Monday, 13 August 2007
ถ้าจะพูดถึงวงการภาพยนตร์โฆษณา หรือ Production House
พงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู
ถ้าจะพูดถึงวงการภาพยนตร์โฆษณา หรือ Production House ก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักคุณพงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู หรือคุณหนัง ด้วยประสบการณ์ในแวดวงโฆษณากว่า 13 ปี ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา และเป็นผู้เก่อตั้งบริษัท The Film Factory วันนี้เราจะมาลองฟังเศษเสี้ยวแห่งแง่คิดและแนวความคิดในการทำงานของผู้ชายคนนี้กัน@ ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์โฆษณาได้อย่างไร ??พอดีผมจบ Fine Art จาก Indiana แล้วก็ไปเรียนต่อด้าน Communication Design ที่ New York หลังจากนั้นก็เริ่มมาทำงานโฆษณาอยู่ที่เอเยนซี่ได้ 2 แห่ง เป็นเวลาประมาณ 5 - 6 ปี โดยขณะที่ทำงานอยู่ที่ J. WALTER THOMPSON นั้นก็บังเอิญได้พบกับเพื่อนผู้กำกับฯชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ผมก็เลยดึงเขามาถ่ายหนังโฆษณาให้ แล้วพอคุยกันไปคุยกันมาเกิดถูกคอ ก็เลยชวนกันร่วมหุ้นตั้งเป็นบริษัท The Film Factory ขึ้น เมื่อ 13 ปีที่แล้ว มีผมเป็นผู้กำกับฯที่นี่ ผมก็เลยเริ่มทำงานทางด้านนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยชื่อ The Film Factory นั้นก็มาจากชื่อของบริษัท The Film Factory ที่มีอยู่แล้วที่ฮ่องกง@ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่องแรกของ Film Factory ??โฆษณาตัวแรกที่ผมทำให้ก็จะเป็น บางกอกโพสต์ ต่อมาก็จะเป็น Fuji Graduate@ ลักษณะงานของ Film Factory ??ส่วนใหญ่จะเป็นงาน Emotional งานเล่าเรื่อง งานที่เกี่ยวกับคน อย่างเช่นผลงานชิ้นล่าสุดก็คือ "คาราบาวแดง นายขนมต้ม" และเร็วๆนี้ก็กำลังจะมีโฆษณา "คาราบาวแดง" ตัวใหม่ออกมาอีก 2 ชิ้น@ สไตล์ของ Film Factory ??จริงๆแล้วสไตล์หนังโฆษณาของ Film Factory นั้นก็มีหลากหลายแนว ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแบบใดแบบหนึ่ง เพราะที่นี่เราเองก็มีผู้กำกับหลายคน สไตล์ของผมเองก็แบบหนึ่ง สไตล์ของคุณต้อม (เป็นเอก รัตนเรือง) ก็แบบหนึ่ง ส่วนของคุณศิษฏ์ (วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง) ก็อีกแบบหนึ่ง สไตล์ใครสไตล์มัน@ ขั้นตอนการทำงาน ??ที่นี่เราไม่มีขั้นตอนการทำงาน ถ้าถูกใจก็ทำ ไม่ถูกใจก็ไม่ทำ นโยบายของที่นี่สั้นๆงายๆก็คือ "ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ" ซึ่งหมายความว่า ถ้าลูกค้าชอบไอเดียของผม ผมก็ทำ แต่ถ้าเกิดเขาไม่ชอบ ก็ไม่ทำก็เท่านั้นเอง โดยงานส่วนใหญ่จะทำให้กับคนที่รู้จักกันสนิทกัน เพราะคุยกันถูกคอ จะพยายามไม่ฝืนใจตัวเองไปทำไปทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะที่นี่เราไม่ได้เน้นที่ Marketing ซึ่งถ้าเทียบที่นี่กับที่ Matching แล้ว มันก็เหมือนคนละขั้ว โดยที่ Film Factory นี้จะไม่มีการเช็ค Rating ว่าผลงานดีหรือไม่ มีคนชอบเยอะมั้ย และก็ไม่สนใจว่าจะได้รับรางวัลรึเปล่า ผมจะทำงานตามความชอบของตนเอง และพยายามทำให้ดีที่สุด แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คนอื่นจะชอบหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะถ้าเกิดเราไปทำในสิ่งที่คนอื่นเขาชอบกัน แต่เราไม่ชอบ มันก็เท่ากับว่าเราไม่เป็นตัวของตัวเอง@ ภาพยนตร์โฆษณา กับ ภาพยนตร์แตกต่างจากกันมั้ย ??