Tuesday, 22 January 2008

ทำไมผมจึงอพยพจากสหรัฐอเมริกา

อ่านแล้วรู้สึกรักประเทศไทยมากขึ้นจริงๆ


ทำไมผมจึงอพยพจากสหรัฐอเมริกา (1)

โดย ชูเกียรติ ชูโต 29 สิงหาคม 2550 19:31 น.


.
ข้อเขียนนี้สรุปจากหนังสือชื่อ "Why I
Left America" เขียนโดยคุณจอห์น อาร์โนน
ชาวอเมริกันผิวขาวซึ่งย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ 9 ปีแล้ว คุณจอห์น
มีภรรยาชาวไทยและมีลูก 3 คน เมื่อยังอยู่ในสหรัฐฯ
เขาเคยทำงานกับหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ 2 บริษัท และเคยทำธุรกิจส่วนตัวด้วย

สหรัฐอเมริกา

1.
ตำนานเรื่องความฉลาดเฉลียวของคนอเมริกัน : คนอเมริกันส่วนใหญ่คือชาวยุโรป
แต่เมื่อพวกเขากลายเป็นคนอเมริกันพวกเขาชอบคุยโม้ว่าพวกเขาช่างเป็นกลุ่มคนที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
โดยมักใช้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเป็นข้ออ้าง
และยังอวดอ้างชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย ทั้งๆ
ที่ความสำเร็จทั้งปวงของสหรัฐฯ เกิดจากผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่กว้างใหญ่
และมีทรัพยากรที่เหลือเฟือ นอกจากนั้นสหรัฐฯ
ยังได้สมองที่ปราชญ์เปรื่องของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่นำไปจากยุโรปยุคหลังสงครามโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จเป็นบ่อเกิดของความยะโสโอหัง ในระยะ 50 ปีที่ผ่านมา
พวกเขาทำตัวราวกับว่าความรุ่งเรืองทั้งหลายเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
ผมไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนที่ไม่มีเหตุผลและไม่ตระหนักในความเป็นจริงได้

2.
ชาวอเมริกันคือพวกที่กล้าประกาศว่าผู้คนในประเทศอื่นนั้น
ถ้าไม่ล้าหลังก็ป่าเถื่อน : คนอเมริกันส่วนใหญ่ถูก "ครอบงำ"
ให้เชื่อว่าพวกเขาคือกลุ่มชนเดียวที่มี "อารยธรรม" และ "เสรีภาพ" อย่างไรก็ตาม
เมื่อผู้คนที่ป่าเถื่อนและล้าหลังอพยพไปอยู่สหรัฐฯ
พวกเขาต่างถูกคาดหวังว่าพวกเขาจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ ประเพณี คุณค่า
ความชอบและความไม่ชอบในทันทีที่เหยียบแผ่นดินสหรัฐฯ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ สหรัฐฯ
ไม่ใช่ "หม้อหลอม" (melting pot) หรือสวรรค์ของชนกลุ่มน้อยอย่างแน่นอน
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องลดมาตรฐานการศึกษาลงเพื่อรองรับลูกหลานของผู้อพยพต่างเชื้อชาติและผิวพรรณ
ในที่สุด "เด็กเก่ง" ก็เกิดความเบื่อหน่ายและต้องเสียสละให้กับ
"ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
และเมื่อเด็กจากครอบครัวชั้นกลางถูกจัดให้อยู่ในชั้นเดียวกับเด็กจากสลัม
เด็กกลุ่มแรกย่อมถูกข่มขู่คุกคามและต้องอยู่กับความกลัวในทุกวันที่ผ่านไป
และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเมื่อตอนเด็ก สำหรับ "คนดำ"
ที่รักดี มีการศึกษาและมุ่งหาความสำเร็จ
พวกเขาจะถูกกดดันโดยทั้งคนผิวขาวที่ไม่ชอบคนดำและคนดำที่ "ไม่มุ่งดี" สหรัฐฯ
กำลังตกต่ำทั้งในด้านการกำหนดเป้าหมาย คุณค่าและการจัดลำดับความสำคัญ
เนื่องจากคุณภาพของคนกลุ่มน้อยภายในประเทศและที่อพยพมาใหม่เรื่อยๆ

หมายเหตุ :ในปัจจุบัน สหรัฐฯ
มีผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายถึง 11 ล้านคน

3. เงินเป็นใหญ่ :
คนอเมริกันทุกคนตะเกียกตะกายอย่างหนักเพื่อ "เงิน"
ผมมีปัญหากับพวกเขาเพราะพวกเขาไม่รู้จักคำว่า "พอ"
และพวกเขาพยายามใช้บ้านของเขาเป็นที่แสดงฐานะรวมทั้งการให้ลูกๆ
ของพวกเขาอยู่ในแฟชั่นที่ล่าสุด

สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปมากในระหว่าง 50
ปีที่ผ่านมา
สิ่งที่แพร่ระบาดไปทั่วคือการที่ทุกคนต้องการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายในเวลาเพียง
2-3 ปีหลังจากเรียนจบ
และนั่นเป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับประเทศของผมเพราะไม่มีคำว่า "เกียรติยศ"
อีกต่อไป บริษัทจำนวนมากต่างมุ่งกำไรระยะสั้นให้มากที่สุดและเลิก
แล้วไปเปิดใหม่เพื่อหลอกลูกค้า "โง่" ใหม่ ระบบของสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้เกิด
"ความไม่ซื่อสัตย์" กำลังมุ่งไปสู่ความพินาศ
ไม่ว่าจะเกิดจากการพังทลายทางเศรษฐกิจ สงครามทางเชื้อชาติหรือปัญหายาเสพติด
มันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ใน 10-20 ปีข้างหน้เ
และผมเลือกที่จะไม่อยู่รอดูความพินาศที่จะเกิดขึ้นหรือรอเป็นเหยื่อในเหตุการณ์นั้น

4. บริโภคนิยม :
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้หญิงอเมริกันเริ่มออกทำงานนอกบ้านและยังเป็นเช่นนั้นในปัจจุบัน
ระบบบัตรเครดิตทำให้พวกเธอใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ถึง 2 เท่า หนี้สินพอกพูนขึ้น
การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวกลายเป็นสิ่งปกติและตามมาด้วยการหย่าร้าง
การโฆษณาสินค้าทุกหนทุกแห่งโดยเฉพาะทางโทรทัศน์พุ่งเป้าไปยังผู้ที่การวิจัยระบุว่าเป็นผู้ที่
"ใจอ่อนที่สุด" คือผู้หญิงและเด็ก แม่คือผู้ที่ไม่สามารถปฏิเสธลูกได้
และเด็กคือเป้าหมายที่กระตุ้นได้ง่ายที่สุด
แม้ผู้หญิงเองก็เป็นนักจับจ่ายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เมื่อภรรยาหรือลูกต้องการซื้อของ สิ่งที่บิดาทำได้คือ
การหนีไปหมกตัวดูรายการกีฬาอยู่หน้าโทรทัศน์
ลัทธิบริโภคนิยมเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ ทั้งๆ ที่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นจริง
คนอเมริกันโดยทั่วไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้เพราะเขาเกิดมาในแผ่นดินที่มีทรัพยากรมากมาย
ผมกล้าพนันว่าถ้าเขาไปเกิดในอัฟกานิสถาน พวกเขาจะไม่มีแม้แต่รถจักรยานยนต์

หมายเหตุ : สหรัฐฯ มีประชากรเพียง 4.7%
ของโลกแต่บริโภคทรัพยากรถึงร้อยละ 40 ของโลก (ในประเทศไม่พอก็ไปเอาจากที่อื่น)
บริโภคพลังงานร้อยละ 30 เด็กอเมริกันบริโภค "ของเล่น" ร้อยละ 45
ของการผลิตทั้งหมดในโลก และในแต่ละปีเด็กอเมริกันแต่ละคนได้ "ของเล่น"
เพิ่มเฉลี่ยคนละ 70 ชิ้น

สหรัฐฯ
ใช้เงินโฆษณาสินค้ามากที่สุดในโลก โดยใช้เงินถึงปีละ 214,000
ล้านดอลลาร์หรือร้อยละ 50 ของการโฆษณาทั้งโลก และจากจำนวนเงินดังกล่าว 12,000
ล้านดอลลาร์เป็นการโฆษณาที่พุ่งเป้าไปยังเด็ก ด้วยเหตุนี้
เมื่อเด็กอเมริกันมีอายุ 12 ปี เขาก็เห็นโฆษณามาแล้ว 200,000 ครั้ง
และกลายเป็นนักบริโภคเต็มตัวเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่

5. วัฒนธรรมโกหก :
คนส่วนใหญ่ไม่พูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด
และไม่พูดในสิ่งที่เป็นความจริงแต่จะพูดในสิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่นิยม
และนั่นทำให้คนจำนวนมากอึดอัดและถูกกดดันจนต้องหันไปหายาเสพติด
เข้ารับการบำบัดทางจิตหรือฆ่าตัวตาย ผู้หญิง
คนกลุ่มน้อยและพวกรักร่วมเพศต่างสนับสนุนผู้ที่พูดในสิ่งพวกเขาต้องการจะฟัง
อดีตประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน เป็นตัวอย่างที่ดีของ "ยอดนักโกหก"
เขาหนีทหารสูบกัญชา ล่าผู้หญิงแล้วก็โกหกหน้าตายจนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

หมายเหตุ :
อดีตประธานาธิบดีอเมริกันอย่างน้อย 6 คนถูกจับได้ว่าโกหกประชาชน
รวมทั้งนายริชาร์ด นิกสัน แต่นายจอร์จ บุช (ลูก) น่าจะได้ตำแหน่ง "จอมโกหก"
เพราะเขาหลอกลวงชาวอเมริกันและชาวโลกว่าอิรักมีอาวุธทำลายร้ายแรงเพื่อใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการ
"ปล้น" น้ำมันของอิรัก และทำให้ชาวอิรักเสียชีวิตนับแสนคน

6. คนอเมริกันไม่ชอบซึ่งกันและกัน :
การที่เป็นเช่นนั้นถ้าไม่ใช่ความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติซึ่งมีหลากหลายก็เป็นเพราะความแตกต่างด้านชนชั้น
และถ้าไม่ใช่ทั้งสองเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องของความอิจฉาริษยา
(เพราะลัทธิปัจเจกนิยมซึ่งส่งเสริมการเป็น "ตัวกู ของกู"??)

