Sunday 12 August 2007

เสียเหงื่อ...กับสปอนเซอร์

เสียเหงื่อ...กับสปอนเซอร์
โฆษณาชุด "นิ้ว" ถือเป็นงานสร้างสรรค์คุณภาพของทางค่ายโอกิลวี่อีกชิ้นหนึ่ง ที่มีเสน่ห์ คือสามารถหยิบเอาสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตจริง มาเป็นตัวเดินเรื่อง เพื่อสร้างให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวโฆษณา
ด้วยความตั้งใจของทีมงานที่จะนำเสนอโฆษณาสปอนเซอร์ให้ออกมาสอบรับกับตัวโปรดักต์ คือเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย แน่นอนว่าธีมของงานโฆษณาชิ้นนี้ต้องมีเนื้อหาที่พูดถึงการออกกำลังกายผสมอยู่ด้วย หลังจากที่ได้รับบรีฟจากทางลูกค้าแล้ว ทีมงานก็กำหนด Main Idea ไว้ที่คำว่า "เสียเหงื่อ" ซึ่งปกติโฆษณาสปอนเซอร์จะโฟกัสไปที่นักกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักวิ่งเป็นหลัก ในแง่ของตัวโปรดักต์แล้วเนี่ย ประเด็นก็คือ เสียเหงื่อ ใครก็ได้ที่เสียเหงื่อแล้วมาดื่ม สปอนเซอร์ แต่ตลาดหลักของเค้าที่ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ก็คือ นักวิ่ง เพราะว่าเค้าสนับสนุนการวิ่งเป็นตลาดเมนอยู่แล้วŽ คุณนิกรม กูลโฆษะ Creative Director Ogilvy & Mather Advertising กล่าว เมื่อได้ Main Idea แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การคิดแนวทางในการนำเสนอ ซึ่งตอนแรกทีมงานยังโฟกัสไปที่การออกกำลังกาย แต่ในคราวนี้ทีมงานอยากจะนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่ง คือ จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าจะออกกำลังกายได้ แต่ก็ยังอยากที่จะออกกำลังกาย ซึ่งก็มีหลายแนวคิดด้วยกันที่ออกมาจากทางทีมครีเอทีฟ โดยที่แนวคิดส่วนใหญ่จะเน้นไปที่กลุ่มคนธรรมดาไม่ใช่กลุ่มนักกีฬาอีกต่อไป "ทีมงานมองว่าสปอนเซอร์ เป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้ว่า ดื่มเมื่อเสียเหงื่ออยู่แล้ว ไม่ต้องมานั่งบอกอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน เราก็อยากขยายตลาดไปยังกลุ่มที่ไม่ใช่นักกีฬา หรือว่าเป็นนักกีฬาที่ไม่ใช่นักกีฬาอาชีพ ก็สามารถดื่มสปอนเซอร์ได้" คุณนิกรม กล่าว ตัวอย่างแนวคิดที่ถูกระดมสมองออกมา อาทิ เป็นภาพเหตุการณ์จำลองที่สำนักงานแห่งหนึ่ง โดยที่พนักงานออฟฟิศเหล่านั้นไม่มีโอกาสออกกำลังกาย ก็เลยต้องหาทางออกกำลังด้วยวิธีแปลกๆ ขณะทำงานภายในสำนักงาน หรืออีกบอร์ดหนึ่งก็จะเป็นเหตุการณ์จำลองในห้างสรรพสินค้าโดยมีวัยรุ่นที่กำลังออกกำลังกายด้วยวิธีวิ่งสวนทางกับบันไดเลื่อนเป็นต้น แต่ปัญหาก็คือ อย.ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการทำโฆษณาไว้ว่า โฆษณาสินค้าประเภทออกกำลังกาย จะต้องเห็นคนที่ออกกำลังกาย และคนออกกำลังกายจะต้องใส่ชุดนักกีฬา ทำให้หลายไอเดียที่คิดขึ้นมามีอันต้องตกไป "ทีมงานเราเลยกลับมาคิดใหม่ว่าในเมื่อสปอนเซอร์เป็นผู้นำในตลาดนี้อยู่แล้ว ถ้านำเสนอในแง่ของการสนับสนุน รณรงค์ให้คนอยากออกกำลัง ก็น่าจะเป็นอะไรที่ผู้นำตลาดจะพูดได้ดี ในที่สุดก็เลยตัดสินใจที่จะนำเสนอในเชิงรณรงค์ สนับสนุนให้คนหันมาออกกำลังกายแทนที่จะนำเสนอในเรื่อง คุณประโยชน์ของตัวโปรดักต์โดยตรง" คุณนิกรม เล่าถึงที่มาพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า "การนำเสนอโฆษณาแนวรณรงค์จะต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้ชมทางบ้าน ดูจบแล้วต้องรู้สึกผิดกับตัวเองเล็กน้อยที่ไม่ได้ใส่ใจกับสุขภาพของตนเองเลย แนวทางในการนำเสนอทีมงานจึงกำหนดให้ออกมาในรูปของเกินจริง เพื่อที่จะสื่อว่าในบางสถานการณ์ที่ไม่น่าจะสามารถออกกำลังกายได้ แต่ถ้าต้องการที่จะออกกำลังกายจริงๆ ก็สามารถทำได้ แต่ทีมงานมองว่าจะต้องเป็นการรณรงค์ที่ไม่ต้องซีเรียสจนเกินไปนัก อย่างเราเล่นกีฬาประจำแล้วเวลาไหนที่เราไม่ได้เล่นเราจะรู้สึกว่าผิดเล็กๆ"
