Sunday, 5 August 2007

ผู้ผลิตหนังโฆษณา ทำนายปีนี้เศรษฐกิจซบของจริง

ผู้ผลิตหนังโฆษณา ทำนายปีนี้เศรษฐกิจซบของจริง ส่งผลหลายบริษัทหั่นงบการผลิตหนังโฆษณา ฟีโนมีนา ระบุ เอเยนซี เริ่มลดงบผลิตหนังโฆษณาบางรายลงแล้ว 15% เผยแผนรับมือ เพิ่มการรับงานต่างประเทศ ยันไม่ขอเล่นสงครามราคา ขอผลิตชิ้นงานคุณภาพ ตั้งเป้าสิ้นปีโตอีก 20% พร้อมจี้รัฐเร่งพัฒนาคนดันไทยขึ้นฮับการผลิตหนังโฆษณาในภูมิภาคเอเชีย นายสาธิต กาลวันตวานิช ประธานกรรมการ และผู้กำกับ บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด ดำเนินธุรกิจ ผลิตภาพยนตร์โฆษณา เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศปีนี้อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง กำลังซื้อค่อนข้างหดตัว เกิดการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ซึ่งเป็นเพราะประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น โดยส่วนหนึ่งเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือบัตรเงินผ่อนต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นหนี้ที่เกิดจากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน จากเหตุผล ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบให้อุตสาหกรรมหนังโฆษณาปีนี้เติบโตได้ไม่มากนัก งบหนังโฆษณาถูกหั่น 15% โดยมีบริษัทเอเยนซี ได้เริ่มปรับลดงบประมาณสำหรับผลิตหนังโฆษณาลง 15% ในสินค้าบางรายการ เช่น กลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักส์ แต่ทั้งนี้เชื่อว่าช่วงครึ่งปีแรกเม็ดเงินในอุตสาห-กรรมโดยรวมยังคงไม่ลดลง เพราะเป็นช่วงต้นปี หลายบริษัทยังคงอัดโฆษณาต่อเนื่อง แต่ไตรมาส 3 จะเห็นชัดเจน เพราะสภาพเศรษฐกิจโดยรวม เช่น น้ำมันแพง สินค้าขึ้นราคา ผู้บริโภคก็จะใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น บริษัทขนาดเล็ก ที่สายป่าน ไม่ยาว จะปรับลดงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่อาจใช้โอกาสนี้อัดโฆษณาเพิ่มก็ได้ เพื่อตอกย้ำแบรนด์และความเป็นผู้นำการตลาด เช่น เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 บริษัท ยูนิลีเวอร์ ก็ไม่ปรับลดงบโฆษณา "การหดตัวของเม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณา จะทำให้ปีนี้ มีชิ้นงานโฆษณามากขึ้น แต่รายได้ไม่ได้เติบโตตาม ที่ผ่านมาเราโชคดีที่อยู่ในกลุ่มผู้ผลิตหนังโฆษณาทีวี ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงเป็นตัวเลือกลำดับท้ายๆ หากบริษัทจะปรับลดงบในด้านนี้ ความจริงอุตสาหกรรมโฆษณาเริ่มหดตัวตั้งแต่ปีก่อนแล้ว แต่ยังเห็นไม่ชัด และเชื่อว่าปีนี้จะเห็นชัดเจนแน่นอน" สิ่งที่บริษัทเตรียมรับมือ คือมุ่งผลิตผลงาน คุณภาพ และจะไม่แข่งขันด้านราคาอย่างแน่นอน ปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตหนังโฆษณามาก กว่า 50 บริษัท เชื่อว่าหลายรายจะลงมาเล่นสงครามราคา ซึ่ง ฟีโนมีนา อยู่ในธุรกิจนี้มากว่า 13 ปี มีผลงานเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเอเยนซี และเจ้าของสินค้า แนวคิดในการทำงาน คือ ผลงานที่ผลิตออกมา ต้องมีเนื้อหาดี คนดูไม่เบื่อ และ สามารถขายสินค้าได้ เพิ่มงาน ตปท.