7. รัฐบาลอเมริกัน : รัฐบาลสหรัฐฯ
เป็นรัฐบาลที่ต้องการออกกฎหมายครอบคลุมทุกจังหวะชีวิตของชาวอเมริกัน
พวกเขาต้องการปกป้องประชาชนมากจนกลายเป็นการ "ปล้นเสรีภาพ" ไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งวันคนอเมริกันต้องคอยหลีกเลี่ยงการจะทำผิดกฎหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและต้องจ่ายค่าปรับ
เป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลคือเงินและรายได้
ตัวอย่างภาษีที่คนอเมริกันต้องเสียมีดังนี้ :

*ภาษีรายได้ให้มลรัฐและรัฐบาลกลาง

* ภาษีทรัพย์สิน

* ภาษีมรดก

* ภาษีการค้า

* ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย

* ภาษีรถยนต์ เรือ เครื่องบิน
จักรยานยนต์ สัตว์เลี้ยงและธุรกิจอื่นๆ

* ภาษีเทศบาล ภาษีสินค้าคงคลัง
ภาษีเงินเดือน ภาษีรายได้ของบริษัท เงินสมทบโครงการเกษียณอายุ ฯลฯ

นอกจากนี้
เมื่อคนอเมริกันต้องการบริการจากหน่วยราชการก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย
ทุกอย่างต้องใช้เงินไม่ว่าจะเป็นรถพยาบาลฉุกเฉิน การตรวจสอบอาคาร ค่าปรับ ฯลฯ

8. ระบบราชการ :
หน่วยราชการทั่วโลกมีสิ่งที่เหมือนๆ
กันคือมีกำลังคนมากเกินไปและมีประสิทธิภาพต่ำ ไม่ว่าเราจะมีปัญหาใดๆ
เขามักไม่สามารถช่วยได้และเรื่องมักเงียบหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
เป้าหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐมักมีอย่างเดียวกันคือ "การเลื่อนตำแหน่ง"
ไม่ใช่การให้บริการ เจ้าหน้าที่รัฐเป็นกลุ่มคนที่มีการสื่อสารทางเดียว
พวกเขาชอบใช้อินเทอร์เน็ต แฟกซ์
และคอมพิวเตอร์เพราะพวกเขาสามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาไม่ได้รับการขอบริการหรือการร้องทุกข์
พวกเขาต่างแย่งชิงห้องทำงานและกระถางไม้ประดับเพื่อแสดงฐานะและความสำคัญของตนเอง

9. ธุรกิจและบริษัท :
ครั้งหนึ่งในสหรัฐฯ เด็กๆ เคยถูกสอนให้เป็นคนยุติธรรมในการแข่งขันกีฬา
การทำธุรกิจและในการดำรงชีวิต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปในระยะ 50 ปีที่แล้ว
ในปัจจุบันศาลเต็มไปด้วยคดีความและการฟ้องร้อง ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
คนอเมริกันงุนงงกับระบบญี่ปุ่นซึ่งทำงานได้ดีกว่าระบบอเมริกัน
คำอธิบายก็คือระบบญี่ปุ่นเป็นระบบที่ "ไร้เมตตา" เกือบจะเท่าของสหรัฐฯ
แต่การดำเนินการของระบบญี่ปุ่นนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความ
"ซื่อสัตย์และการให้เกียรติ"
ผู้บริหารมีเกียรติยศในการปกป้องพนักงานและพนักงานก็มีเกียรติยศในการทำงานให้ดีที่สุด
ในสหรัฐฯ ผู้บริหารและพนักงานต่างก็ไม่สนใจซึ่งกันและกัน
ไม่มีการปกป้องและความจงรักภักดี ไม่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ความสัมพันธ์ที่มีคือการเอาเปรียบ การข่มขืนซึ่งกันและกันรวมทั้งการติดสินบน
ผู้ที่เอาเปรียบได้คือผู้ชนะ สำหรับผู้บริหารที่ละโมบ การเล่นการเมือง
การข่มขืนพนักงานและผู้ถือหุ้นต่างเป็นสิ่งปกติ

หมายเหตุ :
กลุ่มธุรกิจได้เข้าควบคุมนักการเมืองรวมทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ตั้งแต่หลังสงครามกลางเมือง กลุ่มธุรกิจให้เงินนักการเมืองใช้ในการหาเสียง
เมื่อได้ตำแหน่งแล้วนักการเมืองก็ออกกฎหมายให้ประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจและให้เงินอุดหนุนทั้งบริษัทการเกษตรและอื่นๆ
เป็นเงินปีละแสนๆ ล้านดอลลาร์

10. ศาลและความยุติธรรม : สหรัฐฯ
เป็นประเทศที่มีการฟ้องร้องมากที่สุดในประวัติศาสตร์
เพราะการฟ้องร้องค่าเสียหายเป็นชีวิตจิตใจของชาวอเมริกัน สหรัฐฯ
มีผู้ประกอบอาชีพทนายมากกว่าหลายๆ ประเทศรวมกัน และนั่นเป็นสิ่งจำเป็นเพราะ
หนึ่ง : สหรัฐฯ มีคนที่ไม่ซื่อสัตย์มากที่สุด สอง : สหรัฐฯ
มีแต่คนขี้เกียจและหาเงินจากการฟ้องร้อง ตัวอย่างเช่น
หญิงคนหนึ่งป่วยหลังจากการเสริมเต้านมด้วยวัตถุแปลกแยกทั้งที่หมอเตือนเธอแล้วแต่เธอไม่ยอมเชื่อ
เธอฟ้องหมอซึ่งหมอก็ไม่สนใจ เพราะบริษัทประกันเป็นผู้จ่ายเงิน
เมื่อบริษัทประกันจ่ายเงินแล้วก็ขึ้นค่าเบี้ยประกัน
สิ่งที่หมอคนดังกล่าวทำคือขึ้นราคาสำหรับคนไข้รายต่อๆ ไป
ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็มีความสุขแม้ต้องเจ็บตัว
เพราะได้เงินก้อนใหญ่กว่าที่เธอจะหาได้จากการทำงานทั้งชีวิต
แถมเธอยังคิดว่าเธอฉลาดกว่าคนอื่นด้วย
กรณีข้างต้นช่วยอธิบายว่าทำไมเบี้ยประกันในสหรัฐฯ จึงสูงมาก

ในปัจจุบัน
คนอเมริกันกำลังฟ้องบริษัทผลิตบุหรี่ (ทำให้เป็นมะเร็ง)
เป้าหมายต่อไปอาจจะเป็นบริษัทผลิตปืน (ทำให้ตาย) บริษัทผลิตน้ำตาล
(ทำให้เป็นโรคเบาหวาน) บริษัทจานด่วน (ทำให้อ้วน) หรือแม้แต่ฟ้องพ่อแม่
เพราะให้กำเนิดพวกเขาที่หน้าตาไม่สวยไม่หล่อ??

หมายเหตุ : ในปัจจุบัน สหรัฐฯ
มีโรงเรียนกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากมลรัฐถึง 200 โรงเรียน
และมีนักกฎหมายมากถึง 735,000 คน อย่างไรก็ตาม
คุณภาพของนักกฎหมายจำนวนมากไม่ดีพอและถูกร้องเรียนบ่อยๆ

พลเมืองของสหรัฐฯ ประกอบด้วยคนกว่า 60
สัญชาติ จึงไม่มีพื้นภูมิของชีวิตขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกัน
จอห์น นายส์บิต นักเขียนชื่อดังของสหรัฐฯ กล่าวว่า "สังคมสหรัฐฯ ไม่ใช่หม้อหลอม
(melting pot) แต่เป็นชามสลัด (salad bowl) ซึ่งทุกอย่างอยู่รวมกันโดยมี
"น้ำสลัด" หรือ "กฎหมาย" (rule of law) เป็นตัวผสม ในเรื่องนี้
ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวว่า
"รวมกันโดยกฎหมายก็รวมกันไม่จริงเพราะไม่ได้รวมที่ใจ"...คนไทยจำนวนมากชื่นชมระบบ
rule of law ของสหรัฐฯ ทั้งๆ
ที่ประเทศไทยมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมซึ่งรวมใจคนได้ดีกว่า???"


ข้อเขียนนี้สรุปจากหนังสือชื่อ "Why I Left
America" เขียนโดยคุณจอห์น อาร์โนน
ชาวอเมริกันผิวขาวซึ่งย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ 9 ปีแล้ว คุณจอห์น
มีภรรยาชาวไทยและมีลูก 3 คน เมื่อยังอยู่ในสหรัฐฯ
เขาเคยทำงานกับหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ 2 บริษัท และเคยทำธุรกิจส่วนตัวด้วย
นำเสนอเป็นตอนจบ

......................

11. อาชญากรรมและความรุนแรง :
คนอเมริกันมีเหตุผลน้อยที่สุดที่จะก่ออาชญากรรม (รายได้สูง) แต่สหรัฐฯ
กลับมีสถิติอาชญากรรมสูงที่สุดในโลก

หมายเหตุ :

* ระหว่างปี 2503-2538
อาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 560%

