Sunday 12 August 2007

การกลับมาของ 'ม่ำ' โฆษณาขำๆ ...ย่ำอยู่กับที่?

การกลับมาของ 'ม่ำ' โฆษณาขำๆ ...ย่ำอยู่กับที่?
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 10:16:00
ต้องยอมรับว่า ตอนนี้สื่ออันดับต้นๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ คือ 'หนังโฆษณา' ที่ดูเหมือนจะก๊อบสูตรเดียวกันมาว่าต้อง 'ขำๆ' และผู้ชายไฮ-โพรไฟล์คนนี้ ผู้ให้กำเนิดหนอนน้อยอิมเมโจวได ล่าสุดก็ จิ้งจกร้องไห้บนแผ่นฝ้า...แต่สุดท้ายแล้วเกียรติยศผู้กำกับโฆษณาอันดับโลกที่เขาเคยคว้ามา เจ้าตัวกลับบอกว่า "ไม่เห็นได้อะไรกลับมาเลย"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หากใครติดตามข่าวสารวงการโฆษณาไทย ก็คงจะพอทราบอยู่บ้างว่าเดี๋ยวนี้หนังโฆษณาบ้านเราชักแถวโกอินเตอร์ไปรับรางวัลจากเวทีประกวดโฆษณาระดับโลกกันชนิดที่ฝรั่งถึงกับต้องหันมามองกันเป็นตาเดียวว่า 'พี่ไทย' เรามีอะไรดี ทำไมถึงได้กวาดรางวัลกันเป็นว่าเล่นขนาดนี้
สำหรับประเด็นดังกล่าว ก็ต้องยอมรับและให้เครดิตกับผู้ชายคนนี้ 'สุธน เพ็ชรสุวรรณ' หรือ 'ม่ำ' ผู้กำกับหนังโฆษณาสังกัดโปรดักชั่นเฮ้าส์ยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง แม็ทชิ่ง สตูดิโอ ผู้อยู่เบื้องหลังการแจ้งเกิดอย่างงดงามของวงการโฆษณาไทยบนเวทีโลก อดีตเจ้าของอันดับ 3 ของผู้กำกับโฆษณาของโลก ก่อนจะลดเพดานลงมาเล็กน้อย แต่ก็ยังติดท็อปเทนอยู่ในปัจจุบัน
แม้ว่าช่วง 1-2 ปีนี้ ม่ำจะแผ่วลง โดยปล่อยให้ 'ต่อ' ธนญชัย ศรศรีวิชัย จากฟีโนมีน่าขึ้นแท่นนำหน้าไปบ้าง จนเกิดคำถามมากมายในวงการ ต่อด้วยข่าวลือต่างๆ นานา ทั้งที่ว่า ฝีมือดร็อปลง เลือกบอร์ด รับงานเยอะจนให้เวลากับแต่ละงานน้อยลง แถมยังรับแต่งานนอกอีก...สุดแต่จะว่ากันไป
เหล่านี้ นำมาสู่การพบกับ 'ม่ำ' เพื่อให้ตอบปัญหาคาใจ พร้อมกับคุยเรื่องข่าวดีล่าสุด กับรางวัลสิงโตเงิน (ซิลเวอร์ อวอร์ด) จากโฆษณาชุด 'จิ้งจก' ของแผ่นฝ้าเฌอร่า ซึ่งถูกใจกรรมการ 'คานส์ อวอร์ด' จนซิวรางวัลซิลเวอร์มาครอง โดยเป็นรางวัลที่ดีที่สุดของงานโฆษณาไทยในปีนี้ เคียงคู่ไปกับงานของ 'เซลส์แมน' ของกรุงเทพประกันชีวิต โดย 'ต่อ' นั่นเอง
ช่วง 2 ปีหลังนี้ รู้สึกว่าจะเงียบๆ ไป
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรับงานหนังไทย เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เจอครีเอทีฟคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนไทยบ้าง และที่สำคัญคือ ทำหนังนอกเงินดีกว่าหนังไทยเยอะมาก ดีไม่ดีทำงานให้เมืองนอกชิ้นหนึ่งเท่ากับทำงานไทยครึ่งปีเลยก็ได้
ตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นตลาดเอเชียอย่างญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม แต่จากอเมริกา ยุโรป เดี๋ยวนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นเยอะ
ทำหนังนอก กับ หนังไทย ไม่เหมือนกันตรงไหน
