Sunday 5 August 2007

ถ้าคุณได้เคยชมหนังโฆษณา

ถ้าคุณได้เคยชมหนังโฆษณาที่ผ่านตาในโทรทัศน์ อย่างเช่น ไอ้ฤทธิ์ชุดแบล็คแคท, ปตท.ชุดก็อตซิลล่าถล่มเมือง, คาสตรอลชุดสงสัยหัวเทียนบอด, มีสทีนเรื่องผีเสื้อสมุทร, เต่าเรียกแม่ และทารกเรียกยาย ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือผลงานการโฆษณาที่กลั่น กรองมาจากสมองของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของเขาได้ผ่านความยากลำบากจนถึงขีดสุดมาอย่างสาหัสสากรรจ์ แต่ ณ ปัจจุบันนี้เขาคือหัวเรือใหญ่ของแมทชิ่ง สตูดิโอ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่สร้างสไตล์หนังโฆษณาของตัวเองอย่างโดดเด่น และได้กวาดรางวัลจากเวทีประกวดโฆษณามาแล้วมากมาย เขาผู้นั้นคือ คุณสมชาย ชีวสุทธานนท์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ตี๋…แมทชิ่ง” นั่นเอง
คุณผู้อ่านทั้งหลายคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ชีวิตเหมือนดั่งนิยายน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง ซึ่งตัวละครในเรื่องก็สุดแสนที่จะรันทด เกิดมาลำบาก ยากเข็ญซะเหลือเกิน ตามบทประพันธ์ที่เขาเขียนขึ้นมาจากจินตนาการ และถ้าคุณได้ดูนิยายเรื่องนี้ คุณก็คงจะบอกว่ามันช่างน้ำเน่าสิ้นดี แต่คุณผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่านิยายที่ว่าน้ำเน่าแล้ว มันยังมีเรื่องที่เน่ากว่านั้นอีก และเรื่องที่ว่าเน่ากว่านั้นมันคือชีวิตจริงของคนๆ หนึ่ง ซึ่ง ณ ช่วงชีวิตขณะนั้นเขาพูดได้เต็มปากเลยว่า “ชีวิตแย่ แย่จริงๆ”
คุณสมชาย ชีวสุทธานนท์ ได้เล่าถึงช่วงชีวิตที่เขาไม่อาจลืมเลือนมันออกไปจากความทรงจำว่า “ประมาณช่วงที่เรียน ปวส. ปี 1 ตอนนั้นที่บ้านเริ่มแย่ พ่อของผมโดนโกง คือแกไปเซ็นค้ำประกัน แล้วต่อมาภายหลังโดนฟ้องล้มละลาย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วอย่างไม่มีใครตั้งตัวทัน ทุกคนตกใจ แล้วในสถานการณ์อย่างนั้นมันเหมือนกับเรือที่ขาดหางเสือ ตอนนั้นยังไม่มีใครทำงาน ที่บ้านไม่มีใครมีรายได้ ผมเองในฐานะพี่ชายคนโตของน้องๆ อีกสี่คน เลยตัดสินใจจะลาออก แล้วจะหางานทำ คือช่วงที่เรียนอยู่ผมก็ฝึกงานไปด้วยที่บริษัทเอวีคราฟ เป็นบริษัทที่เรียกได้ว่าใหญ่พอสมควร ผมตัดสินใจจะออกมาทำงานเต็มตัว แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนท่านเมตตาให้ทุนมา ผมก็เลยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ไปเรียนแต่สุดท้ายก็จบออกมาได้