ระจายความเสี่ยง นางยอดเพชร สุดสวาท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด กล่าวว่า แผนการดำเนิน งานของบริษัท ในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่จะทำให้บริษัทมีการเติบโต ตั้งเป้าปีนี้ จะรับงานจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25% ของ ชิ้นงานหนังโฆษณาทั้งหมดที่บริษัทจะผลิตในปีนี้ โดยปีก่อนสัดส่วนจะอยู่ที่ 15-20% ซึ่งลูกค้าหลักจะเป็นประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง เวียดนาม ญี่ปุ่น และ จีน โดยเราไม่มีแนวคิดที่จะขยายฐานลูกค้าไปภูมิภาคอื่น เพราะการทำหนังโฆษณา ปัญหาสำคัญหากต้องรับงานจากต่างประเทศ คือ ภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิต เพราะหากเราไม่เข้าใจ ผลงานที่ออกมาจะไม่สามารถสื่อให้คนดูเข้าใจได้ สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 20% จากปี 2548 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปตัวเลข แต่เชื่อว่าน่าจะเติบโตราว 20% จากปี 2547 ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 400 ล้านบาท แบ่งเป็น จากบริษัท ฟีโนมีนา 250 ล้านบาท และ จากบริษัท โปรโมโฟเบีย จำกัด กับบริษัท ต้องตาฟิล์ม จำกัด อีก 150 ล้านบาท นอกจากนั้น ในส่วนของบริษัท ซูโด้ เอฟเฟ็คซ์ จำกัด ซึ่งเปิดดำเนินงานเมื่อปีก่อน โดยจะทำงานด้าน คอมพิวเตอร์กราฟิก โมชั่น กราฟิก การทำเอฟเฟกต์และ แอนิเมชัน ต่างๆ ปีนี้เราขยายรายได้ด้วยการเปิดรับงานจากภายนอกตั้งเป้าสัดส่วนไว้ที่ 50% ของผลงานจี้รัฐพัฒนาคนดันไทยขึ้นฮับ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมผู้ผลิตโฆษณา ได้ส่งผลให้ผลงาน โฆษณาที่ออกมามีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น สังเกตได้จากหนังโฆษณาหลายเรื่องจากประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลใหญ่ระดับโลกได้ ขณะที่ต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาใช้ โปรดักต์ชันเฮาส์ ในประเทศไทย จึงเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลไทยจะพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์โฆษณา(HUB) เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง อย่าง สิงคโปร์ หรือฮ่องกง เราผลิตได้ถูก เพราะค่าแรง เราถูกกว่า ดังนั้น สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วย คือ การ พัฒนาบุคลากร เพราะการทำภาพยนตร์โฆษณา สิ่งสำคัญที่สุดคือ เนื้อเรื่อง ที่ต้องเกิดจากความคิด เราจึงต้องลงทุนพัฒนาบุคลากร ส่วนเรื่อง ซอฟต์แวร์ เป็นเรื่องสำคัญรองลงมา นอกจากนั้น ยังต้องการให้รัฐบาลในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการแก้ไขและส่งเสริมในกฎระเบียบบางอย่าง ที่จะเอื้อให้อุตสาหกรรมนี้เติบโต เช่น กฎหมายที่ว่า สินค้าผลิตขายที่ประเทศใด ต้องใช้หนังโฆษณาที่ผลิตจากประเทศนั้นๆ หรือ การจัดตั้งหน่วยงานที่คอยอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่ถ่ายทำ เป็นต้น


บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด ผู้นำธุรกิจผลิตภาพยนตร์โฆษณา โดยนายสาธิต กาลวันตวานิช (ยืนที่ 2 จากซ้าย)ประธาน และ นางยอดเพชร สุดสวาท กรรมการผู้จัดการ จัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จในโอกาสที่ได้รับการจัดอันดับจาก The Gunn Report ให้เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาที่ได้รับรางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก (The most awarded production house in the world in 2005) รวมทั้งนายธนญชัย ศรศรีวิชัย (ยืนกลาง)
ผู้กำกับของบริษัทฯ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาได้รับรางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก (The most awarded director in the world in 2005) เป็นครั้งที่ 2 ในปีที่ผ่านมา พร้อมถือโอกาสเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชนและลูกค้า ณ สำนักงานบริษัท เมื่อเร็ว ๆ นี้

