และไปหลงรักกับผู้ร้ายซึ่งเป็นเพศเดียว กันนั้น นายพจน์กล่าวว่า อยากให้ทุกคนรอชม หนังเรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยวิจารณ์กัน ตนยืนยัน ว่าไม่ได้ทำให้ภาพลักษณŒของตำรวจเสียหายแต่อย่างใด
"เรื่องนี้จะพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจบจาก โรงเรียนตำรวจมา ยังไม่ได้ทำงานเป็นตำรวจ เพียงแค่กำลังจะเป็นตำรวจ จึงไม่ได้สวมเครื่อง แบบตำรวจ แต่บังเอิญมาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน แล้วตัวเอกของเรื่องก็มีแฟนเป็นผู้หญิง เขาใช้ ชีวิตตามปกติมาตลอด แต่มาวันหนึ่งได้เจอกับ ผู้ชายคนนี้ก็เกิดอาการสับสน ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องมันก็เท่านั้น มัน เป็นพล็อตที่เราคิดไว้นานแล้ว
เรื่องนี้ไม่ได้บอกเลยว่าตำรวจเลว แล้วตำรวจจะเสียหายได้ยังไง ส่วนเรื่องเป็นเกย์นั้น ผมก็อยากบอกว่าความรักมันเกิดได้กับคนทุก เพศทุกวัยทุกสาขาอาชีพ แต่จริงๆ แล้วในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้บอกว่าพระเอกเป็นเกย์ อย่าง ที่บอกคือ มันเป็นความสับสนที่ไม่สามารถรู้ใจตัวเองได้"
นายพจน์กล่าวอีกว่า อยากให้คิดแค่ว่าพล็อต ของเรื่องนี้คือคนเป็นมือปืนกับคนที่จะถูกฆ่านั้นเกิดรักกัน จึงฆ่ากันไม่ลง อยากให้ทุกฝ่าย เปิดใจกว้าง ตนเชื่อว่าปัจจุบันผู้ใหญ่ในสังคม ก็เปิดกว้างมากขึ้น คนไทยเริ่มรับรู้เรื่องแบบนี้เยอะกว่าแต่ก่อนจึงไม่น่าจะมีอะไรมาก
ผู้กำกับฯชื่อดังยังกล่าวยืนยันด้วยว่า ตน จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพล็อตเรื่องแน่นอน และ ตนไม่กลัวหากจะมีใครไม่เห็นด้วย เพราะมั่น ใจว่าไม่ได้กระทบใครทั้งสิ้น และหากตนจะ มัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ก็คงไม่ต้องทำงานกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
วอนโปลิศยอมรับเอาใจชาวเกย์
นายวรพงศ์ ศิริวรรณ เว็บมาสเตอร์มิสเตอร์โปลิศดอทคอม ซึ่งเป็นที่รู้จักในกลุ่มเกย์ที่นิยมคนในเครื่องแบบโดยเฉพาะคนในวงการตำรวจ กลับมีความเห็นว่า การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อภาพยนตร์เรื่องดัง กล่าวเป็นเรื่องของมุมมองความคิด เพราะโดยปกติแล้วกลุ่มเกย์ถูกคน ในสังคมมองในแง่ลบอยู่แล้ว ดังนั้นเนื้อหาของภาพยนตร์ไม่ควรจะสร้าง ให้เกิดผลกระทบต่อสังคมเกย์โดยรวม ไม่ควรเน้นเรื่องเซ็กซ์มากเกินไป แต่ควรเน้นเรื่องความรักบริสุทธิ์ที่มีต่อกัน
"ถ้าเน้นความรักบริสุทธิ์แบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาและจะทำให้คนทั่วไปยอมรับได้ อย่างกรณีเว็บไซต์ของผมที่ผ่านมาก็ถูกกลุ่มเกย์สาย เอ็นจีโอมองว่าทำให้เกย์โดยรวมเสียภาพพจน์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้มุ่งหมายในเรื่องล่อแหลม
ความรักคนเราเกิดได้ในทุกอาชีพในสังคมไม่ว่าหญิงกับหญิง ชาย กับชาย คิดว่าถ้าหนังเรื่องนี้ทำออกมาดีแบบหนังเกาหลีก็น่าสนใจ บรรดา ชาวเกย์ก็จะมาดูเป็นจำนวนมาก เพราะเกย์ส่วนใหญ่ชอบคนในเครื่อง แบบโดยเฉพาะตำรวจ ซึ่งผมประเมินได้จากข้อความในเว็บและข้อความ ต่างๆ ตามเว็บเกย์ ความจริงก็เข้าใจว่าตำรวจส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ แต่ก็อยากให้ตำรวจเปิดใจยอมรับ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้"
ตำรวจเป็นไบมีถมเถแต่ต้องปิดบัง
อย่างไรก็ตาม นายวรพงศ์ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยเจอตำรวจเป็นเกย์จำนวนมาก และเคยคุยกับตำรวจคนหนึ่งที่เป็นเกย์เหมือนคนทั่วๆ ไป เพียงแค่มีหน้าที่จับผู้ร้ายเท่านั้น แต่จิตใจชอบผู้ชายด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่ตำรวจเป็นไบเซ็กชวล บางคนมีภรรยาหรือบางคนอยู่เป็นโสดชอบทั้งหญิงและชาย จนบางทีเก็บกดเพราะต้องปิดบังคนในอาชีพ เดียวกัน
เว็บมาสเตอร์มิสเตอร์โปลิศดอทคอม ยังแสดงความเห็นใจตำรวจ ที่เป็นเกย์ว่า สังคมตำรวจค่อนข้างปิด ยิ่งทำให้ตำรวจที่เป็นเกย์น่าสงสาร ไม่สามารถทำอะไรที่แปลกแยกจากพวกพ้องได้ หรือใครเป็นโสดก็ถูกมองว่าเป็นเกย์ อีกทั้งตำรวจถูกกดดันในเรื่องวินัยการจะแสดงออกท่าทางกระตุ้งกระติ้งคงไม่ได้ หากผู้ร้ายเห็นอาจเป็นผลเสียต่อหน้าที่การงาน
ทั้งนี้ จากประสบการณ์สามารถมองออกได้ว่าตำรวจคนไหนเป็นเกย์ หรือไม่เป็นเกย์ สังเกตได้ง่ายจากการแต่งเครื่องแบบที่เรียบร้อยกว่าตำรวจปกติ หรือหากดูพฤติกรรมให้ลึกๆ จะมีท่าทางมีเยื้องย้าย อย่าง ตำรวจระดับสูงบางคนในทีวีมีหลายนายที่ตนดูออกว่าเป็นเกย์หรือไม่