ส่วนอีกสาเหตุที่ทีมงานตัดสินใจที่จะทำหนังโฆษณาออกมาในแนวรณรงค์นั้นคุณนิกรมอธิบายว่า "ก็มองง่ายๆ เพราะว่าเราเป็นผู้นำในตลาดอยู่ การที่เรารณรงค์ให้คนหันมาออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เมื่อคนมาออกกำลังกายเพิ่มก็ต้องกินเครื่องดื่มสำหรับการออกกำลังกายเพิ่ม ก็จะส่งผลกับยอดขายของเราในทางบวก เพราะว่าสปอนเซอร์เป็นผู้นำตลาดอยู่ในขณะนี้ แต่ถ้าเราไม่ใช่เบอร์หนึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเหมือนกัน เนื่องจากคนออกกำลังกายก็จะไปกินสินค้าเบอร์หนึ่งแทน" ถึงตรงนี้ก็เริ่มมีแนวคิดในการนำเสนอใหม่ๆ ที่เป็นการรณรงค์ให้คนหันมาออกกำลังกายในรูปแบบที่ OVER ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ มีคนโดนจับมัดไว้ แต่ก็ยังอยากที่จะออกกำลังกาย ถือเป็นการออกกำลังกายแบบกระเสือกกระสน เพราะ ทีมงานต้องการให้คนดูรู้สึกว่าสถานการณ์ขนาดนี้แล้ว ยังอยากที่จะออกกำลังกาย จนในที่สุดก็มีสรุปเอาที่บอร์ดชุด "นิ้ว" ที่หยิบยกเอาสถานการณ์การออกกำลังกายของ ผู้ป่วยชนิดที่ต้องเข้าเฝือกทั้งตัว ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนมาไหนได้ ต้องนอนฟักฟื้นอยู่แต่ในห้องพักมานำเสนอ โดยมีนิ้วสองนิ้วเป็นตัวแทนของการออกกำลังกายทั้งหมด "ผมว่าคนที่ไม่คิดจะออกกำลังกายมาดูโฆษณาชิ้นนี้ แล้วก็ยังคงไม่คิดที่จะออกกำลังกายอยู่ดี แต่กลุ่มคนที่ครึ่งๆ กลางๆ อยากออกกำลังกายแต่ขี้เกียจ กลุ่มพวกนี้จะเยอะ แบบว่าเจอฝนตก รถติดหน่อยก็หาเรื่องไม่ยอมไปออกกำลังกาย พวกนี้จะรู้สึกว่าตนเองผิดได้ง่ายกว่าคนที่ไม่คิดจะออกกำลังกายเลย เราจึงพยายามจี้ไปยังคนกลุ่มนี้ด้วยโฆษณาดังกล่าว" คุณนิกรมอธิบาย ในส่วนของขั้นตอนการถ่ายทำนั้นทีมงานยกกองถ่ายไปถ่ายทำที่โรงพยาบาลแถวบางนาตราด ทั้งนี้เพื่อความสมจริง โดยมีนักแสดงที่คัดเลือกมาทั้งสิ้น 2 คน ซึ่งโฆษณาชิ้นนี้อาจจะแปลกกว่าชิ้นอื่นๆ ตรงที่ว่า มีการคัดเลือกนักแสดงเฉพาะนิ้วเพียงอย่างเดียว "ที่ต้องมีนักแสดง 2 คน เพราะว่า คนหนึ่งนิ้วสวย ส่วนอีกคนหนึ่งก็ต้องมาคอยสลับตัว เพราะว่าอยู่ในชุดเฝือกตลอดเวลาไม่ไหว เนื่องจากข้างในร้อนมาก บางช่วงเราถึงกับต้องใส่สายออกซิเจนเข้าไปช่วยในการหายใจเลย" คุณนิกรมเล่าถึง เบื้องหลัง ในส่วนของเฝือกที่ต้องใส่ให้กับนักแสดงทั้งตัวนั้น ทีมงานต้องใช้การหล่อไฟเบอร์ขึ้นมาทั้งตัว ก่อนที่จะมาประกอบใส่ให้กับนักแสดงแล้วใช้กาวเชื่อม แทนการใช้ผ้าพันทั้งตัว ความยากของงานโฆษณาชิ้นนี้นั้นอยู่ที่การแสดงของนิ้วอย่างเดียว ซึ่งก็โชคดีที่โฆษณาชิ้นนี้ได้ ผู้กำกับฝีมือดีอย่างคุณมั่มมาเป็น คนดูแล ซึ่งคุณมั่มเองก็ได้มีการเพิ่มเติมในส่วนของมีวอร์มอัพ โดยให้นักแสดงทำนิ้วเลียนแบบการอบอุ่นร่างกายเข้าไป เพื่อให้โฆษณาดูออกมาสมจริงมากที่สุดนั่นเอง เครดิต
ชื่อภาพยนตร์
นิ้ว
ความยาว
45 วินาที
บริษัทเจ้าของสินค้า
บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด
ผลิตภัณฑ์
สปอนเซอร์
บริษัทตัวแทนโฆษณา
บริษัทโอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้ออกความคิดโฆษณา
คุณนิกรม กูลโฆษะ,วสันต์ หวังไพฑูรย์,จันทิกา น้าสุนีย์,ควบคุมการผลิต
ควบคุมการผลิต
ยุทธพงศ์ วรานุเคราะห์โชค
ผู้กำกับ
สุธน เพชรสุวรรณ