Wednesday, 23 April 2008

รู้สึกอย่างนี้ตลอดเวลาและรู้สึกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังหาช่องทางไม่ได้

“ผมมีความอบอุ่นมากกว่าความรั่ว”



ทดสอบ



ฝีมือการแสดงของ นิมิตร ลักษมีพงศ์ หรือดีเจบ็อบบี้ เป็นที่จดจำของนักดูโฆษณาจากหลากหลายบทบาท อยากรู้ว่าเขาทำได้ไง ต้องลองอ่านดู



..................



เริ่มเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาได้อย่างไร



ต้องย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ช่วงที่เล่นละครทีวีของคลิ๊กเทเลวิชั่นกับพี่ตั้ว น้องในทีมงาoคนนึงที่เป็นฟรีแลนเซอร์ให้กับฟีโนมีน่าก็บอกว่ามีโฆษณาตัวนึงที่ต้องการคาแรคเตอร์แบบผม ทำไมไม่ลองเข้าไปแคสท์ดู เราก็ไม่เคยคิดว่าหน้าบ้าน ๆ ตัวเตี้ย ๆ อย่างเรา จะมีใครสนใจ แต่ก็ขำ ๆ ลองดู ไม่คิดอะไร ตอนไปแคสท์พี่ต่อก็เฮ้ยเอ็งมาทำอะไรที่นี่วะ ผมก็บอกว่ามาแคสท์งาน คือผมรู้จักกับพี่ต่ออยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่สนิท รู้แค่ว่าพี่เขาเป็นผู้กำกับโฆษณา ดังมาก แต่ผมก็ไม่ได้งานนั้นนะครับ เรื่องแรกที่ได้คือโฆษณาโฮมโปร เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่เป็นเรื่องแฟนพาไปรู้จักกับที่บ้าน เราก็เห็นคุณยายเป็นเครื่องตัดหญ้า เห็นคุณพ่อเป็นเฟอร์นิเจอร์ เห็นแฟนตัวเองเป็นชักโครก หลังจากนั้นก็ได้เล่นมาเรื่อย ๆ ถึงตอนนี้ก็ประมาณ 10 เรื่องแล้ว ส่วนใหญ่จะเล่นกับพี่ต่อ แต่มี ออสแรม ที่ออกอากาศเมื่อตอนต้นปีที่กลับบ้านตอนตีสามแล้วเราก็มีรอยลิปสติก แต่บอกกับเมียว่าไปประชุม อันนี้เป็นงานของพี่ตั้ม



ปีนึงมีหนังโฆษณาออกกี่เรื่อง



ปีที่แล้วจริง ๆ มี 3 ชิ้น คือ ออสแรม แล้วก็เครื่องดื่มชื่อ What’s ever แต่เรื่องนี้ไปแอร์ในสิงคโปร์ คือเขามาจ้างโปรดักชั่นเฮ้าส์ในเมืองไทยถ่าย และ ธนพัฒน์ ก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าช้ำไปไหม เริ่มรู้สึกตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งมีงาน 3-4 เรื่อง ในช่วงเวลาที่ค่อนข้างติดต่อกัน หรือซ้อนกันด้วย ทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธที่จะไปแคสท์เยอะกว่างานที่ไปแคสท์ เพราะบางบทก็ซ้ำกับสิ่งที่เราเคยเล่นผ่านมาแล้ว แต่ก็มีบางครั้งไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเพราะกลัวคนมองว่าเราหยิ่ง ก็จะใช้วิธีการเรียกค่าตัวแพง ๆ ครับ ซึ่งก็ได้ผลครับ แต่ถ้าเป็นบทที่อยากเล่นมาก ๆ ก็แทบไม่เรียกร้องอะไรเลย อย่างตอนที่เล่นหนังเรื่องแฝด อ่านบทปุ๊บอยากเล่นมาก แล้วเราก็ชอบผู้กำกับชัตเตอร์อยู่แล้วด้วย ที่สำคัญได้เล่นกับพี่มาช่า ใครจะไม่เอา ครั้งนึงในชีวิต งานนี้แทบไม่ต้องคุยตัวเลขกันเลย ผมว่าอยู่ที่ความพึงพอใจของเรากับงานนั้น ๆ มากกว่า ยึดหลักว่าอะไรที่เราสนุกกับมัน



