Monday, 13 August 2007
โนเบิล ชุด " Be Different" ใช้ชีวิตให้แตกต่าง
โนเบิล ชุด " Be Different" ใช้ชีวิตให้แตกต่าง
ในช่วงเดือนกว่าๆที่ผ่านมา เราคงจะได้เห็นภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้การเดินเรื่องด้วยคนที่หน้าเหมือนซูเปอร์สตาร์ หรือพยายามทำตัวให้เหมือนเพราะใจรัก แม้กระทั่งการเลียนแบบเพื่อเลี้ยงชีพ จากต้นแบบของซูเปอร์สตาร์อย่าง ไมเคิล แจ๊คสัน , เฉินหลง และเอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งซีรีส์ภาพยนตร์โฆษณา โนเบิล ชุดนี้ทั้งในแง่คอนเซ็ปต์ของภาพยนตร์ ไปจนถึง Execution ที่มีจุดหักมุม เน้นเรื่องความแตกต่างที่โยงมาถึง Brand Image โดยการขายบ้านซึ่งไม่มีภาพของบ้านให้เห็นกันเลย ทางทีมงาน BrandAge จึงเดินทางไปเจาะเบื้องหลังที่มาที่ไปของภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ กับทีมงานของทาง Ogilvy & Mather เอเยนซีโฆษณาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ...ซึ่งประกอบด้วยคุณนพดล ศรีเกียรติขจร ผู้อำนวยการสร้างสรรค์ คุณภักดิ์พงศ์ สกลวิทยานนท์ ผู้เขียนบทโฆษณา คุณธนิต เติมสุขเกษม Communications Executive และคุณวนิดา เศรษฐเศวต Business Director ...ซึ่งเราจะขอใช้คำรวมว่า "ทีมงาน" ในการอ้างอิงถึงความคิดเห็นและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆต่อไปนี้...Concept สำหรับความเป็นมาของแนวคิดที่เป็นโจทย์ในการสร้างสรรค์งานโฆษณานั้น ทางทีมงานกล่าวว่า "โจทย์คือ เมื่อก่อนโนเบิลจะทำเป็นโปรเจ็กต์ขายเป็นโครงการ แต่ท่ามกลางการแข่งขันคิดว่าการสร้างแบรนด์เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่าต่อไปคนจะซื้อบ้านนั้นไม่ได้ซื้อเฉพาะโปรเจ็กต์ แต่ซื้อที่ยี่ห้อของมันด้วยเพราะฉะนั้นจึงถึงเวลาที่จะทำหนังแบรนด์ออกมาเป็นหนังที่ทำให้รู้ว่า Positioning ของ Brand Noble ยืนอยู่ที่ไหน ซึ่งก็คิดว่าอยู่บนคอนเซ็ปต์ที่ว่า Be Different ใช้ชีวิตให้แตกต่างก็เลยเป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ นอกจากนั้น สิ่งที่โนเบิลสร้างมาและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมาตลอดก็คือการเป็นผู้นำในแง่ของดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร บ้านทุกๆโครงการตั้งแต่ออกมาในสมัยก่อนหน้านั้นจนมาถึงช่วงที่เศรษฐกิจดีขึ้นก็ยังเน้นที่การสร้างความแตกต่างในเรื่องของการอยู่อาศัยของบ้าน มีการเสนอคอนเซ็ปต์ของบ้านสไตล์รีสอร์ทซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนตลอด 365 วันในชีวิต หรือว่าบ้านในสไตล์ L Shape และ U Shape ซึ่งสร้างความแตกต่างของฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นต้องมีสนามหน้าบ้านมาโชว์อย่างเดียว ลูกค้าเป็นคนที่มีวิชั่นและมองภาพของธุรกิจชัดเจนมาก และสร้างความแตกต่างโดยตลอด โดยเฉพาะความคิดในการดีไซน์บ้าน และก็เป็นสิ่งที่คอนซูเมอร์ยอมรับและจดจำได้""Brand ก็เหมือนคน คือคนๆนี้เป็นคนอย่างไร โนเบิล เป็นคนที่เมื่อมองกลับไป 10 กว่าปี เป็นคนที่ค่อนข้างจะครีเอทีฟมีความคิดสร้างสรรค์ไม่หยุดอยู่กับที่ เป็นคนแนะนำความคิดใหม่ๆเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ไม่ว่าจะเป็นหลังคาโค้ง และอีกมากมาย ซึ่งเราคิดว่าคนๆ นี้คิดไม่เหมือนคนอื่น คนๆ นี้มีความคิดที่แตกต่าง จึงคิดว่าน่าจะส่งเสียง Attitude นี้ออกมาคือใช้ชีวิตให้แตกต่าง...