Wednesday 15 August 2007

SKY EXITS IRON CHEF TUKTA



เรื่องอาหารการกินที่ Sky Exits Films เราต้องไม่เป็นลองใคร

002 CHEF TUKTA

SKY EXITS IRON CHEF TUKTA

เรื่องอาหารการกินที่ Sky Exits Films เราต้องไม่เป็นลองใคร

002 CHEF TUKTA

SKY EXITS IRON CHEF PANG

เราใส่ใจในทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องอาหาร
SKY EXITS IRON CHEF PANG

Interview : Steve Jobs and Bill Gates

เมื่อสุดสุดแห่งส้นตีน...มาเจอสุดสุดแหน่งส้นตีน....
สัมภาษณ์ 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกดิจิตอล
Steve Jobs and Bill Gates At D

All Buffet in Bangkok Thailand


Advertising Internet Communication
All Buffet in Bangkok Thailand
http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D4938159/D4938159.html

Tuesday 14 August 2007

Block www.youtube.com

ภายหลังจากปลายนิ้วมือกลมๆ ของเพื่อนตัวแสบทำการสัมผัสบนแป้นคีย์บอร์ด
เพื่อแปลงออกมาเป็นตัวอักษรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ http://www.youtube.com

กรอภาพย้อนกลับไป ถ้าพูดถึงเว็บไซต์ที่ฮิตที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นยูทิวบ์ (YouTube) ซึ่งเราสามารถรับชมภาพยนตร์ชื่อดัง รายการโชว์ รวมไปถึงคลิปต่างๆ มากมาย ได้อย่างสนุกสนาน แต่ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วจากเมื่อวาน...

Youtube = Google
ยูทิวบ์ (YouTube) เป็นดั่งเว็บไซต์ศูนย์รวมรายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ฉบับเต็มเป็นจำนวนหลายพันชั่วโมง รวมไปถึงคลิปวิดีโอต่างๆ อีกมากมาย ที่เปิดให้ผู้ที่เข้าไปใช้งานสามารถอัปโหลดและแลกเปลี่ยนคลิปนานาชนิดผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยการทำงานของเว็บไซต์ยูทิวบ์นั้นจะเน้นการแสดงผลวิดีโอผ่านช่องทางในลักษณะ อะโดบีแฟลช ซึ่งเนื้อหาของคลิปวิดีโอก็มีด้วยกันหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ คลิปวิดีโอจากทางบ้าน งานโฆษณาทางโทรทัศน์ และบางส่วนจากภาพยนตร์ โดยผู้ใช้บริการสามารถนำวิดีโอไปใส่ไว้ในบล็อกหรือเว็บไซต์ส่วนตัวของตนเองได้ ผ่านทางคำสั่งที่กำหนดให้ของยูทิวบ์

ยูทิวบ์ถือว่าเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ชั้นนำของอันดับต้นๆ ของโลก ก่อตั้งเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2548 โดย แชด เฮอร์ลีย์, สตีฟ เชง และยาวีด คาริม มีสำนักงานอยู่ที่ซานบรูโน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม 2549 กูเกิล (Google) ได้ประกาศซื้อบริษัทยูทิวบ์เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 1.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ยูทิวบ์ได้รับใบอนุญาตทางธุรกิจกับ CBS Corp และอีก 3 ค่ายเพลงยักษ์ คือ Warner Music Group Corp., Vivendi SA's Universal Music Group และ Sony BMG Music Entertainment

