Sunday 5 August 2007

ปัญหาเรื่องงานโฆษณา

ปัญหาเรื่องงานโฆษณา
หนึ่งวันหลังจากได้เดินทางกลับมาผมก็ได้เห็นปัญหาเรื่องงานโฆษณาที่พยายามทำกันอยู่จนผมรู้สึกได้ว่า บริษัทฯเราทำโฆษณาไม่ได้ และควรเลิกคิดที่จะทำงานประเภทนี้ซะอย่างเด็ดขาด! อาจฟังดูเหมือนคนจับจด แต่รองอ่านเหตุผลดูก่อนแล้วค่อยตัดสินกันดีกว่าว่าความคิดนี้ผิดหรือถูกวันนี้ผมอยู่ระหว่างการประสานงานโฆษณามะลิที่กำลังจะให้ Matching Studios ทำอีกสองเรื่องที่เหลือ ระหว่างที่ลงรายละเอียดในเรื่องงานชิ้นนี้ผมก็ได้รับทราบถึงปัญหาของงานชิ้นก่อนที่ได้ทำไปให้ รวมถึงงานของ T-Holding 2 งานคืองาน Select Tuna และ Fisho และเมื่อลงลึกไปในรายละเอียดมากขึ้นเท่าใดผมก็ยิ่งประจักมากขึ้นถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทฯจะทำงานโฆษณาว่า แทบไม่มีโอกาศเป็นไปได้เลย! ไม่ต้องตกใจกันนะครับ ท่านที่มีโอกาศอ่านน่าจะรู้จักนิสัยผมอยู่แล้วว่าชอบมองทุกอย่างในแง่ร้ายเกินความจริง (paranoia) ทำไมหรือครับถึงคิดเช่นนี ก็เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายใน คือเรื่องการสื่อสารกันระหว่างแผนก Business Development กับแผนก Production Assist ซึ่งยังไม่ได้กล่าวถึงปัญหาที่จะมีกับลูกค้าเลย แค่ปัญหาภายในเล็กๆก็กลายมาเป็นอุปสรรค์ให้บริษัทฯไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างราบลื่นแล้ว ทุกอย่างติดขัดไปหมดตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งทำๆไปก็ยิ่งสุมปัญหาเข้ากับต้นตอของปัญหาเดิมทำให้ลูกค้าและบุคคลภายนอกเห็นความบกพร่องและความไม่เป็นมืออาชีพของบริษัทฯได้อย่างชัดเจน ยังไม่ต้องกล่าวถึงลูกค้าที่จ้องจะเล่นการเมืองอย่างลูกค้านมมะลิ ซึ่งพร้อมที่ผสมโรงโหมให้เราดูเน่าเละเท่าที่ความสามารถเขามีทำไมถึงลูกค้าเจ้านี้ถึงต้องการทำเช่นนี? ผมขอยกย่อหน้านี้ให้กับเรื่องนีเลยแล้วกัน คือลูกค้าเจ้านี้เขามีอาการไม่ดีตั้งแต่แรกแล้วละครับเพราะเขาไม่สนุกกับการทำงานกับเราเลย เราต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าการทำงานโฆษณาของลูกค้าคือการได้แสดงออกซึ่งบางอย่างที่เขาไม่มีโอกาศทำได้มากนักในหน้าที่การงานปรกติของเขา เป็นโอกาสที่เขามีมากที่สุดที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงก็ว่าได้ ใครๆก็ชอบจริงมั้ยครับไอ้วงการบันเทิงเนี่ย ดูดี ดูไม่ยาก น่าสนุก เหมือนเวลาเราไปดูหนังแล้ววิจารกันไปต่างๆนาๆจนสนุกปากจนบางครั้งเราเองยังหลงเชื่อว่าถ้าเราทำเองก็จะทำได้ดีกว่านี้ ไม่น่าเห็นจะยากเลยก็เราดูหนังมาเยอะและเราก็เห็นได้ชัดนี่ว่าม้นไม่ดีตรงไหนผมว่าเรื่องนี้มันก็เหมือนนักมวยนะครับ coach ก็แหกปากตะโกนไปว่าให้ต่อยอย่างนั้นและหลบอย่างนี้ ก็ไอ้คนต่อยอยู่มันเห็นแต่หมัดจนมึนแล้วมันจะไปคิดอะไรออกได้อย่างไร ไม่ลงไปเองไม่มีใครรู้หรอกครับ ทีนี้พอเราไปทำอะไรให้เขายุ่งยากทั้งๆที่เขาเหมือนมาพักผ่อนเพราะเราใช้อำนาจของ licensor เขาก็ต้องไม่พอใจแน่นอน ก็นานๆทีจะได้มาแสดงความรู้ให้คนอื่นได้เห็นกันและจู่ๆก็มาโดนบล็อก เขาก็คงเสียดายโอกาศและเสียดายเงินเป็นธรรมดา เขาคงไม่ได้เสียดายเงินเสมือนเจ้าของเงินหรอกนะครับเพราะไม่ใช่เงินของคนๆนั้นอยู่แล้ว แต่เสียดายว่าเงินอย่างนี้เขาน่าจะได้โอกาศและได้สนุกกับมันมากกว่านี้ นี่แหละคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมวงการโฆษณาในบ้านเรา จริงๆแล้วรากฐานของปัญหามันมาจากนิสัยสันดานคนไทยที่ชอบโอ้อวดและอยากได้รับความยอมรับโดยไม่อยากลงทุนลงแรงในการสร้างมัน อยากได้มาอย่างสะดวกและง่าย ไม่เคยยึดถือประโยชของงานเป็นหลักกันเลยกลับมาเรื่องปัญหาภายใน การสื่อสารคือรากฐานที่สำคัญแห่งการแก้ปัญหาทุกประการผมจึงได้พยายากสร้างระบบต่างๆมารองรับ เช่น Intranet โทรศัพท์แบบ intercom ฯ จนปัจจุบันหลายท่านก็ยังคงไม่เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ อย่าว่าให้เข้าใจความสำคัญว่าการสือสารเป็นการแก้ปัญหาเลย แค่เรื่องพื้นๆว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ยังไม่รู้สักกันเลย ต้องให้เกินความเสียหายจนเด่นชัดเสียก่อนจึงจะเริ่มนับว่าเป็นปัญหา ทำให้ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นเข้าสู่ความเสียหายก่อนจึงจะเริ่มแก้กันซึงก็คงไม่ทันการแล้ว เฉกเช่นกับเรื่องนี้ผมก็เห็นว่าเป็นปัญหาเรื่องการสื่อสารระหว่างสองแผนกและสองบุคคล คนหนึ่งคือคุณเอซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบติดต่อลูกค้า อีกคนหนึ่งก็คือคุณแนนซึ่งรับผิดชอบเป็นผู้ช่วยผมเรื่องงานผลิต วันนี้ผมได้มีโอกาศคุยกับคุณเอเพื่อจะหาวิธีการแก้ปัญหาที่เป็น conflict ระหว่างสองท่านนี้ซึ่งเกิดจากวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน มันเกิดขึ้นตั้งแต่งาน Ultraman Thailand Tour แล้ว ในความเป็นจริงแล้วผมไม่ได้ต้องการเลยว่าใครถูกหรือใครผิด เพราะยังไงๆ conflict ก็มีแต่ทำให้บริษัทฯเสียหาย โดยเฉพาะเมื่อแนวหน้ามี conflict กัน แต่ที่น่ากังวลที่สุดคื่อคุณเอเองก็พยายามบอกว่าไม่มี conflict ใดๆ ผมก็เลยงงว่าแล้วนั่งร้องไห้อยู่ทำไมถ้าไม่มี ผู้หญิงมักมองหลายเรื่องเป็นส่วนตัวมากกว่าผู้ชายทำให้เวลาเกิดปัญหามักอัดอั้นมากกว่าและมีผลต่อการตัดสินใจในที่สุด