เหมือนเรากำลังจะบอกว่ามันก็ไม่ผิดหรอกที่เราแต่ละคนจะมีความชอบในการทำอะไรไม่เหมือนกัน ทำไมเราต้องไปเลียนแบบคนอื่นเหมือนกับการที่เราจะอยู่บ้าน บ้านที่เรารู้จักทั่วไปก็จะทำตามๆกัน เราก็บอกว่าชีวิตคุณมีทางเลือกนะ ชีวิตคุณเป็นตัวคุณเองทำไมไม่เลือกบ้านที่เป็นตัวของตัวคุณ เราก็เลยหยิบยกเอาชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตอยู่เหมือนการเลียนแบบคนอื่น แต่เราจะบอกว่าเราควรจะหาเวลามาค้นหาชีวิตของตนเองดีกว่าไหม ก็เลยเป็นไอเดียขึ้นมา"Executionเมื่อทางทีมงานได้ไอเดียจากโจทย์ทางการตลาดแล้วก็นำมาคิดหาเรื่องราวในการนำเสนอซึ่งทางทีมงานเปิดเผยว่า "เหมือนเรากำลังจะบอกว่ามันก็ไม่ผิดหรอกที่เราแต่ละคนจะมีความชอบในการทำอะไรไม่เหมือนกัน ทำไมเราต้องไปเลียนแบบคนอื่นเหมือนกับการที่เราจะอยู่บ้าน บ้านที่เรารู้จักทั่วไปก็จะทำตามๆกัน เราก็บอกว่าชีวิตคุณมีทางเลือกนะ ชีวิตคุณเป็นตัวคุณเองทำไมไม่เลือกบ้านที่เป็นตัวของตัวคุณ เราก็เลยหยิบยกเอาชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตอยู่เหมือนการเลียนแบบคนอื่น แต่เราจะบอกว่าเราควรจะหาเวลามาค้นหาชีวิตของตนเองดีกว่าไหม ก็เลยเป็นไอเดียขึ้นมาในการหยิบเอาไอเดียในการเลียนแบบซูเปอร์สตาร์ที่ดังๆ....... คือจริงๆแล้วเราอยากให้ซูเปอร์สตาร์เหล่านี้มาเป็น Inspiration ให้เขาคิดสไตล์ของตัวเขา (คนดู) เองมากกว่าที่จะมาเลียนแบบให้เหมือน แทนที่จะเดินตามทุกสเตป เราจะไปไม่ถึงไหน แต่ถ้าเราเดินตามซูเปอร์สตาร์เหล่านั้นแล้วเอามาเป็นแรงบันดาลใจสร้างอะไรใหม่ๆให้โลกหรือให้ประเทศของเราก็ได้...ที่เคยอ่านหนังสือเจอก็จอห์น เลนนอน ตอนเด็กๆก็เลียนแบบเอลวิส และถ้าวันนั้น จอห์น เลนนอน เลียนแบบไปเลย โลกนี้ก็คงไม่มีจอห์น เลนนอนเกิดขึ้น ตรงนี้คือมุมมองที่เราจะเสนอมากกว่า"แรกเริ่มนั้นทีมงานขายงานให้ลูกค้าคือทางโนเบิล ผ่านภายในครั้งเดียว เนื่องจากว่ามั่นใจในความแรงของหนังและไม่ได้เฉออกไปจากสิ่งที่กำลังจะสื่อสารสู่ผู้บริโภค...เมื่อทีมงานใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า "จะใช้ชีวิตให้เหมือนคนอื่นทำไม" คือก่อนที่จะออกมาเป็น 3 ซูเปอร์สตาร์นี้ก็เลือกมามากมาย แต่จุดที่ทีมงานเลือกไมเคิล แจ๊คสัน, เฉินหลง, และเอลวิส ก็เพราะเราคิดว่าทั้งหมดเป็นซูเปอร์สตาร์ เพราะคนที่เลียนแบบซูเปอร์สตาร์นั้นมักจะเลียนแบบๆคลั่งไคล้ มันมีความน่าสนใจคือทุกคนเข้าใจได้ง่ายด้วย รู้จักหมด แต่ถ้าสมมติว่าเป็นเบคแฮม อาจจะไม่ได้มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดมากมีแค่การเปลี่ยนทรงผม แต่ ไมเคิล แจ๊คสัน นั้นค่อนข้างที่จะเด่นเช่นท่าเต้นคนจะจดจำได้ดีกว่า เริ่มแรกของไอเดียมีเพียงไมเคิล แจ๊คสัน พอทำไปไอเดียก็แข็งแรงขึ้นขยายมาเป็นซีรีส์ มีเอลวิส และเฉินหลงเพิ่มขึ้นมา...