เว็บไซต์ยูทิวบ์มีนโยบายสำหรับการเผยแพร่ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และคลิปวิดีโอต่างๆ ด้วยว่า ต้องไม่อัปโหลดภาพที่โป๊เปลือยและคลิปที่มีลิขสิทธิ์ นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถทำการแจ้งลบได้หากเห็นว่าไม่สมควรประการใด และตั้งแต่ยูทิวบ์เริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ก็มีการโชว์คลิปวิดีโอไปแล้วกว่า 100 ล้านคลิปต่อวันเลยที่เดียว จากยอดความนิยมดังกล่าวทำให้ปัจจุบันมีผู้เช้าชมเว็บไซต์ยูทิวบ์กว่า 72.1 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านคนจากปีก่อน

ตามรอยวิดีโอคลิปอื้อฉาวหายไป!? หลังจากเสียงลือ เสียงเล่าที่ว่ากันว่า กระทรวงไอซีทีเริ่มมาตรการบล็อกเว็บไซต์อันดับ 8 ของเมืองไทยอย่างยูทิวบ์ลงอย่างเป็นทางการ ด้วยการ Redirect เว็บไซต์เข้าสู่เว็บไซต์กระทรวงไอซีทีโดยตรง ซึ่งมีความชัดเจนถึงสาเหตุที่บล็อกว่าเผยแพร่ภาพ และคลิปวิดีโอหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างรุนแรง

การบล็อกครั้งนี้นับเป็นการบล็อกเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง หลังจากสองเดือนก่อนหน้านี้ได้มีการบล็อกเว็บ CNN.COM ไปในคืนที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับทาง CNN

สิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ได้พยายามขอความร่วมมือหลายครั้ง ให้กูเกิลนำคลิปวิดีโอตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพออกจากเว็บไซต์ แต่กลับถูกปฏิเสธ และยืนกรานไม่ยอมถอดคลิปดังกล่าว โดยได้ให้เหตุผลว่าคลิปวิดีโออื่นที่โจมตีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ยังรุนแรงมากกว่านี้ “คลิปวิดีโอดังกล่าว ถูกอัปโหลดโดยผู้ใช้ชื่อ paddidda เมื่อวันที่ 29 มีนาคม มีผู้เข้าชมไปแล้วมากกว่า 16,000 ครั้ง และมีมากกว่า 500 ความคิดเห็นด้วยกัน หลังจากที่ได้มีการออกข่าวไป จำนวนผู้ชมก็หลั่งไหลมากขึ้นถึงกว่า 66,553 ครั้ง ก่อนที่คลิปวิดีโอดังกล่าวจะถูกย้ายออกจากระบบ” สิทธิชัย เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของคลิปวิดีโอเจ้าปัญหา

ผู้ใช้บริการเว็บไซต์ยูทิวบ์ในประเทศไทยจึงถูกปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ ตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน เรื่อยมา และต่อมามีข่าวว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เว็บไซต์เจ้าปัญหายูทิวบ์ก็ได้ทำการลบคลิปที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ออกแล้วภายหลังจากที่ได้รับการจดหมายร้องเรียนเป็นจำนวนมาก

แต่ล่าสุดถึงแม้ว่าคลิปวิดีโอได้ถูกเอาออกไปแล้ว แต่เว็บไซต์ยังคงถูกบล็อกต่อไป ที่เป็นเช่นนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีให้เหตุผลว่า
“ภายในเว็บไซต์ยังมีภาพตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์คงเหลืออยู่ และเราต้องการให้เอาออกทั้งหมด กรณีการบล็อกเว็บไซต์ยูทิวบ์ซึ่งกระทรวงไอซีทีขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยังคงเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะตอนนี้ก็ยังเข้าไม่ได้ และน่าจะยังคงสภาพนี้ไว้อีกระยะแม้ว่าจะมีความคืบหน้าบ้าง เรื่องที่หลายคนสนใจคือ คลิปเจ้าปัญหาที่ถูกค้นพบโดยแฟนพันธุ์แท้นั้นไม่มีความเหมาะสมในประเทศไทย ซึ่งใครๆ ก็เห็นด้วย เพราะฉะนั้นจึงต้องทำการบล็อก“

กระอักกระอ่วนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
ยังมีคำถามตามมาว่า กฎของเว็บไซต์นี้จะไม่มีการตรวจสอบคลิปวิดีโอจนกว่าจะมีการร้องเรียนจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งทำให้หลายๆ คนอาจรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้มีกฎที่ไม่เข้มในการตรวจสอบคลิปต่างๆ ที่ให้ดาวน์โหลดในเว็บไซต์

เจมส์ หนุ่มวัย 30 ต้นๆ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ และการใช้งานในระบบอินเทอร์เน็ต ได้เปิดเผยให้ฟังว่า การบล็อกเว็บไซต์ยูทิวบ์ด้วย URL เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อย่างไรก็ตามต้องมีคนตามล้างตามเช็ดกันเกือบตลอดเวลา วิธีแก้ที่ใช้ตอนนี้ก็คือบล็อกทั้งเว็บไซต์ แต่การทำเช่นนี้บางคนไม่เห็นด้วย เพราะกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติสุขของประชาชนที่ไม่ได้คิดจะดูเข้าไปดูคลิปเจ้าปัญหา