นายสาธิต กาลวันตวานิช ประธานกรรมการ และผู้กำกับ บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด ผู้นำธุรกิจผลิตภาพยนตร์โฆษณา เปิดเผยถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์โฆษณาในปี 2549 ว่า หากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็อาจส่งผลต่องบประมาณที่ใช้ในการทำภาพยนตร์โฆษณาเป็นอันดับแรก ซึ่งแน่นอนว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นเนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาหรือโปรดักชั่นเฮาส์ในประเทศรวมกว่า 50 บริษัท อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าบริษัทที่มุ่งเน้นการผลิตผลงานคุณภาพยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะผลงานโฆษณาที่สามารถสร้างการจดจำในกลุ่มผู้บริโภคซึ่งต้องอาศัยผู้กำกับที่มีความคิดสร้างสรรค์ และทีมงานเบื้องหลังที่สามารถเพิ่ม Production Value ให้กับภาพยนตร์ได้ภายใต้ระยะเวลาและงบประมาณที่จำกัด
นายสาธิตกล่าวว่า ปัจจุบันมาตรฐานการผลิตภาพยนตร์โฆษณาในประเทศไทยเริ่มเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น โดยสังเกตได้จากผลงานภาพยนตร์โฆษณาในเมืองไทยหลายเรื่องสามารถคว้ารางวัลใหญ่ในระดับโลกได้ ขณะที่ต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาใช้ Production House ในประเทศไทยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของการผลิตภาพยนตร์โฆษณาหรือเป็น Hub ในภูมิภาคได้เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าโดยรัฐควรให้การสนับสนุนทั้งเรื่องของการพัฒนาบุคลากร และการส่งเสริมด้านกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเอื้อให้กับธุรกิจในประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ ในแต่ละปี บริษัทฯ มีสัดส่วนการรับงานต่างประเทศประมาณ 15 — 20% โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับการจัดอันดับจาก The Gunn Report ให้เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาที่ได้รับรางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก (The most awarded production house in the world in 2005) รวมทั้งคุณธนญชัย ศรศรีวิชัย ซึ่งเป็นผู้กำกับของบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาได้รับรางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก (The most awarded director in the world in 2005) เป็นครั้งที่ 2 ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการทำงานที่มุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์และทีมงานคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีผู้กำกับ 11 คน Producer 10 คน และมีบุคลากรเบื้องหลังรวมประมาณ 150 คน
"เราคิดว่าเรามีสิทธิที่จะก้าวเป็นที่ 1 ในเอเชีย เพราะจุดแข็งของทีมงานที่มีความยืดหยุ่นสามารถทำลายข้อจำกัดด้านต่างๆ แต่การจะก้าวสู่ระดับโลกได้โดยส่วนตัวแล้วมองว่า Production House บ้านเรายังต้องพัฒนาเรื่องคนอีกมากทั้งเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ และการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มรายละเอียดให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้น สำหรับฟีโนมีนาเราให้ความสำคัญเรื่องคนมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีบริษัทฯ จะเปิดโอกาสให้กับพนักงานทั้งการจัดสัมมนาให้ความรู้และการแข่งขันผลิตผลงานเพื่อสร้างผู้กำกับใหม่ ๆ เข้าสู่วงการ"นายสาธิตกล่าว