จุดเด่นของภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้คือการพลิกกลับอารมณ์คนดูหลังจากตะลึงงันกับความเหมือนของนักแสดงเหล่านั้นมาฮุกกลับด้วยประโยคตอนท้ายที่ว่า "มีประโยชน์อะไรใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น" ซึ่งจุดนี้ทีมงานกล่าวว่า " ประโยคสุดท้ายที่แรงเพราะเราอยากจะกระชากความรู้สึกกลับมา อยากจะให้คนถกเถียงกันว่าควรจะเป็นอย่างไร อยากจะให้เป็นสิ่งที่คนพูดถึง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ คือคนที่ชอบก็ชอบมาก ไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบเลย แต่เราก็ได้ทำแบบสอบถามหลังจากที่หนังออนแอร์ไปได้ 1 สัปดาห์ เพราะฟีดแบ็คที่กลับมามีทั้งบวกทั้งลบ เราก็เช็คฟีดแบ็คกับคอนซูเมอร์โดยที่ว่าทีมสำรวจของเราทำเทเลเซอร์เวย์ในช่วงเสาร์อาทิตย์หลังจากที่หนังออนแอร์ไปได้ 1 อาทิตย์ ด้วยคำถามที่ไม่ได้ชี้นำว่าเห็นหนังแล้วรู้สึกอย่างไรเป็นคำถามเปิด ก็ได้คำตอบว่าประมาณ 80% คือ 2 คน จาก 100 คนที่บอกในแง่ที่ว่าไปว่าเขาทำไม สงสาร แต่พอให้เรตติ้งสกอร์ว่าชอบหนังไหม ตอบว่าชอบ ทั้งหมด และจำได้ และหลังจากนั้น 1 เดือนก็ตามไปเทเลเซอร์เวย์ใหม่ ถามถึงหนังโฆษณาทั้งหมดที่จำได้ ปรากฏว่าหนังซีรีส์นี้ก็ติดท็อปเทนด้วย เราถือว่าเราประสพผลสำเร็จในแง่การสร้าง Awareness สร้างตัว Corporate รองรับตัวแบรนด์ของโนเบิล"Productionภาพยนตร์โฆษณาโนเบิลชุดนี้ใช้โปรดักชั่นเฮ้าส์คือ สกายเอ็กซิทส์ซึ่งกำกับโดย คุณอนุรักษ์ จั่นสัญจัย เนื่องจากว่าคุณอนุรักษ์ ก็เคยเป็นครีเอทีฟของงานโนเบิลด้วยซึ่งจะเข้าใจเรื่องแบรนด์โนเบิลได้ดี แต่กว่าจะได้คิวผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไปจนถึงการล็อกเวลาให้ประสานกับครีเอทีฟก็ล่าช้าออกมาเกือบ 2 เดือนแล้วก็มาถึงเรื่องของตัวแสดงที่เผอิญลงตัวที่ทางแคสติ้งมีไฟล์ข้อมูลของบุคคลที่มีลักษณะนี้อยู่แล้วแต่ก็ยังต้องคัดกันบทละหลายคน....ความยากอยู่ตรงที่จะแสดงได้หรือเปล่า บางคนเวลาฝึกเวลาแสดงเหมือนมาก แต่หน้าตาอาจจะไม่เหมือน จึงยากในการเลือกว่าจะเลือกแบบไหน จึงต้องคัดตัวและเล่าทุกอย่างให้ตัวแสดงฟังเนื่องจากว่าประโยคสุดท้ายนั้นค่อนข้างแรง กระตุกความรู้สึกคน ทีมงานจะไม่ปิดเรื่องประโยคสุดท้ายหรือ สตอรี่บอร์ด หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกตัวแสดงที่แสดงแล้วให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดกับคอนเซ็ปต์ของหนังให้มากที่สุดและหนังแต่ละเรื่องก็ไม่เหมือนกัน โดยเรื่องของไมเคิล แจ๊คสัน จะเป็นการเล่าชีวิตจริงๆ การเมคอัพ การแต่งหน้า การแต่งตัวให้เหมือนไมเคิล เรื่องเอลวิส ก็เป็นชีวิตประจำวันของเขาที่คลั่งไคล้เอลวิส ส่วนเฉินหลง ก็จะทำเลียนแบบ คือความบังเอิญก็จะทำให้เขาภูมิใจ ทั้งหมดจะมีโครงเรื่องของแต่ละเรื่องอยู่แล้วสุดท้ายจึงได้นักแสดงทั้ง 3 คน คนแรกที่แสดงเป็น ไมเคิล แจ๊คสัน นั้น คือคุณเจื่อน (ไมเคิล) โคกสุวรรณ เป็นคนไทยและมีอาชีพแบบนั้นจริงๆ คือเป็นนักแสดงโชว์เลียนแบบจริงๆ คนที่สองคือคุณหลี่ตง แซ่ตั้ง เป็นเฉินหลง ซึ่งคุณหลี่ตงนั้นเป็นชาวกัมพูชาแต่เคยอยู่เมืองไทยเหมือนเฉินหลงจริงๆ เป็นชาวกัมพูชาที่พอพูดภาษาไทยได้บ้าง มาเมืองไทยเพื่อทำธุรกิจบ่อยๆ...ส่วนคนสุดท้ายที่เป็นเอลวิส ก็คือ คุณณรงค์ ปรีชาพันธ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อธนาคาร ซึ่งสามารถร้องเพลงของเอลวิสได้เพราะมาก รอบรู้เกร็ดชีวิตของเอลวิส โดยนักแสดงทั้งหมดนี้มีส่วนความสัมพันธ์กับซูเปอร์สตาร์ทั้งนั้นในแต่ละแง่มุม บางคนอาจจะหน้าเหมือน บางคนอาจจะคลั่งไคล้ ใช้ชีวิตแบบนั้นเลย...ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ใช้เวลา 20 วันก็ถ่ายทำจบครบสมบูรณ์ โดยแยกกันถ่ายแต่ละคนแยกคิวกันไปนัดถ่ายทีละวันทีละคน ประโยคที่แต่ละคนพูดในหนัง จะมีโครงเรื่องอยู่แล้วว่าจะพูดอะไรไป ก็ให้พูดไปเรื่อยๆ แสดงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปตัดต่อตอนที่ใช้ได้ อยู่ในโครงของมัน แล้วเกร็ดต่างๆ เช่น ไมเคิลลูบเป้าที่จริงๆแล้วไม่ใช่การกำแล้วยก นั่นก็เป็นการทำให้หนังมีค่าขึ้นมาเพราะเกร็ดต่างๆเหล่านี้ เรื่องไมเคิล นั้นถ่ายที่อพาร์ตเม้นต์ย่านลาดพร้าว ส่วนเฉินหลงนั้นถ่ายที่ย่านเยาวราชแต่ไปเซ็ตฉากที่เป็นบ้านในสตูดิโอ ส่วนเรื่องเอลวิสนั้นถ่ายในสตูดิโอและในผับ ช่วงการถ่ายทำก็สบายๆเช่นถ่ายเอลวิสในผับ ตัวแสดงที่เลือกมาคือคุณณรงค์ ก็มีความสนุกสนานมาก ถ่ายจนไม่อยากจะกลับเพราะสุดท้ายจะมีการร้องเพลง และร้องได้เพราะมาก เหมือนไม่ได้มาถ่ายทำแต่มาสังสรรค์กัน ระหว่างถ่ายทำก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อยมาก หรือเมื่อไปถ่ายเรื่องเฉินหลงก็จะมีฝรั่ง หรือคนจีนแถวนั้นคิดว่าเป็นเฉินหลงมามุงดู ทำให้สนุกสนานเวลาเห็นปฏิกิริยาของผู้คน...ทางด้านงบประมาณของแคมเปญนี้นั้น...รวมถึงสื่อต่างๆที่ทำซัพพอร์ตแคมเปญด้วยก็ประมาณ 40 ล้านบาท คือ ทีวี สร้าง Corporate ส่วนสื่ออื่นๆก็ให้รายละเอียดโครงการไป เฉพาะโปรดักชั่นของหนังโทรทัศน์ก็ประมาณ 6 ล้านบาท...นับเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สร้างการรับรู้ได้อย่างประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกต่างจากโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นๆเป็นอย่างยิ่ง...เจ้าของผลิตภัณฑ์ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)ชื่อชุดโฆษณา " Be Different" (ใช้ชีวิตให้แตกต่าง)ความยาว 60 วินาทีเอเยนซี โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทซิ่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์ นพดล ศรีเกียรติขจร ผู้กำกับศิลป์ ภูรินทร์ พงศ์โชคดีเลิศผู้เขียนบทโฆษณา ภักดิ์พงศ์ สกลวิทยานนท์ ผู้ควบคุมการผลิต ยุทธพงศ์ วรานุเคราะห์โชคโปรดักชั่นเฮ้าส์ สกายเอ็กซิทส์ผู้กำกับ อนุรักษ์ จั่นสัญจัย