“หลังจากที่หลายคนที่เห็นด้วยกับการบล็อกทั้งเว็บไซต์ออกมาบอกว่าให้แนะนำวิธีที่ดีกว่า ในที่สุดทีม SRAN ซึ่งเคยเสนอทางแก้สำหรับกรณี แคมฟรอก (Camfrog) มาแล้วก็เสนอวิธีใหม่สำหรับกรณียูทิวบ์ ซึ่งน่าจะดีสำหรับทุกฝ่าย คือแทนที่จะบล็อกก็เปลี่ยนมาเป็นตรวจจับแทน นั่นหมายความว่า จะมีเครื่องแรงๆ ไปวางไว้ตามเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีลิงก์ออกนอกประเทศ เครื่องที่ว่าจะตรวจจับและบันทึกเหตุการณ์สำหรับ 3 เหตุการณ์ ได้แก่ หน้าอัปโหลด หน้าค้นหา และหน้าดูวิดีโอ ทุกครั้งที่มีการเข้าถึงหน้าพวกนี้ ผู้ใช้งานจะถูกบันทึกไอพีเอาไว้ วิธีนี้จะทำให้เรามีชีวิตตามปกติ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำเท่านั้นเอง” เจมส์เล่าให้ฟัง

เจมส์ยังบอกต่อไปอีกด้วยว่า อย่างไรก็ตามผู้ใช้ยูทิวบ์ยังคงสามารถเข้าใช้งานได้ผ่านทางการเรียกไอพีโดยตรง เช่น 208.65.153.251 ซึ่งแตกต่างจากครั้งการบล็อก CNN.com ที่เป็นการบล็อกไอพีโดยตรงทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ โกรธได้ แต่ต้องควบคุมได้ เชื่อว่าถ้าคนไทยได้ดูคลิปหมิ่นนั่น ทุกคนจะพูดคำเดียวว่า ‘ปิดมัน’

ปุ๊กปิ๊ก สาววัยอุดมศึกษา ที่ใช้เวลาว่างในการท่องโลกอินเทอร์เน็ต เป็นอีกหนึ่งชีวิตในนามรายชื่อสมาชิกของเว็บไซต์ยูทิวบ์ ให้ความเห็นว่า “การปิดยูทิวบ์เป็นเรื่องดี เพราะคนเราก็รักชาติ รักในหลวง พระองค์ก็ทรงเหมือนกับพ่อแท้ ๆ ของพวกเรา ใครมาว่าเราก็ต้องโกรธเป็นเรื่องธรรมดา แต่เว็บไซต์นี้ก็มีคลิปมากมายหลายคลิปที่เป็นประโยชน์สำหรับเรา แต่สิ่งที่มีประโยชน์ก็ต้องมีโทษ เหมือนกับร่างกายของคนเรา ที่มีส่วนใดเสียเราก็ต้องตัดมันทิ้ง ใช่ว่าจะตายไปได้ทั้งหมด ดังนั้นควรจะปิดหรือแบนเฉพาะคลิป มิใช่ปิดทั้งเว็บไซต์

“ถึงปิดทั้งเว็บไป ก็ได้แค่เฉพาะในไทยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเรา ควรจะคิดหลายๆ แง่ อย่าให้พวกฝรั่งนั่นมาดูหมิ่นเราได้ ควรคำนึงถึงเหตุผลต่างๆ ด้วย ไม่ใช่คำนึงถึงด้านอารมณ์อย่างเดียว” ปุ๊กปิ๊กบอกถึงข้อดี ข้อเสียจากการปิดเว็บไซต์ที่เธอได้สัมผัส

3 สถาบันที่บ่งบอกความเป็นไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมกันเป็นไตรรงค์บนผืนธงไทย พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นธรรมราชา พสกนิกรไทยและนานาอารยประเทศเทิดทูน ยกย่องพระเกียรติคุณ นี่คือความศรัทธาที่ทุกชาติล้วนมีความเป็นมาที่แตกต่างกันไป

“อย่างที่พระองค์ตรัสไว้ว่า "การมีเสรีภาพนั้นเป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและความรับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพ และความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย" พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ 9 กรกฎาคม 2514)” ปุ๊กปิ๊กกล่าวทิ้งท้าย ทางด้าน อู๊ด หนุ่มวัย 22 ปี นักศึกษาที่เล่าเรียนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้แวะเวียนเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์ยูทิวบ์อยู่เนืองๆ เพื่อดูคลิปวิดีโอกีฬา บอกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการปิดทั้งเว็บไซต์ของยูทิวบ์

“เพราะถึงแม้จะปิดเฉพาะหน้าที่มีคลิปวิดีโอแต่มันก็ยังมีภาพที่ถูกแลนดอมให้พรีวิวออกมาโชว์ เพื่อเข้าชมคลิป และยังจะมีอีกหลายๆ ทางที่สามารถเข้าสู่หน้านั้นได้ ซึ่งผมเห็นว่ากระทรวงไอซีทีทำได้ถูกต้องแล้ว ส่วนเทคโนโลยีผมว่าประเทศไทยเราไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าประเทศเทศอื่นเลย ที่เห็นได้ชัดก็คือ ซอฟต์แวร์และโปรแกรมต่างๆ ไทยเราก็ทำออกมามากมายแทบล้นตลาดด้วยซ้ำ แต่คนไทยยังขาดความรู้ในเรื่องของลิขสิทธิ์ ไม่สนใจในตรงนั้นจึงทำให้ซอฟต์แวร์ไทยไม่เป็นที่รู้จัก