* เฉพาะระหว่างปี 2544-2548
บริษัทข้ามชาติสัญชาติสหรัฐฯ ที่ติดอันดับ 1-30
ของโลกได้ถูกฟ้องและต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือเสียค่าปรับเป็นเงิน 10-1,000
ล้านดอลลาร์มีจำนวนเป็นสิบๆ บริษัท ด้วยข้อหาจงใจสร้างรายได้หรือรายจ่ายเท็จ
ให้ข้อมูลเท็จแก่ผู้ถือหุ้นและลูกค้า เลี่ยงภาษี ตกแต่งบัญชี ทำลายหลักฐาน ฯลฯ
การฉ้อฉลกลโกงดังกล่าวก่อความเสียหายให้ผู้ถือหุ้น
สาธารณชนและพนักงานเป็นเงินจำนวนล้านล้านดอลลาร์
และผู้บริหารจอมโกงของบริษัทเหล่านั้นต่างจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น
ฮาร์วาร์ด และเคลล็อก นอกจากนี้ระหว่างปี 2543-2549 บริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ
ซึ่งคนไทยรู้จักดียังถูกจัดอันดับให้เป็น "บริษัทเลว"
โดยองค์กรเอกชนที่คอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมของบริษัท (Corporate Watch) อีก 70
บริษัท ข้อหาคือทำลายสิ่งแวดล้อม โป้ปดมดเท็จ หลอกลวงลูกค้า
เอาเปรียบและทำร้ายพนักงาน ค้าทาส ผลิตยาไม่มีคุณภาพ
ไม่มีมาตรการเพื่อความปลอดภัยให้พนักงานและชุมชน คอร์รัปชัน
ตั้งราคาสูงเกินจริง ฯลฯ อาชญากรรมของบริษัทข้างต้นเกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ
และนอกประเทศ

12. ยาเสพติด :
แม้คนที่ไม่ฉลาดก็รู้ดีว่ายาเสพติดจะทำให้สูญเสียงาน เสียครอบครัว
กลายเป็นโจรและอาจติดคุก แต่ปัญหานี้ก็ระบาดไปทุกระดับของสังคม
ไม่มีครอบครัวใดหนีปัญหานี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของแพทย์ วิศวกร
นักกฎหมายหรืออื่นๆ แทบทุกอพาร์ตเมนต์ในเมืองใหญ่มีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ในขณะที่สมาคมแพทย์ระบุข้อเสียของบุหรี่และรัฐบาลก็รณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่
ยาเสพติดกลับระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง

หมายเหตุ :
งบประมาณต่อต้านยาเสพติดของสหรัฐฯ สูงขึ้นจาก 65 ล้านดอลลาร์ในปี 2512
(ยุคริชาร์ด นิกสัน) เป็น 17,700 ล้านดอลลาร์ในยุคของนายบิลล์ คลินตัน
การตายจากยาเสพติดสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคายาถูกลงแต่ความบริสุทธิ์สูงขึ้น ร้อยละ 75
ของผู้เสพยาเป็นคนผิวขาว และร้อยละ 11 เป็นคนผิวดำ ปัญหาในเรื่องนี้ทำให้สหรัฐฯ
ต้องเก็บข้อมูลอาชญากรรมเพิ่มขึ้นกว่า 50 ล้านคน

13. โครงการสุขภาพ :
การเจ็บป่วยในสหรัฐฯ โดยไม่มีการประกันสุขภาพสามารถนำไปสู่การล้มละลาย
แพทย์ในสหรัฐฯ ต่างต้องการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายใน 2 ปีหลังจากเรียนจบ
และยาในสหรัฐฯ มีราคาสูงที่สุดในโลก เมื่อผมยังเป็นเด็กหมอยังมี "หัวใจ"
แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ข้อสำคัญก็คือเดี๋ยวนี้หมอทุกคนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ไม่มีหมอรักษาโรคทั่วไปอีกแล้ว และนั่นทำให้ค่ารักษาแพงขึ้นไปอีก

รัฐบาลไทยชุดที่แล้ว (ชุดทักษิณ)
ดูเหมือนจะนิยมว่าวิถีตะวันตกนั้นเยี่ยมยอดได้นำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาใช้
โครงการนี้มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าโครงการเพื่อให้ได้รับเลือกตั้ง
ผลก็คือรัฐบาลให้เงินแก่โรงพยาบาลต่างๆ ไม่เพียงพอ
ซึ่งทำให้หมอเครียดและหลบหลีกคนไข้...บางส่วนถึงกับลาออกและไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งรักษาคนมีเงิน
และหมอที่จะรักษาคนยากจนมีน้อยลงไปกว่าเดิม

14. สังคมคนอ้วน : สหรัฐฯ
เป็นสังคมที่มีคนน้ำหนักเกินมากที่สุดในโลกกว่าร้อยละ 60
เพราะคนส่วนใหญ่บริโภคอาหาร "จานด่วน"
ทุกคนดูเหมือนจะสั่งแฮมเบอร์เกอร์ขนาดใหญ่ซึ่งชุ่มฉ่ำไปด้วยเนย
มันฝรั่งทอดและน้ำดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชนอเมริกันกำลังมุ่งไปสู่ความวิกฤต
พ่อและแม่ต่างก็วิ่งหาความร่ำรวยและวัตถุ ขณะเดียวกันก็ปล่อยเขาให้อยู่กับ
"อาหารขยะ" คนอเมริกันต่างมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
บางทีอาจจะเพราะเขาไม่ต้องการจะเห็นและรับรู้ว่าไขมันทำลายหัวใจได้เหมือนๆ
กับบุหรี่

หมายเหตุ : ตั้งแต่ปี 1970 (2513)
คนอเมริกันบริโภคแคลอรีเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 1980 (2523)
อัตราคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 ในผู้ใหญ่ 2 เท่าในเด็กและ 3
เท่าในวัยหนุ่มสาว...โรคนี้กำลังระบาดไปทั่วโลกโดยการครอบงำของอาหาร "จานด่วน"