ในช่วงเดือนกว่าๆที่ผ่านมา เราคงจะได้เห็นภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้การเดินเรื่องด้วยคนที่หน้าเหมือนซูเปอร์สตาร์ หรือพยายามทำตัวให้เหมือนเพราะใจรัก แม้กระทั่งการเลียนแบบเพื่อเลี้ยงชีพ จากต้นแบบของซูเปอร์สตาร์อย่าง ไมเคิล แจ๊คสัน , เฉินหลง และเอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งซีรีส์ภาพยนตร์โฆษณา โนเบิล ชุดนี้ทั้งในแง่คอนเซ็ปต์ของภาพยนตร์ ไปจนถึง Execution ที่มีจุดหักมุม เน้นเรื่องความแตกต่างที่โยงมาถึง Brand Image โดยการขายบ้านซึ่งไม่มีภาพของบ้านให้เห็นกันเลย ทางทีมงาน BrandAge จึงเดินทางไปเจาะเบื้องหลังที่มาที่ไปของภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ กับทีมงานของทาง Ogilvy & Mather เอเยนซีโฆษณาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ...ซึ่งประกอบด้วยคุณนพดล ศรีเกียรติขจร ผู้อำนวยการสร้างสรรค์ คุณภักดิ์พงศ์ สกลวิทยานนท์ ผู้เขียนบทโฆษณา คุณธนิต เติมสุขเกษม Communications Executive และคุณวนิดา เศรษฐเศวต Business Director ...ซึ่งเราจะขอใช้คำรวมว่า "ทีมงาน" ในการอ้างอิงถึงความคิดเห็นและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆต่อไปนี้...Concept สำหรับความเป็นมาของแนวคิดที่เป็นโจทย์ในการสร้างสรรค์งานโฆษณานั้น ทางทีมงานกล่าวว่า "โจทย์คือ เมื่อก่อนโนเบิลจะทำเป็นโปรเจ็กต์ขายเป็นโครงการ แต่ท่ามกลางการแข่งขันคิดว่าการสร้างแบรนด์เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่าต่อไปคนจะซื้อบ้านนั้นไม่ได้ซื้อเฉพาะโปรเจ็กต์ แต่ซื้อที่ยี่ห้อของมันด้วยเพราะฉะนั้นจึงถึงเวลาที่จะทำหนังแบรนด์ออกมาเป็นหนังที่ทำให้รู้ว่า Positioning ของ Brand Noble ยืนอยู่ที่ไหน ซึ่งก็คิดว่าอยู่บนคอนเซ็ปต์ที่ว่า Be Different ใช้ชีวิตให้แตกต่างก็เลยเป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ นอกจากนั้น สิ่งที่โนเบิลสร้างมาและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมาตลอดก็คือการเป็นผู้นำในแง่ของดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร บ้านทุกๆโครงการตั้งแต่ออกมาในสมัยก่อนหน้านั้นจนมาถึงช่วงที่เศรษฐกิจดีขึ้นก็ยังเน้นที่การสร้างความแตกต่างในเรื่องของการอยู่อาศัยของบ้าน มีการเสนอคอนเซ็ปต์ของบ้านสไตล์รีสอร์ทซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนตลอด 365 วันในชีวิต หรือว่าบ้านในสไตล์ L Shape และ U Shape ซึ่งสร้างความแตกต่างของฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นต้องมีสนามหน้าบ้านมาโชว์อย่างเดียว ลูกค้าเป็นคนที่มีวิชั่นและมองภาพของธุรกิจชัดเจนมาก และสร้างความแตกต่างโดยตลอด โดยเฉพาะความคิดในการดีไซน์บ้าน และก็เป็นสิ่งที่คอนซูเมอร์ยอมรับและจดจำได้""Brand ก็เหมือนคน คือคนๆนี้เป็นคนอย่างไร โนเบิล เป็นคนที่เมื่อมองกลับไป 10 กว่าปี เป็นคนที่ค่อนข้างจะครีเอทีฟมีความคิดสร้างสรรค์ไม่หยุดอยู่กับที่ เป็นคนแนะนำความคิดใหม่ๆเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ไม่ว่าจะเป็นหลังคาโค้ง และอีกมากมาย ซึ่งเราคิดว่าคนๆ นี้คิดไม่เหมือนคนอื่น คนๆ นี้มีความคิดที่แตกต่าง จึงคิดว่าน่าจะส่งเสียง Attitude นี้ออกมาคือใช้ชีวิตให้แตกต่าง...