“ยังไงประเทศก็ต้องมาก่อน ยูทิวบ์มันแค่เว็บไซต์ มันไม่ใช่ชาติ ไม่มีเว็บไซต์ก็ไม่ตาย แต่ถ้าไม่มีแผ่นดินไทยอยู่เรื่องใหญ่กว่า” อู๊ดแสดงความคิดเห็น สงวนนาม หนุ่มวัย 34 ปี หนึ่งในมือแฮ็กเกอร์สมัครเล่น แสดงความคิดเห็นถึงประเด็นดังกล่าวไว้อย่างได้อารมณ์ว่า

“ในสายตาของฝรั่ง คงเห็นเมืองไทยกระจอกเต็มทน ด้อยพัฒนา โลว์เทคโนโลยี โง่งมงาย ทำให้กูเกิลตั้งใจอยากจะปล่อยปละละเลยให้คลิปหมิ่นเบื้องสูงโชว์หราอยู่บนยูทิวบ์ก็ปล่อยไปตามสบาย ช่างหัวชาติไทยอย่างนั้นเหรอ เป็นใครจะยอมให้มานั่งด่าพ่อกันอยู่ได้ เรื่องนี้มันไม่ต่างจากการเหยียดผิว หรือการหมิ่นพระศาสดา

“ ถ้าหากคนไทยที่เป็นสาวกของกูเกิลไม่เห็นว่ามันจะเสียหาย คงประณามได้ว่าคุณไม่จงรักภักดี เนรคุณแผ่นดินเกิด ปิดกั้นมันยังน้อยไป พี่น้องแฮ็กเกอร์ทั่วฟ้าเมืองไทยหากเขาว่าเราโลว์เทค เราควรสั่งสอนกูเกิลกันหน่อยจะเป็นไรไป”

Google พ่ายแผ่นดินใหญ่อย่างราบคาบ
ปัจจุบันจีนมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 137 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้น 26 ล้านคนในปีที่แล้ว ทำให้แผ่นดินใหญ่อย่างจีนได้กลายเป็นประเทศที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นอันดับสองของโลกไปแล้ว โดยตามหลังก็แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

จีนประกาศนโยบายอินเทอร์เน็ตสะอาดโดยประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ออกมาแถลงนโยบายใหม่ของคณะกรรมการโปลิตบูโร โดยจะขจัดเรื่องร้ายๆ ออกไปจากอินเทอร์เน็ต และส่งเสริมเยาวชนรุ่นใหม่ให้รู้จักกับลัทธิมาร์กซิสต์ผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้นคำแถลงแบบเป็นทางการในโทรทัศน์บอกแบบอ้อมๆ ว่า
"Internet cultural units must conscientiously take on the responsibility of encouraging development of a system of core socialist values."

นโยบายนี้บอกชัดเจนว่าจีนต้องการควบคุมอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น โดยจะจำกัดทั้งเรื่องภาพโป๊ และข่าวลือทางการเมืองต่างๆ อำนาจรัฐบาลจีนในการกลั่นกรองเนื้อหาที่ประชาชนจะเข้าถึงบนอินเทอร์เน็ต เป็นสิ่งที่มีแรงผลักดันแข็งกล้าซับซ้อนมากเท่าที่มันจะมีขึ้นได้ในโลก ดูได้จากการเปรียบเทียบกับแรงผลักดันเพื่อการเดียวกันนี้ในประเทศอื่นๆ

การกลั่นกรองของรัฐจีนเป็นสิ่งที่แผ่ครอบคลุม ซับซ้อน และมีประสิทธิภาพ เพราะว่าประกอบไปด้วยอำนาจตามกฎหมายหลากหลายระดับ และหลากหลายเทคนิคในการควบคุม ที่ทำให้กูเกิลยอมแพ้ และพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่อิดออด

หากใครศรัทธากูเกิลจะทราบดีว่า เขาไม่เคยยอมให้ใครเซ็นเซอร์ หรือจำกัดการถอดถอนข้อความ และภาพได้ง่ายๆ แต่เมื่อบริษัทเอกชนเห็นผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง นโยบายของกูเกิลจึงกลายเป็นว่า รัฐบาลจีนจะเซ็นเซอร์อะไร กูเกิลจึงยอมทุกอย่าง เรียกง่ายๆ ว่า แพ้แบบราบคาบ แต่สำหรับประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเมืองไทยไม่ใช่เป้าหมาย ไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ จึงไม่มีกำลังพอที่จะให้ผลประโยชน์ และผลกำไรอย่างที่กูเกิลต้องการ ดังนั้นทำให้อินเทอร์เน็ตของไทยยังไม่สะอาดเท่าที่ควรจะเป็น