ผมจึงพยายามบอกให้คุณเอทราบว่าอย่างมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีใครมองเขาไม่ดี มัเป็นแค่เรื่องวิธีการทำงานที่ไม่สอดคล้องกัน แต่ผมคิดว่าคุณเอคงยังไม่เข้าใจ การจะแก้ความคิดคนไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยคำพูดไม่กี๋ครั้ง บางที่พูดเป็นชาติอาจยังไม่ได้เลย ผมพยายามบอกเน้นโดยไม่ทำลายความรู้สึกกันไปว่าผมเคยบอกแล้วว่าให้ส่งรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร บอกไปแล้วหลายครั้งแต่เห็นทำอยู่แค่สองครั้งเท่านั้นปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการสื่อสารที่ขาดตอนและอุปนิสัยในการทำงาน ที่ว่านิสัยคื่อคุณเอเป็นคนที่รับคำติว่าได้ไม่ดี เป็นคนพยายามอย่างเต็มที่ในการเอาใจคนและจะรู้สึกไม่พอใจได้อย่างง่ายมากหากคนๆนั้นไม่รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนทำให้ สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาเรื่องเดิมของการต้องการพิสูจน์และการยอมรับ ส่วนเรื่องการสื่อสารนั้นก็คือระหว่างที่มีการประชุมกับลูกค้ารายละเอียดที่ให้มาประสานงานไม่เคยมาเป็นลายลักษ์อักษรเลย เมื่อถามแล้วก็ได้คำตอบไปต่างๆนานา ผมก็ไม่อยากบี้มากเพราะเดี๋ยวก็เป็นเพราะคุณอุ้ม หรื่อไม่ก็ Internet หรือบางครั้งก็ลูกค้า เปล่านะครับผมไม่ได้ว่าคุณเอไม่ดีแค่บอกว่าอ้างโนน่อ้างนี่เฉยๆ เป็นธรรมดาของคนที่ต้องการรับความยอมรับ ถ้ารับว่าผิดก็ห่างไกลจากการได้รับความยอมรับนะซิครับ ปัญหาคุณเอสำหรับผมไม่ได้เกิดจากตรงนี้หรอกแต่เกิดตั้งแต่มีหน้าที่การดูแลลูกค้าแต่กลับปล่อยให้ลูกค้ามาเจอผมก่อนเกื่อบชัวโมงหนึ่งในการที่ผมได้เจอลูกค้าครั้งแรก ทุกๆอย่างที่รวมกันก็เป็นปัญหามาให้บริษัทฯจนทำงานที่ดีออกมาได้ยากเพราะตะขุตะขะอยู่ตลอดเวลาPrincipal (ไม่อยากใช้คำว่าหลักการบ่อยเพราะไม่มีใครรับได้กับความหมายที่ผมใช้) ที่ผมมีคื่อ ทำงานให้ดี ถ้าไม่ดีไม่ทำ แต่ตอนนี้งานโฆษณาทำได้ไม่ดีแล้วควรทำต่อหรือครับ ไม่ใช่ว่างานยากนะครับ แต่ความเข้าใจที่มีภายในมันแย่มาก ผมเลยมีความเห็นว่าหยุดดีกว่า แล้วผมจะได้ค่อยๆหันมาจัดการกับคนที่ผมรู้สึกว่าเป็นปัญหาแล้ววันหลังเมื่อไม่มีคนที่เป็นปัญหาอยู่ด้วยแล้วค่อยว่ากันใหม่ บังเอิณสังคมไทยเป็นสังคมอลุ้มอร่วยจึงทำอะไรผลีผลามไม่ได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษา Principal เพราะสิ่งนี้สำหรับผมขาดไม่ได้ ผมเชื่อว่าส่งนี้เป็นส่งที่ทำให้วันนี้เราอยู่มาได้ และจากการคำนวนที่รู้มาช้านานแล้วก็คื่อว่าคนเราเมื่อยิ่งลำบากก็ยิ่งจะหาวิธีลดละสิ่งที่เรียกว่าหลักการออกไป ทั้งๆที่สุดท้ายแล้วสิ่งนี้เท่านั้นที่อาจจะช่วยให้คนเหล่านั้นอยู่ต่อไปได้