ถ้าจะให้เทียบการทำงานของหนังนอกกับหนังไทย ก็ต่างกันอยู่หลายอย่าง ที่ชัดเจนคือ ครีเอทีฟฝรั่งจะไม่ค่อยให้ผู้กำกับเข้ามามีส่วนร่วมในการคิดงานมากนัก ให้ดีที่สุดคือถ่ายไปตามสตอรี่บอร์ดแบบเป๊ะๆ เพราะขั้นตอนการทำหนังโฆษณาของเมืองนอกจะยุ่งยาก แก้อะไรทีจะถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าขายบอร์ดผ่านลูกค้าแล้ว จะมาเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย
ต่างจากงานของครีเอทีฟไทย เพราะผู้กำกับมีบทบาทมาก แต่ก็ยกเว้นงานของลูกค้าไทยรายใหญ่ๆ ก็มักจะให้ถ่ายตามบอร์ดเหมือนกัน
คิดยังไง ที่คนในวงการมองว่าเราแผ่วลง
ทำงานมาเป็น 10 ปี มันก็ต้องมีทั้งช่วงพีค ทั้งช่วงที่ตกลงมา ขึ้นๆ ลงๆ มันต้องมีอยู่แล้วตามกระแสของตัวเอง เรื่องขี้เกียจหรือขยันก็มีส่วนเหมือนกัน แถมบางทีเบื่อหน้าลูกค้าอีก ก็เลยอาจทำให้ไม่ได้ทำงานแบบทุ่มเท
แต่บางจังหวะก็ได้งานดีๆ จากลูกค้ามา เราก็อยากทำ แล้วก็จะยิ่งอยากทำให้มันโดดเด่น แตกต่างไปจากที่เคยมี เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้
อย่างหนัง 'จิ้งจก' ของเฌอร่า ก็เป็นงานที่สนุกดี หลังจากทำงานไม่สนุกมา 2 ปี นั่นก็เป็นเพราะได้โจทย์มาดี เวลาได้โจทย์ไม่ดีมา เราไม่ชอบแต่ขอเปลี่ยนแล้วไม่ได้ ก็จะเบื่อ ไม่อยากทำ
หรือว่าเราอิ่มตัว เพราะอยู่วงการนี้มานาน
ไม่น่าจะใช่ เพราะจริงๆ แล้ววงการนี้มีความท้าทายอยู่ตลอด เราไม่มีทางรู้เลยว่างานต่อไปของเราจะเป็นอะไร อย่างวันที่ได้ทำหนอน (ชาเขียวยูนิฟ) ก่อนหน้านั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีบอร์ดดีๆ อย่างนี้มาให้ทำ นั่นก็เป็นเรื่องตื่นเต้นดี เพราะมันท้าทายตรงที่เราไม่รู้นั่นเอง
อีกเรื่องที่ท้าทายมากเหมือนกันก็คือ เราต้องพยายามมองหา คิดอะไรที่แปลกใหม่ ทำหนังออกมาในแบบที่คนดูยังไม่เคยเห็น
ได้ยินว่าคิวงานเต็มจนล้น ไม่คิดว่าเยอะไปหรือ
ไม่เคยคิดว่างานเยอะ พอเหนื่อยก็พัก ส่วนเรื่องลูกค้า ก็พยายามรักษาความสัมพันธ์ รับหมดนั่นแหละ ถ้าจะปฏิเสธก็ไม่ใช่เพราะเลือกบอร์ด เพราะงานไทยยังไงผู้กำกับก็ร่วมพัฒนาบอร์ดได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคิวมากกว่าที่ไม่สามารถทำงานให้ได้ ถ้าลูกค้ารอไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง
แล้วที่เรารับงานเยอะไป เกี่ยวไหมกับเรื่องคุณภาพ
ช่วงที่คนอื่นๆ มองว่าเรากำลังพีคนั้น จริงๆ แล้วงานที่ได้รางวัล ก็เป็นแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของงานทั้งหมด เรื่องจำนวนไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไร
กำกับหนังมาเป็นสิบปี ชอบหนังเรื่องไหนของตัวเองที่สุด
งานที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองคือ แบล็กแคท เพราะยิงไปแค่สปอตเดียว คนก็พูดถึงกันทั้งเมือง จะเรียกว่าฟลุคก็ได้ เพราะทุกอย่างมันลงตัว พอเหมาะพอดีจริงๆ
ยอมรับว่าพื้นฐานจากการเป็นครีเอทีฟมาก่อน ก็ช่วยได้มากเวลาข้ามฝั่งมาทำหนัง เพราะรู้ว่าการสื่อสารคืออะไร แล้วก็รู้ด้วยว่านี่คือคอมเมอร์เชียล อาร์ต ไม่ใช่เพียวอาร์ต
จริงๆ ก็อยากจะบอกว่าตัวเองเก่ง แต่คนไทยไม่ชอบให้พูดอะไรแบบนี้ เดี๋ยวจะโดนหมั่นไส้เอา
แล้วทำงานแบบไหนที่คิดว่าน่าเบื่อ
บางครั้งลูกค้าก็คาดหวังมากไป จนกลายเป็นกดดันเรา ก็เลยกลายเป็นว่างานออกมาไม่ดีก็มี อย่างบางทีไปรับบรีฟมา ลูกค้าก็บอกมาเลยว่า อยากได้ประโยคฮิตอย่าง "อิมเมโจวได" ของหนอนยูนิฟ หรืออย่าง "ผู้จั๊ดการเปลี่ยนไป๋" นั่นก็ด้วย ลูกค้าชอบมาคาดหวังอะไรอย่างนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่โจทย์ที่ลูกค้าควรจะถามถึง นั่นมันประโยคฮิตต่างหาก แต่ลืมเรื่องการตลาดไป
อย่างเรื่องอันดับโลกก็เหมือนกัน ตอนแรกที่ไต่ขึ้นไปได้ ก็ตื่นเต้นมาก แต่พอเดี๋ยวนี้เฉยๆ แล้ว เพราะมาลองคิดดีๆ ก็ไม่เห็นจะได้อะไรจากคำว่า 'อันดับโลก' เลย ลูกค้าก็ยังจะขอคำฮิตเหมือนเดิม ยังอยากจะมาต่อราคาเหมือนเดิม
ความยากของการกำกับหนังโฆษณาอยู่ตรงไหน
สิ่งสำคัญของการกำกับหนังโฆษณาอันดับแรก ไม่ใช่การกำกับหนังให้ตลกขบขัน เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ชมเท่านั้น แต่จะต้องตอบโจทย์การขายสินค้าให้ลูกค้าได้ทุกด้าน ด้วยไอเดียที่เข้าถึงผู้ชม
แถมเดี๋ยวนี้ ผู้กำกับถูกบีบคั้นด้วยงบประมาณที่ลดลง บนความคาดหวังเรื่องคุณภาพเท่าเดิม ทำให้ไม่สามารถที่จะทำงานแบบเดิมได้อีก สิ่งที่ต้องทำคือต้องพูดคุยกับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด
มองภาพรวมของโฆษณาไทยว่ายังไง
ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้รับรางวัลมากก็เลยทำให้ทั้งโลกรู้จักหนังโฆษณาแบบ 'ไทย สไตล์' คือ ตลก ขบขัน ไม่เครียด ซึ่งก็กลายเป็นหนังที่เข้าถึงผู้ชมได้ทั่วโลก เป็นจุดเด่นที่ฉีกออกจากหนังโฆษณาประเทศอื่นๆ ทำให้ผู้กำกับไทยได้รับความสนใจมากขึ้น
แต่ก็ไม่อยากพูดว่าไทยจะเป็นเทรนด์เซตเตอร์ของวงการหนังโฆษณาโลกตลอดไป เพราะจริงๆ แล้ววงการนี้มันวูบวาบอยู่ตลอด ถึงงานไทยจะมีสไตล์ที่ชัดมาก แต่ก่อนไทยจะดัง หนังแขกก็มาแรงมาก แต่ก็อยู่ไม่นาน เป็นเรื่องปกติของวงการ
ผู้กำกับไทยถ้าเก่งมากไปก็จะกลายเป็นน่าเบื่อ ไม่มีอะไรใหม่ เปิดทีวีก็มีแต่หนังเศร้า หนังสวย หนังตลก คุณภาพก็เหมือนเดิม แต่ไม่มีอะไรใหม่ในแง่ไดเร็คชั่นเลย
อย่างงานตัวเอง บางทีก็สนุก บางทีก็น่าเบื่อ บางทีก็ฝืด คนก็ไม่เข้าใจ บางทีก็ใหม่เกินไปจนดูไม่รู้เรื่องเลยก็มี แต่ก็เป็นอาชีพที่ต้องทำไป ก็เหมือนๆ กันทุกคนนั่นแหละ ใครๆ ก็มีสิทธิพลาดได้
ทางที่ดีคือทำตัวเหมือนคนไม่มีประสบการณ์จะดีกว่า คิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่หมด แล้วก็จะทำงานอย่างสนุก ไม่อยากให้ผู้กำกับติดกับคำว่า 'แม่น' เพราะแม่นมากๆ ก็จะกลายเป็นจำเจ ขอ 'ไม่แม่น' จะสนุกกว่า
ปานใจ ปิ่นจินดา