ช่วงระหว่างที่ทำงานนั้น ผมมีเงินเดือนสองพันสองร้อยบาท มีแม่และมีน้องอีกสี่คนที่ต้องรับผิดชอบ ผมใช้วิธีไม่กินข้าว คือหนึ่งวันผมจะกินข้าวเช้ามื้อเดียวมาจากบ้าน เมนูหลักก็จะเป็นเกี๊ยมฉ่ายดอง นี้คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับผม พอมาทำงานตอนกลางวันถ้าผมหิวผมจะทานน้ำเพื่อให้หายหิว พอเพื่อนร่วมงานจะมาชวนทานข้าว ผมจะแกล้งฟอร์มว่างานยุ่ง
มีอยู่วันหนึ่งมันเป็นวันที่เขาจะไม่มีวันลืม มันเป็นช่วงพักเที่ยง วันนั้นเขาหิวข้าวมาก มือไม้สั่น เดินไปยังห้องครัวเพื่อจะดื่มน้ำประทังความหิว แต่บังเอิญไปเจอจานข้าวที่เขาทานเหลือไว้วางกองกันอยู่ เขาเดินไปคว้าจานข้าวมาเขี่ยอาหารที่เปียกจากน้ำที่ขังแช่อยู่ในจานออก แล้วตักเศษอาหารที่อยู่ในจานเข้าปากด้วยความหิว พลันหยดน้ำตาของเขาก็ไหลรินออกมาจากความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก ณ ความรู้สึกตรงนั้นเขาคิดถึงพ่อมาก พ่อของเขาจะลำบากขนาดไหนก็ไม่รู้
มีอยู่วันหนึ่งแม่บ้านมาแอบเห็นเขาอยู่ในครัว ซึ่งเขากำลังกินข้าวที่เหลืออยู่ในจาน แม่บ้านจึงเกิดความสงสาร วันต่อมาแม่บ้านคนนั้นจึงได้ทอดไข่วางไว้บนข้าวสวยไว้ให้เขากิน
“ตอนนั้นงานผมเยอะมาก ผมเคยทำงานรวดเดียวสิบเจ็ดวันติดกันแบบไม่หยุดเลย ได้นอนทั้งหมดไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ต้องทำงานกลับบ้านดึก พอบ่อยครั้งเข้าทางบริษัทเลยให้ผมเบิกค่ารถกลับบ้านได้สามสิบบาท” เวลากลับบ้านเขาต้องเดินตั้งแต่ซอยเพชรบุรี 11 ไปจนถึงสี่แยกราชเทวี แล้วเดินอ้อมไปจนถึงฝั่งตรงข้ามโรงแรมเอเชีย เพื่อจะขึ้นรถเมล์ หากวันไหนรถว่าง เขาจะใช้วิธียกมือไหว้กระเป๋ารถเพื่อขอไม่ต้องเก็บค่าโดยสาร บางทีเขาไม่ยอม ก็ถูกไล่ลงจากรถ นั่นคือวิธีที่แลกกับการนั่งไปลงที่ตลาดพลู และก็ต้องเดินเข้าบ้านที่ซอยยุทธการไปถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่า เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน ส่งผลให้เขาซูบซีดผ่ายผอม จนในที่สุดร่างกายของเขาก็รับไม่ไหว
“วันหนึ่งผมตื่นเช้ามาแล้วขยับตัวไม่ได้ พอลุกขึ้นมาแล้วผมหงายท้องตึงไปเลย ทางบ้านก็หามส่งโรงพยาบาลพญาไท หมอมาเห็นแล้วบอกผมว่า ร่างกายผมขาดสารอาหารอย่างหนัก สภาพผมตอนนั้นเหมือนคนเป็นอัมพาต ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรทั้งนั้น คนมาเยี่ยมก็ตกใจ ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปาก ผมต้องกลับไปพักต่ออีกประมาณสามเดือนถึงจะกลับมาเป็นปกติ จากเหตุการณ์ครั้งนั้น แม่ผมต้องออกมาขอร้องว่า อย่าหักโหมอีกต่อไป อย่าทำอย่างนี้อีกต่อไป เพราะถ้าเกิดผมเป็นอะไรไป ผลร้ายก็จะมีมากกว่าผลดี แล้วสิ่งที่เลวร้ายอยู่แล้วจะยิ่งทวีความเลวร้ายลงไปอีก ผมเห็นแม่พูดไปร้องไห้ไปแล้วก็ตัดสินใจว่า จะไม่ยอมเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ผมมาทำงานแห่งใหม่อยู่ที่ฟาร์อีสต์ ในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ประมาณสองปีครึ่งเกือบสามปีเห็นจะได้ครับ ตอนนั้นน้องผมเริ่มทยอยเรียนจบไปแล้ว ทีละคนสองคนจนเหลือคนเดียว แล้วเชื่อไหม พอน้องคนสุดท้ายผมเรียนจบผมลาออกจากงานเลย คือตอนนั้นกระแสฟรีแลนด์กำลังมา แล้วก่อนหน้านั้นผมมีงานเป็นสินค้าชุดชั้นในยี่ห้อหนึ่ง ผมคิดแค่อยากทำอะไรที่เป็นของตัวเอง จากงานชิ้นนั้นรวมกับประสบการณ์การทำงานตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผม ทำให้ผมจับโน่นผสมนี่ จนเกิดเป็นทีมขึ้นมา โดยผมเองเป็นโปรดิวเซอร์ สุดท้ายก็ได้หนังโฆษณามาหนึ่งเรื่อง เพราะฉะนั้นจะพูดก็ได้ว่า ผมออกจากฟาร์อีสต์ เพื่อมาเปิดบริษัทของตัวเอง หกเดือนเต็มคือระยะเวลาที่ไม่มีงานเข้าบริษัทเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ตอนนั้นชื่อบริษัทยังไม่มีเลย เดินไปไหนมีแต่คนรังเกียจ เขากลัวจะไปของาน ผมก็พอจะเข้าใจ เพราะความน่าเชื่อถือของบริษัทเป็นศูนย์ ต่อมาได้รับงานอยู่ 2 ชิ้น ผลลัพธ์คือเจ๊งหมด ผมหน้ามืดอีกครั้ง คราวนี้เริ่มคิดถึงทางออกที่ไม่น่าออก ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นกับความตาย ผมเห็นหน้าคนหลายๆ คนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต คนที่ผมรัก คนที่รักผม คนที่ผมเป็นหนี้ ทั้งหนี้บุญคุณและหนี้ที่เป็นเงิน ภาพของคนเหล่านั้นทำให้ผมเกิดความฮึดขึ้นมาอีกครั้ง”
และความฮึดในครั้งนั้นของเขาก็ทำให้เกิดมีวันนี้ขึ้น วันที่มีบริษัทโฆษณาชั้นนำของเมืองไทยที่ชื่อ “แมทชิ่งสตูดิโอ” เกิดขึ้น ซึ่งเขาได้พูดถึงเคล็ดลับส่วนตัวในการคิดงานของเขาว่า
“ผมคิดเรื่องงานเหมือนเป็นอัตโนมัติ ผมไม่ได้ไปบังคับขู่เข็ญให้หัวมันคิด มันไปเอง เห็นอะไรก็คิดได้หมด ขายไข่ปิ้ง ขายหมูทอด ผมมีอะไรๆ ให้ขบได้ตลอด อีกอย่างผมชอบไปนั่งคุยกับคนหลายๆ รูปแบบ ผมคุยหมด พยายามเอาคำพูดหรือแนวความคิดที่น่าสนใจเก็บใส่หัวเอาไว้ แล้ววันดีคืนดีก็เอาออกมาคิด คิดไปคิดมาอะไรในโลกนี้ก็ทำเงินได้หมด มันสุดแต่ว่าคุณจะมีวิธีการทำมันอย่างไรให้ได้เงิน ผมหมายถึงสิ่งของรอบตัวทุกอย่าง ไม้จิ้มฟัน ต้นไม้ ใบไม้ หรือแม้กระทั่งดินที่เราย่ำเดินอยู่ทุกวัน ไม่เชื่อคุณเพิ่มคุณค่าให้กับมันโดยลองตักใส่ถุง เพียงเท่านั้นคุณก็ได้ปุ๋ยดินหนึ่งกระสอบ แล้วที่เหลือคือหาวิธีขายมันให้ได้ ทุกอย่างเป็นเงินได้หมด มันอยู่ที่ความคิด”
และนี่คือเคล็ดลับส่วนตัวของเขาที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ซึ่งใครจะนำไปใช้ก็ได้
อ้อ! แล้วคุณเชื่อไหม ณ วันนี้บริษัทที่เขาเป็นเจ้าของ ในมื้อเที่ยงของทุกวันทำงาน พนักงานของเขาจะได้กินอาหารกลางวันฟรีกันทุกคน