Monday, 13 August 2007

ภาคภูมิย้อนวันเก่าเล่าถึงรางวัลแรกในชีวิต

พอได้รับการยอมรับก็รู้สึกฮึกเหิม มีกำลังใจทำต่อ"ภาคภูมิย้อนวันเก่าเล่าถึงรางวัลแรกในชีวิตของการทำหนัง ซึ่งความสำเร็จครั้งนั้นนำเขาเข้าไปสู่ความสำเร็จครั้งต่อมา และพาให้เขาเข้ามาอยู่ในแวดวงภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันตอนทำ Thesis ก็กะว่าจะปลุกปั้นให้เจ๋งเท่าที่จะทำได้พอดีได้ อาจารย์ไกรสรเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เก่งมาก คนหนึ่งในสาขาวิชา อาจารย์สามารถต่อยอดทำให้ไอเดียของเราพุ่งขึ้นไปอีก ให้แรงบันดาลใจ สอนไม่ให้ยอมแพ้กับความคิดเริ่มต้น มีไอเดียแรกแล้ว มันต้องดีขึ้นอีกไปเรื่อยๆ เพราะในช่วงที่เป็นนักศึกษา เราจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เหมือนกับอยู่ในกะลา แต่อาจารย์จะมาเป็นคนเปิดกะลาออก สอนวิธีคิดเหมือนกับคนที่ทำงานจริงๆ ให้รู้สึกว่ามันมี ทางไปอีกเยอะ

"ผมอยู่กับบทหนัง Thesis เป็นเดือน ซึ่งตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะส่งเข้าประกวด แต่ทำเพื่อจบ ผมตั้งใจจะเล่าเรื่องให้ดีก่อน แล้วใช้อุปกรณ์ให้น้อยที่สุด เพราะ ม.รังสิต มักจะโดนครหา ประมาณว่า มีเงินทำโปรดักส์ชั่น แต่บทไม่ดีอยู่แล้ว พอโลโก้รังสิตกับไตเติ้ล หนังขึ้น นักศึกษาเกือบทุกมหาวิทยาลัยที่ได้ดูก็จะโห่ เพราะมันจะดูไฮเทค ดูอลังการแบบยูนิเวอร์แซล สตูดิโอมาก ผมคิดว่าถ้าบทดี โปรดักส์ชั่นห่วยหน่อย หนังมันก็ยังดีอยู่ ก็เลยเขียนบทนาน พอช่วงถ่ายทำก็ไม่มีปัญหาอะไร ใช้เวลาสั้นกว่าตอนที่เขียนบท ด้วยซ้ำด้วยวิธีคิดแบบนี้ หนังสั้นเรื่อง "หลวงตา" จึงไม่ใช่ Thesis ก่อนจบธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น เพราะมี "รางวัลช้างเผือก" รางวัลสูงสุดจากสมาคมมูลนิธิหนังไทย การันตีให้เป็นหนังสั้นนักศึกษายอดเยี่ยม ประจำปี 2543 ซึ่งเป็นเหมือนกุญแจเปิดประตูอาชีพให้เขาได้เข้ามาเป็นคนทำหนังอย่างที่ตั้งใจได้ไวขึ้น"รางวัลที่ได้มาเปลี่ยนชีวิตผมใน 2 ด้าน คือ หนึ่ง ผมภูมิใจใน ตัวเองที่สามารถทำได้ รู้สึกว่าเรามาถูกทาง กล้าที่จะทำอะไร ใหม่ๆ ต่อไป มันเหมือนกับเราได้
หนังใหญ่มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครมาทำ เพราะทำโฆษณาได้เงินเยอะกว่า พอเขารู้ว่าผมทำหนังสั้นมาก็อยากจะลอง ให้ผมเลิกทำผู้ช่วย แล้วมาเขียนบท ผมเป็นรุ่นแรกของฟีโนฯ ที่ทำหนัง ผมกับเพื่อนอีกคน เขียนบทหนังขึ้นมาให้เขาเลือกหลายเรื่อง ซึ่งเขาก็เลือกเรื่อง ชัตเตอร์ฯ แล้วก็บอกให้ทำเลย คงเห็นว่าเราทำบทมาแล้ว