ความรู้สึกอู๊ด ซึ่งตอนนี้รู้สึกแอนติกูเกิ้ลจนไม่อยากให้ใช้ Google search อีกต่อไปแล้ว บอกกล่าวความในใจออกมาว่า

“เราจะมีวิธีไหนจะแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายของกูเกิลได้บ้าง การร้องขอของประเทศไทยที่ให้ทำการถอดคลิปวิดีโอที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเขากลับทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่อพูดเรื่องยูทิวบ์รู้สึกเลือดขึ้นหน้าพอสมควร หากเปรียบเทียบกับประเทศจีน ที่กูเกิลยอมให้เซ็นเซอร์ได้บางหัวข้อที่เขาคิดว่าดูไม่เหมาะสม แต่กับเมืองไทยซึ่งร้ายแรงกว่ามาก แต่ไม่มีการให้เซ็นเซอร์ ถึงแม้จะมีการข้อร้องแทบตายก็ยังไม่ดำเนินการให้ คงเป็นเพราะเราไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ”

เห็นหรือยังว่า ปัจจุบันนี้ ความจริง-ความเท็จในโลกออนไลน์นี้ เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขของที่มาที่ไปของมันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องความรู้ที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ อย่างแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว

Blu Fairy


บลู แฟร์รี่ (Blu Fairy) หนึ่งในบริษัทผู้สร้างสรรค์งานทางด้าน Visual Effects, CG Animation และ Motion Graphic ให้กับลูกค้ามาแล้วมากมาย อาทิ “ปักษาวายุ” หนัง digital Sci-fi เรื่องแรกของประเทศไทยหรือผลงาน น้องสุขใจ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลอดจนงานโฆษณาทางโทรทัศน์ต่างๆ ที่ผ่านสายตาผู้ชมทั่วประเทศมาแล้ว และจะนำผลงานล่าสุด คืองานโฆษณาแอนนิเมชั่นทั้งเรื่องของ MKสุกี้ ไปเปิดฉายในงาน มหกรรมไทยแลนด์แอนนิเมชั่นแอนด์มัลติมีเดีย (Thailand Animation and Multimedia) หรืองาน TAM 2006 ระหว่างวันที่ 12-15 มกราคม 2549 นี้ นายสุรเชษฐ์ เฑียรบุญเลิศรัตน์ กรรมการผู้จัดการ แห่งบริษัท บลู แฟร์รี่ เปิดเผยว่า “ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี ของทีมงาน ก่อนรวมตัวกันจัดตั้งบริษัทฯ ร่วมกับนายธนัญชนก สุบรรณ ณ อยุธยา หัวหน้าฝ่ายผลิต เพื่อรับผลิตงานงานด้าน Visual Effects, CG Animation และ Motion Graphic เพราะเล็งเห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจด้านนี้ ซึ่งปัจจุบันยังมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย ที่สร้างสรรค์งานทางด้าน CG & Visual Effect ให้กับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม โดยทางบริษัทฯ ได้สนองตอบความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาและแนะนำทางด้านการออกแบบและออกแบบ ควบคุมผลิต จนถึงขั้นตอนการทำ CG และ Visual Effect กลุ่มลูกค้าของทางบริษัทในปัจจุบัน มีทั้งบริษัทโฆษณาชั้นนำ บริษัทโปรดักชั่น เฮ้าส์ นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ เช่น อาร์.