ด้านนางยอดเพชร สุดสวาท กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ผลิตภาพยนตร์โฆษณารวมเฉลี่ยเดือนละ 11 เรื่อง มียอดบิลลิ่งประมาณ 250 ล้านบาท เมื่อรวมกับ บริษัท โปรโมโฟเบีย จำกัด และ บริษัท ต้องตาฟิล์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาในฟีโนมีนากรุ๊ปที่เปิดขึ้นมาเพื่อรับงานผลิตภาพยนตร์โฆษณาโดยแบ่งงานตามงบการผลิตแล้ว บริษัทฯ มียอดบิลลิ่งรวมประมาณ 400 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ของธุรกิจ
"ในแต่ละปีบริษัทฯ จะไม่มีการตั้งเป้าว่าจะเติบโตเท่าไหร่เพราะเราเชื่อว่าการมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพเป็นการสร้างศักยภาพในการแข่งขันที่ยั่งยืนกว่า ซึ่งจากการทำงานมา 12 ปี ผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพและปริมาณงานจะเข้ามาจากชื่อเสียงและการยอมรับ แต่การได้รางวัลมากที่สุดไม่ใช่จุดที่ทำให้เราหยุดนิ่ง เพราะเรายังต้องพัฒนาคนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงาน Post Production ที่ต้องทันเทคโนโลยีเพื่อ support งานลูกค้าให้ได้ การทดลองสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน จะเป็นทิศทางที่สำคัญของเราในการบรรลุฐานความรู้ ความเข้าใจใหม่ ๆ ให้กับมาตรฐานการผลิตภาพยนตร์โฆษณาไทย" นางยอดเพชรกล่าว
สำหรับแผนงานในปีนี้ บริษัทฯยังคงรับงานผลิตภาพยนตร์โฆษณาทั้งในประเทศและต่างประเทศตามปริมาณผู้กำกับและทีมงานที่มีอยู่โดยเฉลี่ยคาดว่าจะไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10 เรื่อง และในปีนี้ บริษัท ฟีโนมีนา โมชั่นพิคเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทฯในเครือยังมีผลงานด้านภาพยนตร์อีก 1 เรื่องซึ่งจะเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2549 คือ "เด็กหอ" ภายหลังประสบความสำเร็จจากเรื่อง "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" ในปี 2547 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายธุรกิจที่สนับสนุนกับธุรกิจหลัก ด้วยการเปิดบริษัท ซูโด้ เอฟเฟ็คซ์ จำกัด (Pseudo Effects Co.,Ltd.) เพื่อรับงานด้าน Computer Graphic, Motion Graphic, Visual Effect และ Animation ซึ่งจะสามารถรับงาน Production House ภายนอกด้วย โดยคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมีอัตราการเติบโตเช่นเดียวกับทุก ๆ ปีคือประมาณ 20 %

บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตภาพยนตร์โฆษณารายใหญ่ของไทย จัดเป็นหนึ่งในโปรดักชั่นเฮ้าส์ที่ไม่ลงไปเล่นสงครามราคา และวางตัวเองอยู่ในระดับพรีเมียม เน้นคุณภาพในราคาที่แพงกว่า สาธิต กาลวันตวานิช ประธานกรรมการบริษัท และผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา เปิดเผยว่าในปีนี้น่าจะได้เห็นการเซ็กเมนท์ระดับโปรดักชั่นเฮ้าส์ชัดเจนขึ้น หากไม่แข่งกันที่ราคาก็จะแข่งกันที่คุณภาพแทน ขณะที่ฟีโนมีนาเน้นจุดยืนเรื่องผลงานระดับคุณภาพ และจะยิ่งชัดเจนขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะจากรางวัล โปรดักชั่นเฮ้าส์ และ ผู้กำกับ (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) ที่คว้ารางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก ซึ่งจัดอันดับโดย The Gunn Report ประจำปี 48 ยิ่งเป็นตัวชี้วัดถึงความสำเร็จดังกล่าว "แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเริ่มหั่นงบในการผลิตโฆษณาลงแล้วกว่า 15% แต่ในความเป็นจริงยังคงมีลูกค้ารายใหญ่โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องการงานโฆษณาคุณภาพอยู่ ดังนั้นในส่วนของฟีโนมีนา ซึ่งมีชื่อเรื่องคุณภาพของงานโดยมีรางวัลระดับโลกเป็นการันตีอยู่แล้ว ทำให้ได้เปรียบในฐานะที่จะเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์อันดับแรกๆที่ลูกค้าคิดถึง" และเพื่อรักษามาตรฐานทำให้ค่างานคุณภาพของฟีโนมีนาจึงไม่ลดราคาลงไปแข่งขัน