เหมือนเรากำลังจะบอกว่ามันก็ไม่ผิดหรอกที่เราแต่ละคนจะมีความชอบในการทำอะไรไม่เหมือนกัน ทำไมเราต้องไปเลียนแบบคนอื่นเหมือนกับการที่เราจะอยู่บ้าน บ้านที่เรารู้จักทั่วไปก็จะทำตามๆกัน เราก็บอกว่าชีวิตคุณมีทางเลือกนะ ชีวิตคุณเป็นตัวคุณเองทำไมไม่เลือกบ้านที่เป็นตัวของตัวคุณ เราก็เลยหยิบยกเอาชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตอยู่เหมือนการเลียนแบบคนอื่น แต่เราจะบอกว่าเราควรจะหาเวลามาค้นหาชีวิตของตนเองดีกว่าไหม ก็เลยเป็นไอเดียขึ้นมา"Executionเมื่อทางทีมงานได้ไอเดียจากโจทย์ทางการตลาดแล้วก็นำมาคิดหาเรื่องราวในการนำเสนอซึ่งทางทีมงานเปิดเผยว่า "เหมือนเรากำลังจะบอกว่ามันก็ไม่ผิดหรอกที่เราแต่ละคนจะมีความชอบในการทำอะไรไม่เหมือนกัน ทำไมเราต้องไปเลียนแบบคนอื่นเหมือนกับการที่เราจะอยู่บ้าน บ้านที่เรารู้จักทั่วไปก็จะทำตามๆกัน เราก็บอกว่าชีวิตคุณมีทางเลือกนะ ชีวิตคุณเป็นตัวคุณเองทำไมไม่เลือกบ้านที่เป็นตัวของตัวคุณ เราก็เลยหยิบยกเอาชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตอยู่เหมือนการเลียนแบบคนอื่น แต่เราจะบอกว่าเราควรจะหาเวลามาค้นหาชีวิตของตนเองดีกว่าไหม ก็เลยเป็นไอเดียขึ้นมาในการหยิบเอาไอเดียในการเลียนแบบซูเปอร์สตาร์ที่ดังๆ....... คือจริงๆแล้วเราอยากให้ซูเปอร์สตาร์เหล่านี้มาเป็น Inspiration ให้เขาคิดสไตล์ของตัวเขา (คนดู) เองมากกว่าที่จะมาเลียนแบบให้เหมือน แทนที่จะเดินตามทุกสเตป เราจะไปไม่ถึงไหน แต่ถ้าเราเดินตามซูเปอร์สตาร์เหล่านั้นแล้วเอามาเป็นแรงบันดาลใจสร้างอะไรใหม่ๆให้โลกหรือให้ประเทศของเราก็ได้...ที่เคยอ่านหนังสือเจอก็จอห์น เลนนอน ตอนเด็กๆก็เลียนแบบเอลวิส และถ้าวันนั้น จอห์น เลนนอน เลียนแบบไปเลย โลกนี้ก็คงไม่มีจอห์น เลนนอนเกิดขึ้น ตรงนี้คือมุมมองที่เราจะเสนอมากกว่า"แรกเริ่มนั้นทีมงานขายงานให้ลูกค้าคือทางโนเบิล ผ่านภายในครั้งเดียว เนื่องจากว่ามั่นใจในความแรงของหนังและไม่ได้เฉออกไปจากสิ่งที่กำลังจะสื่อสารสู่ผู้บริโภค...เมื่อทีมงานใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า "จะใช้ชีวิตให้เหมือนคนอื่นทำไม" คือก่อนที่จะออกมาเป็น 3 ซูเปอร์สตาร์นี้ก็เลือกมามากมาย แต่จุดที่ทีมงานเลือกไมเคิล แจ๊คสัน, เฉินหลง, และเอลวิส ก็เพราะเราคิดว่าทั้งหมดเป็นซูเปอร์สตาร์ เพราะคนที่เลียนแบบซูเปอร์สตาร์นั้นมักจะเลียนแบบๆคลั่งไคล้ มันมีความน่าสนใจคือทุกคนเข้าใจได้ง่ายด้วย รู้จักหมด แต่ถ้าสมมติว่าเป็นเบคแฮม อาจจะไม่ได้มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดมากมีแค่การเปลี่ยนทรงผม แต่ ไมเคิล แจ๊คสัน นั้นค่อนข้างที่จะเด่นเช่นท่าเต้นคนจะจดจำได้ดีกว่า เริ่มแรกของไอเดียมีเพียงไมเคิล แจ๊คสัน พอทำไปไอเดียก็แข็งแรงขึ้นขยายมาเป็นซีรีส์ มีเอลวิส และเฉินหลงเพิ่มขึ้นมา...