แตกต่างครับ เพราะหนังโฆษณานั้นจะต้องเล่าเรื่องภายใน 1 นาที ส่วนหนังใหญ่นั้นมีเวลาให้เล่าเรื่องตั้งชั่วโมงครึ่ง แต่จริงๆแล้วผมเองคิดว่า การทำหนังโฆษณานั้นค่อนข้างง่ายกว่าหนังใหญ่ เพราะหนังโฆษณานั้น ถ้ารู้วิธีทำ มันก็ง่าย นอกจากนี้ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วงบประมาณของหนังโฆษณาก็มีมากกว่าเยอะ@ แล้วทำไมภาพยนตร์โฆษณาถึงมีงบประมาณมากว่า ??เพราะว่าหนังโฆษณานั้นทำเพื่อไปขายของ กำไรตั้งปีละสามร้อยสี่ร้อยล้าน มันจึงมีงบประมาณสนับสนุนเยอะ ส่วนหนังใหญ่นั้นมันจะต้องรอการสนับสนุนจากคนดู ทำออกมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนดูมากน้อยแค่ไหน มันก็เลยมีงบประมาณน้อยกว่า@ หน้าที่ของผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา ??หน้าที่หลักๆก็คือ เราจะต้องตีโจทย์ของเอเยนซี่ให้ออก เล่าเป็นเรื่องแล้วจะต้องตอบโจทย์ของเอเยนซี่ให้ได้ แล้วก็ต้องดูสนุกด้วย@ การจัดตกแต่งสถานที่ ??อย่างแรกต้องขอบอกก่อนว่าที่นี่เราเป็นบริษัทที่ไม่มีเปลือก!!! แล้วเราเองก็ไม่ได้มีการออกแบบ หรือมีไอเดียตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ที่นี่เราก็ทำกันไปเรื่อย อยากทำนู้นก็ทำ อยากต่อเติมนี่ก็ต่อเติม ไม่ได้มีอะไรมากมาย อยากทำอะไรก็ทำตามความพอใจและความสบายใจของคนที่เขาทำงานที่นี่ ซึ่งทุกคนเขาก็มีความสุขกันดี @ แล้วน้องๆที่สนใจอยากจะเป็นผู้กำกับฯจะต้องทำยังไงบ้าง ??อย่างแรกจะต้องถามตัวเองก่อนว่า สนใจจริงรึเปล่า? อยากทำจริงรึเปล่า? แล้วก็ต้องดูหนังเยอะๆ สุดท้ายก็จะต้องทำผลงานใส่ Show reel เก็บเป็น Portfolio ของตัวเองเอาไว้ ใช้ต้นทุนถูกๆ ถ่ายด้วยกล้อง Handy Cam ก็ได้ ไม่ต้องลงทุนมากมายอะไร เพราะเขาดูกับที่ Idea ไม่ได้ดูที่ Production
ถ้าจะพูดถึงวงการภาพยนตร์โฆษณา หรือ Production House ก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักคุณพงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู หรือคุณหนัง ด้วยประสบการณ์ในแวดวงโฆษณากว่า 13 ปี ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา และเป็นผู้เก่อตั้งบริษัท The Film Factory วันนี้เราจะมาลองฟังเศษเสี้ยวแห่งแง่คิดและแนวความคิดในการทำงานของผู้ชายคนนี้กัน@ ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์โฆษณาได้อย่างไร ??พอดีผมจบ Fine Art จาก Indiana แล้วก็ไปเรียนต่อด้าน Communication Design ที่ New York หลังจากนั้นก็เริ่มมาทำงานโฆษณาอยู่ที่เอเยนซี่ได้ 2 แห่ง เป็นเวลาประมาณ 5 - 6 ปี โดยขณะที่ทำงานอยู่ที่ J. WALTER THOMPSON นั้นก็บังเอิญได้พบกับเพื่อนผู้กำกับฯชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ผมก็เลยดึงเขามาถ่ายหนังโฆษณาให้ แล้วพอคุยกันไปคุยกันมาเกิดถูกคอ ก็เลยชวนกันร่วมหุ้นตั้งเป็นบริษัท The Film Factory ขึ้น เมื่อ 13 ปีที่แล้ว มีผมเป็นผู้กำกับฯที่นี่ ผมก็เลยเริ่มทำงานทางด้านนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยชื่อ The Film Factory นั้นก็มาจากชื่อของบริษัท The Film Factory ที่มีอยู่แล้วที่ฮ่องกง@ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่องแรกของ Film Factory ??โฆษณาตัวแรกที่ผมทำให้ก็จะเป็น บางกอกโพสต์ ต่อมาก็จะเป็น Fuji Graduate@ ลักษณะงานของ Film Factory ??ส่วนใหญ่จะเป็นงาน Emotional งานเล่าเรื่อง งานที่เกี่ยวกับคน อย่างเช่นผลงานชิ้นล่าสุดก็คือ "คาราบาวแดง นายขนมต้ม" และเร็วๆนี้ก็กำลังจะมีโฆษณา "คาราบาวแดง" ตัวใหม่ออกมาอีก 2 ชิ้น@ สไตล์ของ Film Factory ??