15. หญิงอเมริกัน :
หญิงสาวชาวอเมริกันเข้าสู่วงการหนังลามกกันมากขึ้น เพราะพวกเธอต่างก็ "ติดกับ"
วิถีชีวิตที่สังคมตั้งความหวังไว้สูงเกินไป
เธอเลือกเข้าสู่วงการเพราะมันจะทำให้เธอได้ทั้ง "เงิน" และ "ความสนอกสนใจ"
หญิงอเมริกันต่างก็ทิ้งสิ่งต่างๆ ที่ "ธรรมชาติ" ได้ให้กับเธอ เช่น ความอ่อนโยน
ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตาปรานี ความอบอุ่น
ความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กและพวกเธอขาด "หัวใจ" และนั่นทำให้พวกเธอ
"ไม่น่าสนใจ" อีกต่อไป ในปัจจุบัน พวกเธอต่างต้องการทิ้งงานบ้าน
ต้องการเก่งกล้าสามารถทั้งในสังคมและการงาน ผู้ชายต้องการ "คู่ครอง"
แต่พวกเธอทำตัวเหมือนผู้ชาย
พวกเธอเลยหาคู่ครองไม่ได้เพราะผู้ชายจำนวนมากหันไปหาหญิงวัยรุ่นซึ่งยังคงมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง
และนั่นทำให้พวกเธอหันไปหาผู้ชายผิวดำซึ่งก็ปฏิเสธต่อพวกเธออย่างไม่เหมาะสม

16. ความบันเทิง : ในปัจจุบันภาพยนตร์
7 ใน 10 ไม่คุ้มค่าตั๋ว
ผู้แสดงไม่มีบุคลิกที่โดดเด่นและเนื้อเรื่องก็มีแต่เรื่องสยองขวัญ
เต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำลายล้าง โดยมีเพลงเร่งเร้า
สิ่งเหล่านี้ปรากฏในกีฬา โทรทัศน์ ดนตรี และการเต้นรำด้วย
คนอเมริกันได้รับการศึกษาดีขึ้นแต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลง เด็กๆ
ถูกโหมกระหน่ำด้วยโฆษณาให้แข่งขันกันบริโภค
แม่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟังและสอนลูกในสิ่งที่ดีงามอีกต่อไป
ส่วนกีฬาก็กลายเป็นการค้า นักกีฬาได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป
และทุกทีมกลายเป็นพันธุ์ผสมซึ่งทำให้หมดความน่าสนใจ ทุกอย่างมุ่งไปที่ "เงิน"
การซื้อขายและชัยชนะเท่านั้น

เพลงในปัจจุบันไม่ต้องใช้ศิลปะและความสามารถส่วนตัว
มีแต่การเร่งเร้ารุนแรง กรีดร้อง ระเบิดและไฟลุกท่วมและแข่งกันเปิดเผยร่างกาย
พวกเขาได้ทำลายคุณค่าของดนตรีไปจนหมด

17. คริสตศาสนา :
พระเยซูคริสต์และพระพุทธเจ้าต่างก็ไม่ได้สอนให้มุ่งหาความสุขทางวัตถุ
แต่ชาวอเมริกันที่นับถือคริสตศาสนาต่างก็เพิกเฉยกับเรื่องที่พระเยซูทำลาย
"ซุ้มแลกเงิน" ในโบสถ์ หรือทรงให้โอกาสคนรวยที่จะขึ้นสวรรค์ด้วยการทำความดี
พวกเขาเพิกเฉยเพราะคำสอนดังกล่าวไม่ตรงกับความต้องการ (กิเลส) ของเขา
คนอเมริกันตะเกียกตะกายอย่างหนักเพื่อเงินและพวกเขาไม่รู้จักคำว่า "พอ"
และพวกเขาตีความว่าทรัพยากรทั้งหลายในโลกเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์เพื่อสร้างความมั่งคั่ง
สำหรับเรื่อง "โลกร้อน" ชาวอเมริกันเคร่งคัมภีร์หรือขวาจัดต่างกล่าวว่า
"พระเจ้าจะทรงจัดการเอง"

18. คนกลุ่มน้อย :

* ชาวยิวคงประณามประเทศเยอรมนีทั้งๆ
ที่สงครามโลกจบไปนานแล้ว
และชาวเยอรมันในปัจจุบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการกระทำของปู่หรือย่าของเขาแม้แต่นิดเดียว

*
ผู้นำคนดำและผู้สร้างภาพยนตร์ต่างยังคงย้ำคิดย้ำพูดเรื่องทาสผิวดำ
และการแบ่งแยกทางสีผิว ทั้งๆ
ที่การทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่กลับทำให้แย่ลง

*
ผมรู้สึกขยะแขยงที่เห็นชายจูบชายในที่สาธารณะ

* ผมเบื่อกับการเดินขบวนแสดงพลังทุกๆ
ปีของกลุ่มชายแท้ กลุ่มรักร่วมเพศ กลุ่มหญิงแท้ กลุ่มคนที่หย่าร้าง กลุ่มคนชรา
ฯลฯ