น่าจะทำหนังได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหนังสั้นที่ผมเคยทำมา ทำให้เขา ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น"ณ วันนี้ ภาคภูมิกำลังเตรียมผลิตภาพยนตร์เรื่องใหม่ ภายใต้ความหวาดหวั่นเล็กๆ บวกกับแรงกดดันอีกนิดหน่อย แต่สิ่ง เหล่านั้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้เขาเดินต่อไปด้วยความ ระวังมากขึ้นกว่าที่เคย"ความสำเร็จบางครั้งมันก็เป็นยาพิษ ทำให้เรากดดันตัวเองเกินไป ผมมีประสบการณ์มาแล้ว พอเรียนจบออกมาผมก็ทำหนังสั้นเข้าประกวดอีกครั้ง ซึ่งรู้สึกกดดันตัวเองมากว่าเราเคยได้รางวัลมา คนต้องจับตาดูแน่เลย แต่สิ่งเหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่เราคิดขึ้นเอง ไม่มีใคร
ฝันถึง และถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีโอกาสได้นั่งเก้าอี้อันทรงเกียรตินี้สักครั้งในชีวิต แม้เส้นทางนี้จะเดินไปไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากจนเดินไปไม่ถึง"ถ้าอยากไปถึงจุดนั้นก็ต้องฝ่าฟัน เพราะทางมันไม่ได้ง่าย ผมไม่อยากให้คิดว่าการเป็นผู้กำกับหนังมันเป็นได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้เส้นทางมันง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนในการที่คนๆ หนึ่งจะได้ทำหนังถ้าเริ่มจากเขียนบทก็ลงมือทำเลย อย่าผลัดวัน จะทำหนังสั้นก็ทำเลย ให้คนเขาเห็นว่าเราทำเป็นแค่ไหน พอเขาเห็นแล้วโดนขึ้นมา มันก็มีสิทธิ์ที่เราจะได้ทำ ซึ่งมันพิสูจน์มาแล้วว่าเด็กจบใหม่อย่างมะเดี่ยวที่ทำ "คน ผี ปีศาจ" เคยผ่านแค่การทำหนังสั้นมาก็มาทำ หนังใหญ่ได้คนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ได้ทำหนังกันเร็ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้กติกามันเปลี่ยนใหม่แล้ว ส่วนผู้หญิงที่คิดว่าวงการนี้โตยาก ก็อยากให้คิดใหม่ เพราะผู้กำกับหนังไทยที่เป็นผู้หญิงก็มี เป็น ตากล้องหนังโฆษณาก็มี อย่างตากล้องที่ถ่ายเรื่องหลวงตาให้ผม ก็เข้ามาแบบไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แต่เห็นว่าน่าสนใจ เลยเข้ามาทำ พอทำแล้วตั้งใจจริง ทำแล้วต้อง The Best ทุกวันนี้ เป็นตากล้องโฆษณารับรายได้เดือนละประมาณ 3 แสน มันไม่ยากเกินไปสำหรับผู้หญิง แต่ต้องอดทน ถ้าเอาจริงก็ไปถึงทั้งนั้น"
"พอโลโก้รังสิตกับไตเติ้ลหนังขึ้น นักศึกษาเกือบทุกมหาวิทยาลัยที่ได้ดูก็จะโห่ เพราะมันจะดูไฮเทค ดูอลังการแบบยูนิเวอร์แซลสตูดิโอมาก"