เอส. ฟิล์ม, แกรมมี่ ไทย หับ (GTH), สหมงคลฟิล์ม, ภาพยนตร์หรรษา เป็นต้น โดยมีผลงานทั้งทางด้าน Film Title และสร้างสรรค์ CG & Visual Effect Shot ให้กับภาพยนตร์ อาทิ ปักษาวายุ ภาพยนตร์ดิจิตอลไซ-ไฟเรื่องแรกของไทย ฯลฯ และสำหรับผลงานด้านแอนนิเมชั่นทางโทรทัศน์ที่ผ่านมาได้แก่ “ต้นกล้า...ซู่ซ่าพลังเขียว” การ์ตูนรักษาสิ่งแวดล้อม , “น้องสุขใจ” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น สำหรับงาน TAM 2006 บริษัทฯ จะนำผลงานล่าสุดไปฉายโชว์ในงานนี้ได้แก่ ภาพยนตร์แอนนิเมชั่น 3 มิติ (3D) ขนาดสั้นเรื่อง “There’s Always A Bigger Fish” ซึ่งจะฉายผ่านจอ X3D (ทีวีจอภาพแบบสามมิติ) และ “MK Man” งานโฆษณาแอนนิเมชั่นทั้งเรื่องของ MK สุกี้ ที่จะเปิดตัวในเดือน มกราคม 49 ไปร่วมฉายโชว์ในงานนี้ด้วยครับ” ประวัติของบริษัท บูล แฟร์รี่ และผลงานที่ผ่านมา คุณสุรเชษฐ เฑียรบุญเลิศรัตน์ (กรรมการผู้จัดการ) และคุณธนัญชนก สุบรรณ ณ อยุธยา (หัวหน้าฝ่ายผลิต) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทบูล แฟร์รี่ขึ้นในปี 2547 ในฐานะบริษัทน้องใหม่ในวงการ CG บริษัทบูล แฟร์รี่ เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์งานทางด้าน Visual Effects, CG Animation และ Motion Graphic ให้กับลูกค้า ด้วยประสบการณ์การทำงานทางด้านนี้โดยตรงที่สะสมมากว่า 10 ปีก่อนที่จะก่อตั้งบริษัท และเป็นเพียงไม่กี่บริษัทในประเทศไทยที่สร้างสรรค์งานทางด้าน CG & Visual Effect ให้กับลูกค้าที่ประสงค์ที่จะให้หนังมี effect shot ทางบริษัทได้สนองตอบความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาและแนะนำทางด้านการออกแบบและออกแบบ ควบคุมผลิต จนถึงขั้นตอนการทำ CG และ Visual Effect โดยกลุ่มลูกค้าของทางบริษัทมีทั้ง Advertising agencies และ Production houses นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ เช่น อาร์เอส ฟิล์ม, แกรมมี่ ไทย หับ (GTH), สหมงคลฟิล์ม, ภาพยนตร์หรรษา, ไจแอนท์พิกเจอร์ และฟิล์มบางกอก โดยมีผลงานทั้งทางด้าน Film Title และสร้างสรรค์ CG & Visual Effect Shot ให้กับภาพยนตร์ บริษัทบูล แฟร์รี่ มุงมั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวในจินตนาการของกลุ่มลูกค้าออกมาเป็นภาพได้อย่างครบถ้วนโดยอาศัยเทคนิคทางด้าน CG & Visual Effect “BLU FAIRY makes its client’s dreams come true.— CG realized!” ผลงานเด่นๆที่ผ่านมาของบริษัทบูล แฟร์รี่ - “ปักษาวายุ” หนัง digital Sci-fi เรื่องแรกของประเทศไทย - “ต้นกล้า...ซู่ซ่าพลังเขียว” การ์ตูนรักษาสิ่งแวดล้อม - Dooka ศิลปิน Cyber ตัวแรกของประเทศไทย - Short Animation เรื่อง There’s Always A Bigger Fish - MK Man งานโฆษณา Animation ทั้งเรื่องของ MK Suki - Music Video ของวงหิน เหล็ก ไฟ - น้องสุขใจ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย - ผลงานทางด้านการกำกับและผลิตหนังโฆษณา เช่นโฆษณาของบริษัทต่อไปนี้ - AIS - One Two Call - Sony - Head & Shoulder - Clinic Clean & Clear - Brother - Nestle - 3K Battery - Johnson & Johnson - Kodomo - Sunsilk - Vitamilk - MTV - Fanta softdrink