ทำไมส่วนใหญ่มักได้รับบทตลก



ไม่รู้ซิ อาจจะเป็นเพราะคนมักจะติดอะไรที่ดูรั่ว ๆ ของเรา ทั้ง ๆ ที่ตอนเล่น เราก็ไม่ได้คิดว่าต้องเล่นให้ตลก แต่ว่าเราเล่นจริง ๆ อย่างเช่นเรื่องทิชชู่ เราปวดท้องจริง ๆ ขี้จะแตกจริง ๆ หรือคอนโดธนพัฒน์ เราก็โกหกจริง ๆ ตีหน้าตายจริง ๆ แต่ด้วยความจริงจังของเราทำให้คนขำ แต่บางครั้งการที่คนมองว่าเราเล่นอะไรแต่ตลก ๆ ก็มีผลกับงานอย่างอื่นที่เราอยากทำและคิดว่าทำได้เหมือนกัน อย่างเช่น เคยไปแคสท์งานชิ้นนึงเกี่ยวกับเงินด่วนแล้วต้องเล่นดราม่า แล้วช่วงที่แคสท์เราก็เล่นดราม่า แต่ด้วยความที่เขาติดกับภาพเดิมของเรา ลูกค้าก็นั่งขำ คือมันก็เป็นผลเสียกับการที่จะไปรับงานอะไรที่จริงจังมากขึ้น ก็แย่เหมือนกัน



มีคาแรคเตอร์ไหนที่อยากเล่นในหนังโฆษณา



น่าจะเป็นบทเมโลดรามาแบบจริงจัง ที่ไม่ขำ น่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเล่นได้ เช่น ดรามาแบบอบอุ่น ผมว่าผมมีคาแรเตอร์ความอบอุ่นอยู่ในตัวมากกว่าความรั่ว อยากเล่นอะไรกับเด็ก รักเด็ก เหมือนปีที่แล้วที่ได้สะพายเด็กไว้ข้างหลัง ก็สนุกดี แต่เด็กงอแงมากเลย ร้องไห้ เรื่องนั้นตอนถ่ายต้องใช้เด็ก 4 คนที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน ลักษณะใกล้เคียงกัน พอเด็กคนนึงร้องไห้ พี่ต่อก็ เอาออก เอาออก เอาคนใหม่มา แล้วมันร้อน เด็กก็ร้องกระจองอแง ทั้ง ๆ ที่คัดแล้วว่าเด็กพวกนี้โตมากลับการกระเตงอยู่ข้างหลังด้วยเป้ แต่ก็สนุกดี



แล้วบทไหนที่เล่นไม่ได้



ถ้าถามชัดเจนคงตอบไม่ได้ แต่ถ้าได้อ่านบทแล้วจะรู้ เพราะตัวละครบางตัวมันจะมีบางฉากที่รู้สึกว่าถ้าเล่นแล้วคงไม่ดี เคยไปแคสท์งานพี่เจ้ย อภิชาติ เรื่องที่ถูกแบนไม่ให้ฉาย คือไปแคสท์เป็นทันตแพทย์ที่เป็นเกย์ เปิดคลีนิกอยู่ต่างจังหวัด หลงรักพระ แถมร้องเพลงลูกทุ่ง ผมเล่นได้หมดแต่ติดอยู่อย่างเดียวคือร้องเพลงลูกทุ่ง แต่ก็ไปแคสท์เพื่อเป็นเกียรติประวัติของตัวเอง เพราะผมชอบงานคุณเจ้ย ทั้งที่รู้อยู่ในใจว่ากูไม่ได้แน่ ต้องร้องเพลงลูกทุ่งนี่ร้องไม่เป็น มันยากนะ



แล้วก็มีงานนึงเขาติดต่อมาแล้วเราอยากเล่นมาก เพราะไม่ค่อยมีใครให้บทแบบนี้ คือเล่นกับเด็กอนุบาล 2 เป็นพ่อที่อบอุ่น แต่แคสท์ไม่ผ่าน เป็นหนังของอาร์เอสที่กำลังถ่ายกันอยู่ตอนนี้ของดรีมทีม



เคยคุยกับผู้กำกับไหมว่าทำไมเลือกเราไปเล่น ไปแคสท์



เขาก็มักอ้างอิงงานโฆษณาแต่ละตัวที่เขาชอบ บางคนก็บอกชอบเบียร์เชียร์ที่กินกล้ามปู เห็นความเป็นดราม่าของเราตรงนั้น บางคนก็ชอบทิชชู่