ฉะนั้น หากเทียบกับโปรดักชั่นเฮ้าส์ส่วนใหญ่แล้ว งานของฟีโนมีนาจะมีราคาค่อนข้างสูง โดยจะรับงานที่มีราคาตั้งแต่ 3.5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งแม้ว่าลูกค้าระดับพรีเมียมจะลดน้อยลง แต่สิ่งที่ สาธิต มองคือ เตรียมพร้อมเพื่อขยายไปรับงานลูกค้าต่างประเทศ ปัจจุบันลูกค้าจากต่างชาติที่ใช้บริการฟีโนมีนา ส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม ซึ่งในแต่ละปี บริษัทฯ มีสัดส่วนการรับงานต่างประเทศเฉลี่ยตามจำนวนชิ้นงานประมาณ 15-20% แต่สำหรับปีนี้ตั้งเป้าว่าจะขยายงานในตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 20-25 %" สาธิตกล่าว นอกจากการนำเสนอเรื่องอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และมีอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นจุดแข็งของฟีโนมีนาแล้ว สาธิตมองว่ายังไม่เพียงพอในสภาพการแข่งขันที่สูงขึ้น จึงได้ทำการเพิ่มโปรดักชั่น แวลู (Production Value) โดยขยายไปสู่ธุรกิจโพสท์ โปรดักชั่น เปิด บริษัท ซูโด เอฟฟเฟ็คซ์ จำกัด เพื่อรับงาน คอมพิวเตอร์ กราฟฟิก, โมชั่น กราฟฟิก, วิชวล เอฟเฟคท์ และ แอนิเมชัน เมื่อปีที่แล้วเพื่อเตรียมความพร้อมรับการแข่งขัน โดยตั้งขึ้นเพื่อรับทำงานให้บริษัทในเครือเป็นหลัก บนมาตรฐานเดียวกับฮอลลีวู้ด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และ ยังเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทอีกด้วย สำหรับโปรดักชั่นเฮ้าส์ ในเครือฟีโนมีนา ทั้งหมด 3 บริษัท ได้แก่ ฟีโนมีนา, โปรโมเฟีย และ ต้องตาฟิล์ม มียอดบิลลิ่งรวมกันของปี 2547 คิดเป็น 400 ล้านบาท และจัดเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์อันดับสองของตลาด รองจากแม็ทชิ่ง สตูดิโอ อยู่ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนรายได้ในปี 2548 ที่ผ่านมานั้น สาธิตบอกว่ายังคำนวณตัวเลขไม่เสร็จสิ้น แต่คาดว่าน่าจะโตขึ้นประมาณ 20% และประเมินคร่าวๆ ว่า ณ วันนี้ กลุ่มฟีโนมีนา น่าจะมียอดรายได้จากงานถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาสูสีกับแม็ทชิ่งสตูดิโอ และสำหรับรายได้ในปีนี้ ก็คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 20% เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ โปรโมโฟเบีย และ ต้องตาฟิล์ม เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาในฟีโนมีนากรุ๊ป ที่เปิดขึ้นมาเพื่อรองรับงานผลิตภาพยนตร์โฆษณาในราคาและสเกลงานที่ต่ำกว่าฟีโนมีนา ขณะที่ฟีโนมีนารับงานที่ราคา 3.5 ล้านบาทขึ้นไป สองบริษัทนี้ จะรับงานเฉลี่ยอยู่ที่ 4 แสน -1.5 ล้านบาท โดยเป็นการรับงานที่ราคาต่ำลงมาแต่ในมาตรฐานการทำงานเดียวกันกับบริษัทแม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นเหมือนไฟติ้ง แบรนด์ ให้กับ ฟีโนมีนาแล้วนั้น ทั้งสองแห่งนี้ยังใช้เป็นแหล่งผลิตทีมงานรุ่นใหม่ ให้ผู้กำกับหน้าใหม่ได้มีโอกาสทดลองงาน หาประสบการณ์ก่อนจะเลื่อนขั้นมาทำงานให้กับบริษัทฯ แม่ต่อไป

สาธิต กาลวันตวานิช OSK91 ประธานกรรมการบริษัท และผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา เปิดเผยว่าในปีนี้น่าจะได้เห็นการเซ็กเมนท์ระดับโปรดักชั่นเฮ้าส์ชัดเจนขึ้น หากไม่แข่งกันที่ราคาก็จะแข่งกันที่คุณภาพแทน ขณะที่ฟีโนมีนาเน้นจุดยืนเรื่องผลงานระดับคุณภาพ และจะยิ่งชัดเจนขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะจากรางวัล โปรดักชั่นเฮ้าส์ และ ผู้กำกับ (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) ที่คว้ารางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก ซึ่งจัดอันดับโดย The Gunn