จริงๆแล้วสไตล์หนังโฆษณาของ Film Factory นั้นก็มีหลากหลายแนว ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแบบใดแบบหนึ่ง เพราะที่นี่เราเองก็มีผู้กำกับหลายคน สไตล์ของผมเองก็แบบหนึ่ง สไตล์ของคุณต้อม (เป็นเอก รัตนเรือง) ก็แบบหนึ่ง ส่วนของคุณศิษฏ์ (วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง) ก็อีกแบบหนึ่ง สไตล์ใครสไตล์มัน@ ขั้นตอนการทำงาน ??ที่นี่เราไม่มีขั้นตอนการทำงาน ถ้าถูกใจก็ทำ ไม่ถูกใจก็ไม่ทำ นโยบายของที่นี่สั้นๆงายๆก็คือ "ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ" ซึ่งหมายความว่า ถ้าลูกค้าชอบไอเดียของผม ผมก็ทำ แต่ถ้าเกิดเขาไม่ชอบ ก็ไม่ทำก็เท่านั้นเอง โดยงานส่วนใหญ่จะทำให้กับคนที่รู้จักกันสนิทกัน เพราะคุยกันถูกคอ จะพยายามไม่ฝืนใจตัวเองไปทำไปทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะที่นี่เราไม่ได้เน้นที่ Marketing ซึ่งถ้าเทียบที่นี่กับที่ Matching แล้ว มันก็เหมือนคนละขั้ว โดยที่ Film Factory นี้จะไม่มีการเช็ค Rating ว่าผลงานดีหรือไม่ มีคนชอบเยอะมั้ย และก็ไม่สนใจว่าจะได้รับรางวัลรึเปล่า ผมจะทำงานตามความชอบของตนเอง และพยายามทำให้ดีที่สุด แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คนอื่นจะชอบหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะถ้าเกิดเราไปทำในสิ่งที่คนอื่นเขาชอบกัน แต่เราไม่ชอบ มันก็เท่ากับว่าเราไม่เป็นตัวของตัวเอง@ ภาพยนตร์โฆษณา กับ ภาพยนตร์แตกต่างจากกันมั้ย ??แตกต่างครับ เพราะหนังโฆษณานั้นจะต้องเล่าเรื่องภายใน 1 นาที ส่วนหนังใหญ่นั้นมีเวลาให้เล่าเรื่องตั้งชั่วโมงครึ่ง แต่จริงๆแล้วผมเองคิดว่า การทำหนังโฆษณานั้นค่อนข้างง่ายกว่าหนังใหญ่ เพราะหนังโฆษณานั้น ถ้ารู้วิธีทำ มันก็ง่าย นอกจากนี้ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วงบประมาณของหนังโฆษณาก็มีมากกว่าเยอะ@ แล้วทำไมภาพยนตร์โฆษณาถึงมีงบประมาณมากว่า ??เพราะว่าหนังโฆษณานั้นทำเพื่อไปขายของ กำไรตั้งปีละสามร้อยสี่ร้อยล้าน มันจึงมีงบประมาณสนับสนุนเยอะ ส่วนหนังใหญ่นั้นมันจะต้องรอการสนับสนุนจากคนดู ทำออกมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนดูมากน้อยแค่ไหน มันก็เลยมีงบประมาณน้อยกว่า@ หน้าที่ของผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา ??หน้าที่หลักๆก็คือ เราจะต้องตีโจทย์ของเอเยนซี่ให้ออก เล่าเป็นเรื่องแล้วจะต้องตอบโจทย์ของเอเยนซี่ให้ได้ แล้วก็ต้องดูสนุกด้วย@ การจัดตกแต่งสถานที่ ??อย่างแรกต้องขอบอกก่อนว่าที่นี่เราเป็นบริษัทที่ไม่มีเปลือก!!! แล้วเราเองก็ไม่ได้มีการออกแบบ หรือมีไอเดียตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ที่นี่เราก็ทำกันไปเรื่อย อยากทำนู้นก็ทำ อยากต่อเติมนี่ก็ต่อเติม ไม่ได้มีอะไรมากมาย อยากทำอะไรก็ทำตามความพอใจและความสบายใจของคนที่เขาทำงานที่นี่ ซึ่งทุกคนเขาก็มีความสุขกันดี @ แล้วน้องๆที่สนใจอยากจะเป็นผู้กำกับฯจะต้องทำยังไงบ้าง ??อย่างแรกจะต้องถามตัวเองก่อนว่า สนใจจริงรึเปล่า? อยากทำจริงรึเปล่า? แล้วก็ต้องดูหนังเยอะๆ สุดท้ายก็จะต้องทำผลงานใส่ Show reel เก็บเป็น Portfolio ของตัวเองเอาไว้ ใช้ต้นทุนถูกๆ ถ่ายด้วยกล้อง Handy Cam ก็ได้ ไม่ต้องลงทุนมากมายอะไร เพราะเขาดูกับที่ Idea ไม่ได้ดูที่ Production
Labels:
News : Production House 2007