จุดเด่นของภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้คือการพลิกกลับอารมณ์คนดูหลังจากตะลึงงันกับความเหมือนของนักแสดงเหล่านั้นมาฮุกกลับด้วยประโยคตอนท้ายที่ว่า "มีประโยชน์อะไรใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น" ซึ่งจุดนี้ทีมงานกล่าวว่า " ประโยคสุดท้ายที่แรงเพราะเราอยากจะกระชากความรู้สึกกลับมา อยากจะให้คนถกเถียงกันว่าควรจะเป็นอย่างไร อยากจะให้เป็นสิ่งที่คนพูดถึง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ คือคนที่ชอบก็ชอบมาก ไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบเลย แต่เราก็ได้ทำแบบสอบถามหลังจากที่หนังออนแอร์ไปได้ 1 สัปดาห์ เพราะฟีดแบ็คที่กลับมามีทั้งบวกทั้งลบ เราก็เช็คฟีดแบ็คกับคอนซูเมอร์โดยที่ว่าทีมสำรวจของเราทำเทเลเซอร์เวย์ในช่วงเสาร์อาทิตย์หลังจากที่หนังออนแอร์ไปได้ 1 อาทิตย์ ด้วยคำถามที่ไม่ได้ชี้นำว่าเห็นหนังแล้วรู้สึกอย่างไรเป็นคำถามเปิด ก็ได้คำตอบว่าประมาณ 80% คือ 2 คน จาก 100 คนที่บอกในแง่ที่ว่าไปว่าเขาทำไม สงสาร แต่พอให้เรตติ้งสกอร์ว่าชอบหนังไหม ตอบว่าชอบ ทั้งหมด และจำได้ และหลังจากนั้น 1 เดือนก็ตามไปเทเลเซอร์เวย์ใหม่ ถามถึงหนังโฆษณาทั้งหมดที่จำได้ ปรากฏว่าหนังซีรีส์นี้ก็ติดท็อปเทนด้วย เราถือว่าเราประสพผลสำเร็จในแง่การสร้าง Awareness สร้างตัว Corporate รองรับตัวแบรนด์ของโนเบิล"Productionภาพยนตร์โฆษณาโนเบิลชุดนี้ใช้โปรดักชั่นเฮ้าส์คือ สกายเอ็กซิทส์ซึ่งกำกับโดย คุณอนุรักษ์ จั่นสัญจัย เนื่องจากว่าคุณอนุรักษ์ ก็เคยเป็นครีเอทีฟของงานโนเบิลด้วยซึ่งจะเข้าใจเรื่องแบรนด์โนเบิลได้ดี แต่กว่าจะได้คิวผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไปจนถึงการล็อกเวลาให้ประสานกับครีเอทีฟก็ล่าช้าออกมาเกือบ 2 เดือนแล้วก็มาถึงเรื่องของตัวแสดงที่เผอิญลงตัวที่ทางแคสติ้งมีไฟล์ข้อมูลของบุคคลที่มีลักษณะนี้อยู่แล้วแต่ก็ยังต้องคัดกันบทละหลายคน....ความยากอยู่ตรงที่จะแสดงได้หรือเปล่า บางคนเวลาฝึกเวลาแสดงเหมือนมาก แต่หน้าตาอาจจะไม่เหมือน จึงยากในการเลือกว่าจะเลือกแบบไหน จึงต้องคัดตัวและเล่าทุกอย่างให้ตัวแสดงฟังเนื่องจากว่าประโยคสุดท้ายนั้นค่อนข้างแรง กระตุกความรู้สึกคน ทีมงานจะไม่ปิดเรื่องประโยคสุดท้ายหรือ สตอรี่บอร์ด หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกตัวแสดงที่แสดงแล้วให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดกับคอนเซ็ปต์ของหนังให้มากที่สุดและหนังแต่ละเรื่องก็ไม่เหมือนกัน โดยเรื่องของไมเคิล แจ๊คสัน จะเป็นการเล่าชีวิตจริงๆ การเมคอัพ การแต่งหน้า การแต่งตัวให้เหมือนไมเคิล เรื่องเอลวิส ก็เป็นชีวิตประจำวันของเขาที่คลั่งไคล้เอลวิส ส่วนเฉินหลง ก็จะทำเลียนแบบ คือความบังเอิญก็จะทำให้เขาภูมิใจ ทั้งหมดจะมีโครงเรื่องของแต่ละเรื่องอยู่แล้วสุดท้ายจึงได้นักแสดงทั้ง 3 คน คนแรกที่แสดงเป็น ไมเคิล แจ๊คสัน นั้น คือคุณเจื่อน (ไมเคิล) โคกสุวรรณ เป็นคนไทยและมีอาชีพแบบนั้นจริงๆ คือเป็นนักแสดงโชว์เลียนแบบจริงๆ คนที่สองคือคุณหลี่ตง แซ่ตั้ง เป็นเฉินหลง ซึ่งคุณหลี่ตงนั้นเป็นชาวกัมพูชาแต่เคยอยู่เมืองไทยเหมือนเฉินหลงจริงๆ เป็นชาวกัมพูชาที่พอพูดภาษาไทยได้บ้าง มาเมืองไทยเพื่อทำธุรกิจบ่อยๆ...