Friday, 3 August 2007

Advertising News

นายสาธิต กาลวันตวานิช ประธานกรรมการ และผู้กำกับ บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด ผู้นำธุรกิจผลิตภาพยนตร์โฆษณา เปิดเผยถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์โฆษณาในปี 2549 ว่า หากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็อาจส่งผลต่องบประมาณที่ใช้ในการทำภาพยนตร์โฆษณาเป็นอันดับแรก ซึ่งแน่นอนว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นเนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาหรือโปรดักชั่นเฮาส์ในประเทศรวมกว่า 50 บริษัท อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าบริษัทที่มุ่งเน้นการผลิตผลงานคุณภาพยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะผลงานโฆษณาที่สามารถสร้างการจดจำในกลุ่มผู้บริโภคซึ่งต้องอาศัยผู้กำกับที่มีความคิดสร้างสรรค์ และทีมงานเบื้องหลังที่สามารถเพิ่ม Production Value ให้กับภาพยนตร์ได้ภายใต้ระยะเวลาและงบประมาณที่จำกัด

นายสาธิตกล่าวว่า ปัจจุบันมาตรฐานการผลิตภาพยนตร์โฆษณาในประเทศไทยเริ่มเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น โดยสังเกตได้จากผลงานภาพยนตร์โฆษณาในเมืองไทยหลายเรื่องสามารถคว้ารางวัลใหญ่ในระดับโลกได้ ขณะที่ต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาใช้ Production House ในประเทศไทยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของการผลิตภาพยนตร์โฆษณาหรือเป็น Hub ในภูมิภาคได้เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าโดยรัฐควรให้การสนับสนุนทั้งเรื่องของการพัฒนาบุคลากร และการส่งเสริมด้านกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเอื้อให้กับธุรกิจในประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ ในแต่ละปี บริษัทฯ มีสัดส่วนการรับงานต่างประเทศประมาณ 15 — 20% โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับการจัดอันดับจาก The Gunn Report ให้เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาที่ได้รับรางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก (The most awarded production house in the world in 2005) รวมทั้งคุณธนญชัย ศรศรีวิชัย ซึ่งเป็นผู้กำกับของบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาได้รับรางวัลมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก (The most awarded director in the world in 2005) เป็นครั้งที่ 2 ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการทำงานที่มุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์และทีมงานคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีผู้กำกับ 11 คน Producer 10 คน และมีบุคลากรเบื้องหลังรวมประมาณ 150 คน

"เราคิดว่าเรามีสิทธิที่จะก้าวเป็นที่ 1 ในเอเชีย เพราะจุดแข็งของทีมงานที่มีความยืดหยุ่นสามารถทำลายข้อจำกัดด้านต่างๆ แต่การจะก้าวสู่ระดับโลกได้โดยส่วนตัวแล้วมองว่า Production House บ้านเรายังต้องพัฒนาเรื่องคนอีกมากทั้งเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ และการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มรายละเอียดให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้น สำหรับฟีโนมีนาเราให้ความสำคัญเรื่องคนมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีบริษัทฯ จะเปิดโอกาสให้กับพนักงานทั้งการจัดสัมมนาให้ความรู้และการแข่งขันผลิตผลงานเพื่อสร้างผู้กำกับใหม่ ๆ เข้าสู่วงการ"นายสาธิตกล่าว

ด้านนางยอดเพชร สุดสวาท กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ผลิตภาพยนตร์โฆษณารวมเฉลี่ยเดือนละ 11 เรื่อง มียอดบิลลิ่งประมาณ 250 ล้านบาท เมื่อรวมกับ บริษัท โปรโมโฟเบีย จำกัด และ บริษัท ต้องตาฟิล์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาในฟีโนมีนากรุ๊ปที่เปิดขึ้นมาเพื่อรับงานผลิตภาพยนตร์โฆษณาโดยแบ่งงานตามงบการผลิตแล้ว บริษัทฯ มียอดบิลลิ่งรวมประมาณ 400 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ของธุรกิจ

"ในแต่ละปีบริษัทฯ จะไม่มีการตั้งเป้าว่าจะเติบโตเท่าไหร่เพราะเราเชื่อว่าการมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพเป็นการสร้างศักยภาพในการแข่งขันที่ยั่งยืนกว่า ซึ่งจากการทำงานมา 12 ปี ผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพและปริมาณงานจะเข้ามาจากชื่อเสียงและการยอมรับ แต่การได้รางวัลมากที่สุดไม่ใช่จุดที่ทำให้เราหยุดนิ่ง เพราะเรายังต้องพัฒนาคนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงาน Post Production ที่ต้องทันเทคโนโลยีเพื่อ support งานลูกค้าให้ได้ การทดลองสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน จะเป็นทิศทางที่สำคัญของเราในการบรรลุฐานความรู้ ความเข้าใจใหม่ ๆ ให้กับมาตรฐานการผลิตภาพยนตร์โฆษณาไทย" นางยอดเพชรกล่าว

สำหรับแผนงานในปีนี้ บริษัทฯยังคงรับงานผลิตภาพยนตร์โฆษณาทั้งในประเทศและต่างประเทศตามปริมาณผู้กำกับและทีมงานที่มีอยู่โดยเฉลี่ยคาดว่าจะไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10 เรื่อง และในปีนี้ บริษัท ฟีโนมีนา โมชั่นพิคเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทฯในเครือยังมีผลงานด้านภาพยนตร์อีก 1 เรื่องซึ่งจะเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2549 คือ "เด็กหอ" ภายหลังประสบความสำเร็จจากเรื่อง "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" ในปี 2547 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายธุรกิจที่สนับสนุนกับธุรกิจหลัก ด้วยการเปิดบริษัท ซูโด้ เอฟเฟ็คซ์ จำกัด (Pseudo Effects Co.,Ltd.) เพื่อรับงานด้าน Computer Graphic, Motion Graphic, Visual Effect และ Animation ซึ่งจะสามารถรับงาน Production House ภายนอกด้วย โดยคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมีอัตราการเติบโตเช่นเดียวกับทุก ๆ ปีคือประมาณ 20 %