มีคนทักไหม เวลาหนังโฆษณาออกฉาย



ทักนะ ขึ้นอยู่กับช่วงนั้นเรื่องไหนออก แต่ผมว่ากลุ่มที่ชอบผมมาก ๆ ขนาดที่เรียกว่าเราเป็นไอดอล เป็นฮีโร่ เป็นคนสร้างแรงบันดาลใจให้เขา มักเป็นเด็กวัยรุ่น พวกเด็กแฟ็ต เด็กแนว เด็กแว้น ประมาณนี้ อาจจะเป็นเพราะเราเซอร์ ๆ แต่งตัวแบบเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แล้วเวลาไปไหนเราก็ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือเดินสะพายเป๋ ก็เลยได้เจอกับเด็กกลุ่มที่ได้ดูโฆษณา เด็ก ๆ ก็จะมาทัก มาขอถ่ายรูป มากอด ซึ่งส่วนมากจะเป็นวัยรุ่น หรือบางคนก็รู้ว่าเราเป็นดีเจด้วย



คุณบ็อบบี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นดีเจ แต่เวลาเล่นโฆษณาทำไมไม่ได้เล่นเป็นตัวเองบ้าง



อ้อ ตัวเองเป็นคนจืดชืดครับ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ตัวก็เล็ก ขาวเผือก หน้าก็ตี๋บ้าน ๆ ชีวิตประจำวันก็แสนเรียบง่าย เขาก็เลยให้เล่นเป็นคนอื่น ซึ่งผมก็เคยอ่านแมกกาซีนที่เขาสัมภาษณ์ดาราฮอลลีวูดหรือดาราไทย หลายคนก็มักพูดว่า อาชีพนี้สนุกตรงที่เราได้เป็นคนอื่น ได้เป็นในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นในชีวิตประจำวัน ผมว่าก็จริง คือเวลาได้ไปเป็นอย่างอื่น เราก็จะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันที่ชีวิตมีรสชาติอีกแบบหนึ่ง

แล้วตัวผมเองเป็นคนขี้อาย ไม่มีความเชื่อมั่น ยิ่งอยู่ต่อหน้าคนเยอะ ๆ ก็จะประหม่า จริง ๆ เป็นคนอย่างนั้น แต่เวลาไปแสดงจริง ๆ ก็เป็นการทำตามหน้าที่ ได้ทีมงานที่แข็งแรงช่วย มีน้อง ๆ ช่วยโค้ชด้านการแสดง คือพอไปทำเหมือนกับเป็นอีกบ้านที่คุ้นเคย

เป็นดีเจ เล่นหนัง เล่นละคร เล่นโฆษณาทำมาหมดแล้ว ยังมีอะไรที่อยากทำอีก

ยังมีเยอะมาก แต่ไม่เกี่ยวกับการแสดง อยากทำงานเกี่ยวกับเยาวชน สังคม เกี่ยวกับเด็กวัยรุ่น แต่ยังหาทางไม่เจอว่าจะไปทำจุดนั้นได้อย่างไร เพราะส่วนตัวอย่างที่บอกว่าเวลาไปไหนก็มักจะมีวัยรุ่นเข้ามาหา เหมือนกับว่าข้างในลึก ๆ ของเรามีแรงดึงดูดพวกเขา และรู้สึกว่าถ้าผมแนะนำอะไรเขามักจะเชื่อ เพราฉะนั้นถ้าได้ทำงานร่วมกับเขาผมน่าจะทำได้ดี ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ผมคิดว่าจะเข้าไปช่วยงาน Help Line ของ Samaritan ที่ช่วยเหลือคนที่มีปัญหาชีวิต แต่ว่าต้องผ่านการอบรมในช่วงเดือนมิถุนา พอดีมีละครต้องเล่นก็เลยไม่ได้ไป นี่ยังคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะได้ช่วยเหลือวัยรุ่น อย่างเวลาเห็นวัยรุ่นที่ทำผิดแล้วถูกส่งเข้าสถานพินิจ ก็จะรู้สึกว่าถ้าเราได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาก่อน เราอาจจะช่วยอะไรเขาได้ รู้สึกอย่างนี้ตลอดเวลาและรู้สึกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังหาช่องทางไม่ได้