ส่วนคนสุดท้ายที่เป็นเอลวิส ก็คือ คุณณรงค์ ปรีชาพันธ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อธนาคาร ซึ่งสามารถร้องเพลงของเอลวิสได้เพราะมาก รอบรู้เกร็ดชีวิตของเอลวิส โดยนักแสดงทั้งหมดนี้มีส่วนความสัมพันธ์กับซูเปอร์สตาร์ทั้งนั้นในแต่ละแง่มุม บางคนอาจจะหน้าเหมือน บางคนอาจจะคลั่งไคล้ ใช้ชีวิตแบบนั้นเลย...ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ใช้เวลา 20 วันก็ถ่ายทำจบครบสมบูรณ์ โดยแยกกันถ่ายแต่ละคนแยกคิวกันไปนัดถ่ายทีละวันทีละคน ประโยคที่แต่ละคนพูดในหนัง จะมีโครงเรื่องอยู่แล้วว่าจะพูดอะไรไป ก็ให้พูดไปเรื่อยๆ แสดงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปตัดต่อตอนที่ใช้ได้ อยู่ในโครงของมัน แล้วเกร็ดต่างๆ เช่น ไมเคิลลูบเป้าที่จริงๆแล้วไม่ใช่การกำแล้วยก นั่นก็เป็นการทำให้หนังมีค่าขึ้นมาเพราะเกร็ดต่างๆเหล่านี้ เรื่องไมเคิล นั้นถ่ายที่อพาร์ตเม้นต์ย่านลาดพร้าว ส่วนเฉินหลงนั้นถ่ายที่ย่านเยาวราชแต่ไปเซ็ตฉากที่เป็นบ้านในสตูดิโอ ส่วนเรื่องเอลวิสนั้นถ่ายในสตูดิโอและในผับ ช่วงการถ่ายทำก็สบายๆเช่นถ่ายเอลวิสในผับ ตัวแสดงที่เลือกมาคือคุณณรงค์ ก็มีความสนุกสนานมาก ถ่ายจนไม่อยากจะกลับเพราะสุดท้ายจะมีการร้องเพลง และร้องได้เพราะมาก เหมือนไม่ได้มาถ่ายทำแต่มาสังสรรค์กัน ระหว่างถ่ายทำก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อยมาก หรือเมื่อไปถ่ายเรื่องเฉินหลงก็จะมีฝรั่ง หรือคนจีนแถวนั้นคิดว่าเป็นเฉินหลงมามุงดู ทำให้สนุกสนานเวลาเห็นปฏิกิริยาของผู้คน...ทางด้านงบประมาณของแคมเปญนี้นั้น...รวมถึงสื่อต่างๆที่ทำซัพพอร์ตแคมเปญด้วยก็ประมาณ 40 ล้านบาท คือ ทีวี สร้าง Corporate ส่วนสื่ออื่นๆก็ให้รายละเอียดโครงการไป เฉพาะโปรดักชั่นของหนังโทรทัศน์ก็ประมาณ 6 ล้านบาท...นับเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สร้างการรับรู้ได้อย่างประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกต่างจากโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นๆเป็นอย่างยิ่ง...เจ้าของผลิตภัณฑ์ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)ชื่อชุดโฆษณา " Be Different" (ใช้ชีวิตให้แตกต่าง)ความยาว 60 วินาทีเอเยนซี โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทซิ่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์ นพดล ศรีเกียรติขจร ผู้กำกับศิลป์ ภูรินทร์ พงศ์โชคดีเลิศผู้เขียนบทโฆษณา ภักดิ์พงศ์ สกลวิทยานนท์ ผู้ควบคุมการผลิต ยุทธพงศ์ วรานุเคราะห์โชคโปรดักชั่นเฮ้าส์ สกายเอ็กซิทส์ผู้กำกับ อนุรักษ์ จั่นสัญจัย