จากพี่โอ๋ ถึงน้องๆ"อย่างหนึ่งเลยคือ อย่าหลอกตัวเอง คนเราถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วอย่าไปดูถูกตัวเองว่ามันเป็นอาชีพไม่ได้ ครั้งหนึ่งผมก็เคยรู้สึกว่าหนังมันเป็นอาชีพฝันๆ ทำมาหากินไม่ได้ เคยคิดที่จะไปเรียน ตกแต่งภายใน ก็ลองถามตัวเองแล้วกันว่าชอบอะไร
รับการยอมรับอะไรบางอย่าง มันก็ดีในแง่ความรู้สึกของตัวเอง กับสองเวลาคนอื่นมอง มันง่าย มันเร็ว คนสนใจเรา เวลาไปสมัครงาน เรื่องรางวัลช่วยมาก เมื่อคนดูจากพอร์ท ก็รู้ว่าเราได้รางวัลนะ มันก็เป็นไฮไลท์เด้งมา จากคนอื่นแล้ว"เริ่มต้นจริงจังกับหนังเรื่องแรก"รางวัล" นอกจากจะทำให้นายโอ๋มีกำลังใจในการผลิตชิ้นงาน ต่อไปแล้ว ยังเป็นเหมือนใบเบิกทางให้เขาได้เข้าทำงานที่บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา และที่นี่ภาคภูมิก็มีโอกาสได้แสดงฝีมือการเขียนบทและกำกับหนังอีกครั้ง"ผมไปอยู่ถูกบริษัท เพราะที่นี่เคยคิดอยากทำ
สนใจเราหรอกว่าเราจะทำอะไรพอมาทำหนังใหญ่แรงกดดันก็ตามมาอีก เพราะเรื่องแรกมันออกมาดี เรื่องที่ 2 จะห่วยหรือเปล่า แต่ผมไม่กลัวนะ แค่กังวลว่าต้องทำหนังให้ดีขึ้น ซึ่งผมก็ยังทำตามขั้นตอนเดิม คือ คิดบทนานเป็นปีเลือกมือหนึ่งของเมืองไทยมาทำโปรดักส์ชั่น และผมก็มีที่ปรึกษาดีมีแอบไปคุยกับอาจารย์ที่เคยสอนมาเหมือนกัน อย่างชัตเตอร์ฯ ผมก็เอาบทไปให้อาจารย์ไกรสรอ่าน เขาติและแก้ให้ พอผมเอาไปขายทีม ซึ่งทีมก็ซื้อไอเดียนั้น ผมว่านะถ้าเป็นหนังเรื่องสตาร์วอร์อาจารย์ก็เป็นเหมือนโยดา" เส้นทางสู่ผู้กำกับ"ผู้กำกับ" เป็นตำแหน่งสูงสุดที่คนทำหนังทุกคน
ถ้าชอบมาทางนี้แล้วก็มุ่งไปเลย ใฝ่ให้เต็มที่ ดูหนังเยอะๆ ถ้าคิดว่าจะทำก็ ลงมือทำ ผมเองก็เสียดายเวลาเหมือนกันถ้าเราเขียนบทหนังซะตั้งแต่แรกก็คงทุ่นเวลาไปเยอะ มีไอเดียอะไรก็ทำเลย อย่ากลัว อย่าคิดมาก อย่าคิดว่าเดี๋ยวไม่ดี เดี๋ยวห่วย เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่มีทางรู้ว่ามันออกมาเป็นอย่างไร หนังคือการลงมือปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่อ่านในตำราว่ามีขั้นตอน 1 2 3 และจะทำหนังได้ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะทำอย่าเพียงแค่จะ แต่ต้องลงมือทำเลย ส่วนผู้ปกครองที่มักจะคาดหวังในตัวลูก อยากให้เป็นหมอ เป็นวิศวะฯ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้ารู้สึกว่าลูกรักไปทางนี้จริงๆ ไม่ได้ทำตามกระแส หรือแฟชั่น ก็อย่าไปขัด ถ้ารักกันจริงๆ ก็ให้ขาได้ลองเรียน ลองทำในสิ่งที่เขาชอบก่อน"ภาคภูมิ วงษ์ภูมิ พูดทิ้งท้ายแม้เขาจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่า "จงทำในสิ่งที่รัก เพราะมันมักจะ ทำได้ดี" แต่เราก็เข้าใจ เพราะเขาได้พิสูจน์แล้วด้วยตัวของเขาเอง