19. การขับรถ :
คนอเมริกันเป็นคนขับรถที่แย่ที่สุดในโลก
พวกเขาทั้งหยาบคายและเพิกเฉยต่อสิ่งรอบตัว พวกเขาถูกสอนในห้องเรียนตั้งแต่เด็ก
ถูกสอนตอนแข่งกีฬาและถูกสอนในโลกธุรกิจในเรื่องแข่งขัน เอาชนะ ต้องได้เปรียบ
ต้องเป็นที่หนึ่ง ทำลายคู่แข่ง ฯลฯ และนั่นคือสิ่งที่เขาทำในท้องถนน

อย่างไรก็ตาม
หลังจากอยู่ในประเทศไทยมา 9 ปี ผมต้องขอโทษชาวอเมริกัน
และยกย่องว่าพวกเขาคือผู้ขับรถยนต์ที่ดีและเป็นมืออาชีพ
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ขับรถยนต์ชาวไทย
ความดีงามทั้งหมดของคนไทยที่ผมพูดถึงจะแตกกระจายหายไปหมดเมื่อพวกเขาอยู่หลังพวงมาลัย

ประเทศไทย

ผมไม่เคยพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ
แต่ผมเห็นว่าประเทศไทยให้เสรีภาพในการดำเนินชีวิตเพราะไม่มีกฎหมายที่จำกัดสิทธิต่างๆ
มากมายเหมือนสหรัฐฯ มีคุณค่าต่างๆ ที่ดีมากมาย
มีอากาศดีและคนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือผมชื่นชมกับการที่ได้เห็นคนไทยปฏิบัติต่อกันอย่างมีอารยธรรม
และเหตุผลนี้เหตุผลเดียวก็เพียงพอที่ผมจะอพยพจากสหรัฐฯ มาอยู่ประเทศไทยแล้ว

คนไทยชอบกันและกัน
แม้พวกเขายากจนแต่เขาก็ช่วยคนอื่น
พวกเขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขาไม่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จริงๆ
แล้วมันไม่จำเป็นที่ต้องรวยกว่าคนอื่น
ผมเชื่อว่าความเชื่อทางศาสนาและนิสัยชอบสนุกช่วยทำให้คนไทยเป็นคนดี
พวกเขานับถือศาสนาพุทธซึ่งไม่มุ่งทางวัตถุ
แม้บางพวกจะนิยมหาความสุขแต่ส่วนใหญ่พยายามปฏิบัติตนตามคำสอนของศาสนาที่พวกเขาศรัทธา
ชาวพุทธเข้าใจในเรื่อง "การให้" และช่วยเหลือผู้อื่นดีกว่าคนในศาสนาอื่น
พวกเขามีความสุขกว่าคนอเมริกัน

สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับคนไทยคือพวกเขารักเด็ก
และเคารพผู้สูงอายุแม้จะไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา
และพวกเขาก็ให้ความเคารพแม้พวกเขาจะมีฐานะร่ำรวยกว่าก็ตาม นอกจากนี้
พวกเขายังไม่ค่อยฟ้องร้องกันยกเว้นเรื่องร้ายแรงจริงๆ
คนไทยรู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดและมักตกลงกันได้ระหว่างคู่กรณี
ไม่เหมือนคนอเมริกันที่ชอบฟ้องเรียกเงินก้อนใหญ่ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
ลูกสาวอายุ 6 ขวบ ของผมประสบอุบัติเหตุที่โรงเรียน
เธอเล่นและตกเก้าอี้จนต้องให้แพทย์เย็บริมฝีปาก
เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนตกใจกันมากเพราะเห็นผมเป็นคนอเมริกัน
พวกเขาคิดว่าผมจะฟ้องเรียกค่าเสียหายขนาดต้องขายโรงเรียน
และนี่คือสิ่งที่คนในประเทศอื่นรับรู้และคิดเกี่ยวกับคนอเมริกัน

รัฐบาลที่ถูกคว่ำโดยคณะทหารได้สั่งให้ธนาคารปล่อยเงินกู้และออกบัตรเครดิตได้ง่ายยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดูเหมือนผู้นำรัฐบาลจะรับเอานโยบายบริโภคนิยมมาจากตะวันตก
ผมคือการบริโภคเพิ่มขึ้นมากทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ไปจนโทรศัพท์มือถือ
ผลคือการเป็นหนี้และความตึงเครียดในชนบท พ่อแม่ต้องออกทำงานหาเงินมากขึ้น
ความเหลวไหลของเยาวชน การหย่าร้างและปัญหาทางจิต คนไทยในกรุงเทพฯ
ต่างก็ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ได้ทำลายสังคมอเมริกัน
ผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้สังคมไทยพินาศเหมือนสังคมอเมริกัน
ที่สำคัญคือสิ่งที่คนไทยแข่งกันบริโภคนั้นเป็นสินค้าที่มาจากต่างประเทศ
ผมหวังว่ารัฐบาลไทยจะแก้ไข

ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 9 ปีแล้ว
และเห็น การเปลี่ยนแปลงซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเห็นได้ชัดในกรุงเทพฯ และพัทยา
คนไทยในเมืองใหญ่กำลังกลายเป็นคนตะวันตก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย
โดยเฉพาะการเปิดรับการลงทุนที่มากเกินไป รวมทั้งการให้ต่างชาติซื้อทรัพย์สินได้

เมื่อคนต่างชาติย้ายมาอยู่ในประเทศไทย
ถ้าเขามีภรรยาและลูกก็ซื้ออพาร์ตเมนต์ได้อย่างถูกกฎหมายถ้าต้องการ
และถ้าต้องการบ้านเดี่ยวและที่ดินก็ซื้อได้ในนามของภรรยาและถ้ามีลูกก็ใส่ชื่อลูก
แม้เขาและภรรยาจะเลิกกันในภายหลัง ลูกของเขาก็ได้รับการคุ้มครอง ฉะนั้น
ถ้าชาวต่างชาติยังกล่าวว่ากฎเกณฑ์ข้างต้นไม่ยุติธรรม
นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องการหาประโยชน์จากการ "ปั่น" ตลาดทรัพย์สินในประเทศไทย
ซึ่งปกติราคาจะไม่พุ่งสูงขึ้นมาและคนไทยยังมีกำลังซื้อได้
ถ้าให้สิทธิชาวต่างชาติซึ่งมีทุนมากมาย
พวกเขาจะกว้านซื้อที่ดินทั้งในเมืองและต่างจังหวัด
ชาวต่างชาติดังกล่าวต้องการจะลงทุนก้อนใหญ่เพื่อทำกำไรในตลาดที่กำลังเติบโต
ผมหวังว่ารัฐบาลไทยจะไม่โอนอ่อนต่อการเรียกร้องดังกล่าว
ผมต่อต้านการลงทุนซึ่งมักลงทุนในอุตสาหกรรมสกปรกซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย
ผมต่อต้านเพราะผมเห็นความเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดในสหรัฐฯ มาก่อน
ประเทศไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับฮาวายของสหรัฐฯ
เศรษฐกิจของประเทศไทยควรจะตั้งอยู่บนฐานของเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว
ไม่ใช่อุตสาหกรรมแบบตะวันตก

ผมหวังว่าคนตะวันตกจะไม่สนใจประเทศไทยมากนัก
แต่ที่แย่ในขณะนี้คือ ธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ
ได้เข้ามารุกรานประเทศไทยแล้ว นอกจากนั้น ขี้ยา (ยาเสพติด)
ชาวอเมริกันและยุโรปยังพยายามกระตุ้นหญิงไทยทำงานในบาร์ต่างๆ
ให้ลองยาเสพติดด้วย
และหญิงที่ยากจนเหล่านั้นต่างอ่อนไหวต่อการชักจูงดังกล่าวเหมือนสหรัฐฯ ในยุค
1960 (2503) เจ้าพวก "แมลงสาบ" ชาวตะวันตกกำลังพยายามใช้ยาเสพติด "ครอบงำ"
หญิงไทยที่กล่าวแล้วให้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ยาเสพติดข้ามมาจากพม่าแต่การค้ายาเสพติดถูกริเริ่มโดยชาวตะวันตก

* ผมเชื่อว่า "บุคคลสำคัญ"
ของประเทศไทยที่อยู่ในกรุงเทพฯ เข้าใจในเรื่องเหล่านี้
และกำลังพยายามถ่ายทอดความคิดของท่านให้ประชาชน ผมหวังว่าท่านจะทำได้สำเร็จ
(ถ่ายทอดมา 60 ปีแล้ว แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา-ผู้สรุป)

หมายเหตุ : คุณมาร์ติน วีลเลอร์
เป็นชาวอังกฤษซึ่งจบปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยลอนดอน
ในปัจจุบัน คุณมาร์ติน แต่งงานกับหญิงชาวไทยมีบุตรธิดารวม 3 คน
และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 12 ปีแล้ว คุณมาร์ติน กล่าวไว้ว่า
"คนอังกฤษเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง
นอกจากนั้นเป็นของคนรวยและคนต่างชาติหมด"
อังกฤษใช้ระบบทุนนิยมเสรีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ปลาใหญ่เลยกินปลาเล็กเกือบหมด
การสำรวจความคิดเห็นระบุว่าคนอังกฤษร้อยละ 50-60 ไม่อยากอยู่ในอังกฤษ
และคนอังกฤษเป็นกลุ่มคนที่ย้ายไปอยู่ประเทศออสเตรเลียมากที่สุด

อนึ่ง
ที่ดินในเม็กซิโกและอเมริกาใต้ร้อยละ 50-80 ก็ตกอยู่ในมือคนรวยและคนต่างชาติ
โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ...ประเทศไทยก็กำลังเดินไปสู่หายนะเช่นเดียวกัน???

อ้างอิง : John Arnone, "Why I Left
America", P. Press Co. Ltd., 2007 และ John Tirman, "100 Ways America is
Screwing the World", Harpers Collin Publishers, New York, USA, 2006-John
Tirman เป็นผู้อำนวยการบริหารของศูนย์การศึกษานานาชาติ สถาบันเอ็มไอที สหรัฐฯ