ซูโหย่วเผิง ถ่ายโฆษณาในปักกิ่ง


ซูโหย่วเผิง ถ่ายโฆษณาในปักกิ่ง

นักแสดงไต้หวันซูโหย่วเผิง (Alec Su)ถ่ายทำโฆษณาในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ในปักกิ่ง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2550
งานถ่ายทำโฆษณาเพื่อสังคมในปักกิ่งของซูโหย่วเผิง และผู้กำกับเฟิง เซียวกัง (Feng Xiaogang) ณ ประเทศจีน เสร็จสิ้นลงแล้ว
สาระสำคัญของโฆษณาชุดนี้ เพื่อให้คนตระหนักถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อม และระเบียบของสาธารณะ งานโฆษณาชิ้นล่าสุดนี้ ถ่ายทำเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมนี้เป็นชุดที่ 7 และชุดสุดท้ายของผู้กำกับเฟิงในงานโฆษณาเพื่อสังคม
การถ่ายทำเริ่มจาก 6 โมงเย็นเพื่อไม่รบกวนเวลาการทำธุรกิจของร้านค้า

อินดี้แปลว่า independent จริง ๆ


ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2537 เราได้ต้อนรับนางสาวไทยคนใหม่กับตำแหน่งสวยอย่างมีคุณค่าโดยเจ้าของมงกุฎอันใหญ่เบ้งชิ้นนั้นก็คือ อารียา สิริโสดา หรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากว่า “น้องป๊อป” 14 ปีที่ผ่านมา ป๊อปไม่ได้เจริญรอยตามนางสาวไทยรุ่นพี่ที่อาจจะแต่งงานมีลูกไปแล้ว แต่ป๊อปกลับทำอะไรหลายอย่างที่แตกต่าง จากนางสาวไทยเธอขยับไปชิมลางไปเป็นนักแสดง พิธีกร นางแบบ นักเขียน อาจารย์ ทหาร
และล่าสุด ผู้กำกับหนังสารคดี “เด็กโต๋” ที่เธอลงทุนทุบกระปุกทำกับเพื่อนอดีตผู้กำกับโฆษณาฝีมือเยี่ยมอย่างนก นิสา คงศรี ซึ่งกินใจทั้งคนดูและกรรมการจนได้รับรางวัลและได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประกวดภาพยนตร์นานาชาตินับหลายแห่ง สื่อจึงพร้อมใจกันตั้งฉายาให้เธอว่าเป็น “นางสาวไทยอินดี้” แห่งยุค ในช่วงที่ป๊อปทำเด็กโต๋เคยเอาเรื่องไปเสนอทุกค่ายแต่คำตอบก็คือ “เซย์โน” ป๊อปบอกว่าก็พอจะเข้าใจเรื่องธุรกิจ จะทำอะไรออกมาสักเรื่องจะต้องเป็นหนังตลาด มีสูตรของการทำหนัง มีพระเอกนางเอก แต่หนังของเธอเป็นแนวสารคดีมันเลยยาก แต่ป๊อปก็ยังมีความหวังว่าหนังแนวสารคดีจะมีความเป็นไปได้กับตลาด เธอยกตัวอย่าง โจอี้ บอย ออกเทปแรก ๆ ก็อยู่ค่ายเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เพลงฮิปฮอปกลายเป็นเมนสตรีมไปแล้ว ป๊อปเชื่อว่าหากทำอะไรด้วยใจ เอาใจมาถ่ายทอดมันก็จะออกมาโดนใจผู้ชม เหมือนกับเด็กโต๋ที่ได้พิสูจน์มาแล้วทั้งรางวัลทั้งฟีดแบ็กที่กลับมา สำหรับโปรเจคท์ต่อไป ป๊อปก็ยังเป็นนางสาวไทยอินดี้อยู่เช่นเดิมเพราะเธอกำลังทำสารคดี โดยแย้มให้ฟังว่าเธอเพิ่งกลับจากการทำสารคดีที่ภาคใต้ “ตอนนี้ยังไม่อยากจะบอกอะไรมาก เพราะยังทำไม่เสร็จ ไม่อยากสร้างแรงกดดันให้ตัวเอง การที่เราไม่ขอเงินจากนายทุนมันก็ไม่มีข้อแม้ดี สบายใจที่จะทำดี เหมือนเราเป็นแม่ครัว ถ้าไปทำในภัตตาคารก็ต้องทำสูตรของภัตตาคารให้คนส่วนรวมกิน แต่ถ้าทำให้ตัวเองกินก็อีกแบบนึง ถามว่าแม่ครัวได้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการหรือเปล่า ก็ไม่ได้นะ อย่างหนังแบบเราตัดต่อแค่นี้ ไม่ทำเพิ่มอีกแล้ว คุณจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของคุณ ฉันพอใจแบบนี้ ถ้ารสนิยมต้องกัน คนก็มาหาเราเอง เราเชื่ออย่างนั้น” สารคดีเรื่องใหม่ของป๊อปก็ไม่ง้อนายทุนอยู่เช่นเดิม แต่ป๊อปบอกว่าระบบนายทุนในวงการบันเทิงก็ไม่ได้ขัดแย้งกับการทำงานของเธอ “มันเสริมกันมาก ๆ เลยนะ อย่างตอนนี้เป็นพรีเซนเตอร์ให้หมากฝรั่งยี่ห้อนึง ก็เคี้ยวหมากฝรั่งไปเรื่อย ๆ ถ้าเราทำงานบริษัททุกวัน ก็คงไปทำสารคดีไม่ได้ แต่ถ้าทำงานแบบไม่ต้องทำบ่อย แต่ได้เงินเป็นก้อนและมีเวลาอิสระกว่า ก็ไปทำสารคดีได้ ทำสารคดีต้องทุ่มเทมาก ต้องมีอุปกรณ์ตัดต่อ กล้อง ของใช้ในออฟฟิศ ค่าน้ำมัน จิปาถะ เยอะอยู่นะ สิ่งที่เราทำตอนนี้กับที่ทำสารคดีมันเสริมกันได้ ดูแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน ไม่เคยคิดว่าจะเสริมได้ แต่มันช่วยกันจริง ๆ” กับภาพลักษณ์อินดี้ ป๊อปอธิบายว่า “อินดี้แปลว่า independent จริง ๆ ไม่อยากอินดี้หรอกนะ เดี๋ยวไม่มีใครเอา เอาอย่างนี้ ติสท์ก็แปลว่า artist คือมีความคิดของตัวเองที่ชัดเจน รู้ว่าจะเดินไปทางไหน อย่างนั้น ติสท์ อินดี้ ก็แปลว่าอาร์ทิสต์ที่อินดิเพนเดนท์ คนที่ทำอะไรเป็นอิสระ ชัดเจน” มาพูดถึงหนุ่ม ๆ ของป๊อปมั่งดีกว่า ป๊อปบอกว่าผ่านจุดสวย ๆ หล่อ ๆ มาแล้ว เหมือนขนมเค้กหน้าตาดูดีแต่รสชาติแห้ง กับเค้กกล้วยหอมที่หน้าตาธรรมดาแต่รสชาติ นุ่ม อร่อย เธอก็พร้อมจะเลือกเค้กกล้วยหอม เธอเลือกที่รสชาติมากกว่าหน้าตา ป๊อปยังแย้มว่าผู้ชายของป๊อปไม่ใช่มีปากแค่พูดว่า “อะไรก็ได้ตามใจเธอ” แต่จะต้องมีลูกล่อลูกชน โต้ตอบกันได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องมีกึ๋นถึงจะไปกันได้กับคนสวยมีสมองอย่างเธอ...!!.