Sunday, 5 August 2007

วงการพีอาร์เอเย่นซี่ฮือฮาไม่น้อย

วงการพีอาร์เอเย่นซี่ฮือฮาไม่น้อย กับข่าวการประกาศวางมือจากวงการอย่างกระทันหันของหญิงเก่งในวงการ สุพรทิพย์ ช่วงรังษี หัวเรือใหญ่ที่ร่วมปลุกปั้นธุรกิจบริษัท บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด จนก้าวขึ้นสู่อันดับต้นของวงการ และโดยกระทันหันที่ผู้บริหารใหญ่ที่ปลุกปั้นอย่าง นิมิตร หมดราคีประธานได้ก้าวออกมาประกาศแนวทางและทิศทางใหม่โดยมุ่งนำองค์กรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากผู้ร่วมก่อตั้งได้วางมือจากบริษัท
กว่า 15 ปีที่นายนิมิตร หมดราคี และนางสาวสุพรทิพย์ ช่วงรังสี ได้ร่วมกันบุกเบิกธุรกิจจนประสบความสำเร็จกลายเป็นพีอาร์ เอเย่นซี่ชั้นนำของเมืองไทยด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 2 ล้านบาท จนปัจจุบันบริษัทมีรายได้สูง 83 ล้านต่อปีเมื่อปีที่ผ่านมาและในปีนี้คาดว่ามีรายได้ถึง 100 ล้านบาท
ล่าสุดนิมิตร หมดราคี ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ กำลังทำการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทที่ปรึกษาบริษัทแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่บริษัทมีผู้ถือหุ้นอยู่ 2 คนคือ นางสุพรทิพย์ ช่วงรังษี ถือหุ้นจำนวน 52%ส่วน นายนิมิตร หมดราคี ถือหุ้น 48% โดยหุ้นจำนวน 52 เปอร์เซ็นต์ของสุพรทิพย์ ถือหุ้นนั้นได้ประกาศขายหุ้นทั้งหมดคืนในตนเอง ในวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา
สาเหตุครั้งนี้ นางสาว สุพรทิพย์ ช่วงรังษี ได้ออกจดหมายชี้แจงและขอบคุณไปยังบรรดาลูกค้า และสื่อมวลชน โดยระบุว่าเพื่อไปร่วมเผชิญสิ่งท้าทายใหม่ในชีวิตกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ
นายนิมิตร กล่าวว่า ภายหลังจากได้ซื้อหุ้นจาก นางสาว สุพรทิพย์ ช่วงรังษี แล้วบริษัทได้มีโครงการที่จะปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อที่จะขยายธุรกิจให้เจริญเติบโตแบบยั่งยืน ด้วยเห็นว่า โครงสร้างแบบเก่ามีความซับซ้อนและยุ่งยาก จึงได้ปรับให้เป็นโครงสร้างแบบแนวราบที่จะขึ้นตรงกับนายนิมิตรเลย เพื่อที่จะช่วยในเรื่องของความคล่องตัวและการทำงานที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ในด้านของการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น
นายนิมิตรกล่าวว่า เนื่องมาจากต้องการให้บริษัทไปได้ดีมากกว่าเดิม จึงพยายามมองหาโอกาส ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทใหญ่ ๆ พากันเข้าตลาดหลักทรพัย์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมองว่า หากบริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีโอกาสในตลาดมากขึ้น อีกทั้งบุคคลากรของบริษัทก็มีความรู้ในด้านนี้อยู่แล้ว จึงเปิดบริการ IPO และมีลูกค้าอยู่ 5 รายในปีแรกคือ M-LINK , BAFF, Matching Studio, Samart และ ในปีที่ 2 ของการให้บริการ IPO มีลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 4 ราย ปีที่ 3 อีก 4 ราย
สำหรับในปีนี้ ตลาดหลักทรพัย์แจ้งว่าจะมีบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ 150 บริษัท ซึ่งทาง 124 ต้องการลูกค้าในกลุ่มนี้ประมาณ 10 บริษัทสำหรับปีนี้ โดยที่ครึ่งปีแรกมีลูกค้าใหม่แล้ว 8 ราย อาทิเช่น Asia Metal, SF Cinema, โรงงานน้ำตาลขอนแก่น, Loxbit, Solution Corner, KingPack , ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้เพิ่มบริการการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มนักลงทุนหรือ IR โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิเคราะห์ทั้งไทยและต่างประเทศ นักข่าวสายหุ้นและการเงิน
ในส่วนของลูกค้านั้น 124 มีลูกค้าอยู่ 6 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มสื่อสารสนเทศและโทรคมนาคม สัดส่วนรายได้ 30% ,กลุ่มการเงินและบริการการเงิน 40%, กลุ่มอุตสาหกรรม 10%, กลุ่มรถยนต์ 5%, กลุ่มบันเทิงและสันทนาการ 5%, และกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและแฟชั่น 10% ซึ่งในปี 2548 ที่จะถึงนี้ เป้าหมายที่วางเอาไว้จะเปลี่ยนแปลงไป โดยจะเน้นหนักที่บริการ IPO และ IR รวมถึงให้ความสำคัญกับกลุ่มของภาครัฐและวิสาหกิจมากขึ้นอีกด้วย
ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมาก โดยในปี 2545 มีรายได้ 62 ล้านบาท และในปี 2546 รายได้เพิ่มขึ้น 35% เป็น 83 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะปิดที่อย่างน้อย 100 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีรายได้ 50 ล้านบาท ในส่วนของพันธมิตรที่มีอยู่ นายนิมิตรกล่าวว่าเป็นพันธมิตรจากต่างประเทศ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกว่า 8 ปีแล้ว คือบริษัท เคทชัม บริษัทพีอาร์อันดับ 8 ของโลก และบริษัทเฟลชแมน-ฮิลลาร์ด บริษัทพีอาร์อันดับ 5 ของโลก ที่ทำงานร่วมกันในด้านของการหาลูกค้า โดยในขณะนี้ 124 มีลูกค้าประจำอยู่ 30 ราย รวมถึงลูกค้าขาจรอีกหลายราย โดยมีสัดส่วนรายได้เป็นลูกค้าประจำ 80% ลูกค้าขาจรอีก 20%นอกจากนี้ก็ยังมองหาในเรื่องของคอนเนคชั่น ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจด้านนี้
นอกจากนี้ 124 ยังโดดเด่นในเรื่องของจุดแข็ง คือทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ รอบรู้ รวมถึงมีคอนเนคชั่นที่ดี และการทำงานที่ทาง 124 ทำห้มากกว่าที่ลูกค้าคาดหวังทำให้งานมีคุณภาพมากขึ้น
นายนิมิตรกล่าวว่า ในปี 2547 นี้ กลุ่มธุรกิจที่จะโตได้มากคือกลุ่มของ ภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และภาคการเงินและบริการทางการเงิน ในส่วนของ ภาคสื่อสารสนเทศและโทรคมนาคมนั้น คงจะโตไม่มากเท่าไหร่ เนื่องจากค่อนข้างจะอิ่มตัวบ้างแล้ว