Report ประจำปี 48 ยิ่งเป็นตัวชี้วัดถึงความสำเร็จดังกล่าว "แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเริ่มหั่นงบในการผลิตโฆษณาลงแล้วกว่า 15% แต่ในความเป็นจริงยังคงมีลูกค้ารายใหญ่โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องการงานโฆษณาคุณภาพอยู่ ดังนั้นในส่วนของฟีโนมีนา ซึ่งมีชื่อเรื่องคุณภาพของงานโดยมีรางวัลระดับโลกเป็นการันตีอยู่แล้ว ทำให้ได้เปรียบในฐานะที่จะเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์อันดับแรกๆที่ลูกค้าคิดถึง" และเพื่อรักษามาตรฐานทำให้ค่างานคุณภาพของฟีโนมีนาจึงไม่ลดราคาลงไปแข่งขัน ฉะนั้น หากเทียบกับโปรดักชั่นเฮ้าส์ส่วนใหญ่แล้ว งานของฟีโนมีนาจะมีราคาค่อนข้างสูง โดยจะรับงานที่มีราคาตั้งแต่ 3.5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งแม้ว่าลูกค้าระดับพรีเมียมจะลดน้อยลง แต่สิ่งที่ สาธิต มองคือ เตรียมพร้อมเพื่อขยายไปรับงานลูกค้าต่างประเทศ ปัจจุบันลูกค้าจากต่างชาติที่ใช้บริการฟีโนมีนา ส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม ซึ่งในแต่ละปี บริษัทฯ มีสัดส่วนการรับงานต่างประเทศเฉลี่ยตามจำนวนชิ้นงานประมาณ 15-20% แต่สำหรับปีนี้ตั้งเป้าว่าจะขยายงานในตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 20-25 %" สาธิตกล่าว นอกจากการนำเสนอเรื่องอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และมีอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นจุดแข็งของฟีโนมีนาแล้ว สาธิตมองว่ายังไม่เพียงพอในสภาพการแข่งขันที่สูงขึ้น จึงได้ทำการเพิ่มโปรดักชั่น แวลู (Production Value) โดยขยายไปสู่ธุรกิจโพสท์ โปรดักชั่น เปิด บริษัท ซูโด เอฟฟเฟ็คซ์ จำกัด เพื่อรับงาน คอมพิวเตอร์ กราฟฟิก, โมชั่น กราฟฟิก, วิชวล เอฟเฟคท์ และ แอนิเมชัน เมื่อปีที่แล้วเพื่อเตรียมความพร้อมรับการแข่งขัน โดยตั้งขึ้นเพื่อรับทำงานให้บริษัทในเครือเป็นหลัก บนมาตรฐานเดียวกับฮอลลีวู้ด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และ ยังเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทอีกด้วย สำหรับโปรดักชั่นเฮ้าส์ ในเครือฟีโนมีนา ทั้งหมด 3 บริษัท ได้แก่ ฟีโนมีนา, โปรโมเฟีย และ ต้องตาฟิล์ม มียอดบิลลิ่งรวมกันของปี 2547 คิดเป็น 400 ล้านบาท และจัดเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์อันดับสองของตลาด รองจากแม็ทชิ่ง สตูดิโอ อยู่ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนรายได้ในปี 2548 ที่ผ่านมานั้น สาธิตบอกว่ายังคำนวณตัวเลขไม่เสร็จสิ้น แต่คาดว่าน่าจะโตขึ้นประมาณ 20% และประเมินคร่าวๆ ว่า ณ วันนี้ กลุ่มฟีโนมีนา น่าจะมียอดรายได้จากงานถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาสูสีกับแม็ทชิ่งสตูดิโอ และสำหรับรายได้ในปีนี้ ก็คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 20% เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ โปรโมโฟเบีย และ ต้องตาฟิล์ม เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาในฟีโนมีนากรุ๊ป ที่เปิดขึ้นมาเพื่อรองรับงานผลิตภาพยนตร์โฆษณาในราคาและสเกลงานที่ต่ำกว่าฟีโนมีนา ขณะที่ฟีโนมีนารับงานที่ราคา 3.5 ล้านบาทขึ้นไป สองบริษัทนี้ จะรับงานเฉลี่ยอยู่ที่ 4 แสน -1.5 ล้านบาท โดยเป็นการรับงานที่ราคาต่ำลงมาแต่ในมาตรฐานการทำงานเดียวกันกับบริษัทแม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นเหมือนไฟติ้ง แบรนด์ ให้กับ ฟีโนมีนาแล้วนั้น ทั้งสองแห่งนี้ยังใช้เป็นแหล่งผลิตทีมงานรุ่นใหม่ ให้ผู้กำกับหน้าใหม่ได้มีโอกาสทดลองงาน หาประสบการณ์ก่อนจะเลื่อนขั้นมาทำงานให้กับบริษัทฯ แม่ต่อไป