Thursday 24 April 2008

Dreams : ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว

สืบเนื่องจากรัฐบาลไทย สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ และมติของมหาเถรสมาคมที่ต้องการให้นำเอาพระไตรปิฏกมาสร้างเป็นภาพยนตร์เพื่อให้วัยรุ่นและคนทั่วไปมีโอกาสได้รู้เรื่องราวของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นสิ่งเคารพสูงสุดของพุทธศาสนิกชนทั่วโลกด้วยงบ 1,200 ล้านบาท (เป็นงบจากรัฐบาล 700 กว่าล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินที่พุทธศาสนิกชนบริจาคและสะสมกันมานานมาก) ในความเห็นของผมนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นการนำสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์มาเผยแพร่ในคนทั่วไปได้รู้ อย่างน้อยเยาวชนทั่วไปได้เรียนรู้ไปด้วย

แต่ปัญหาของ พระไตรปิฎกฉบับ “ภาพยนตร์” คือ การเลือกตัวนักแสดงที่ไม่มีความเหมาะสม โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็น นายแบบแนวสยิว ชื่อ มาร์ค สงกรานต์ (สโคลส์) ทัพมณี รับบทพระพุทธเจ้า [อ่านเพิ่มเติม]

ผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่คิดว่านักแสดงที่คัดเลือกนั้นไม่มีความเหมาะสมทางจริยธรรม ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคัดเลือกกันอย่างไร หรือด้วยวิธีใด แต่หากประวัติของคนที่จะรับบทพระพุทธเจ้าเป็นแบบนี้จริง ผมคิดว่าอย่าทำภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อไปเลย เสียดายเงินภาษีประชาชน เพียงแค่นักแสดงที่คัดเลือกมาก็เกิดปัญหาแล้ว ถ้าหากอยากทำจริงก็ทำเป็นการ์ตูนจะดีกว่า ไม่กระทบกับเรื่องส่วนตัวของนักแสดงแต่ะคนด้วย แต่ถ้าต้องการจะทำเป็นภาพยนตร์จริงๆ น่าจะไปสรรหานักแสดงที่เหมาะกว่านี้จะดีกว่านี้ ลองมาดูประวัติของ คีอานู รีฟส์ ผู้รับบทพระพุทธเจ้าใน Little Buddha โดยคัดลอกจาก มาตรฐาน “ดารา” ผู้ที่จะมาเป็น “ศาสดา” ของชาวโลก ดังนี้

คีอานู รีฟส์ ดาราผู้สันโดษดั่งพระเวชสันดร

คงปฎิเสธไม่ได้ว่านักแสดงที่โด่งดังที่สุดที่เคยมารับบทเป็นพระโคตมพุทธเจ้า ศาสดาของชาวพุทธทั่วโลก คงหนีไม่พ้น คีอานู รีฟส์ ในผลงานเรื่อง Little Buddha ภาพยนตร์ปี 1994 ของยอดผู้กำกับรางวัลออสการ์ชาวอิตาลี เบอร์นาร์โด แบร์โตลุชชี ผู้ที่เคยฝากผลงานสนั่นเวทีออสการ์จากเรื่อง The Last Emperor (1987)

นักแสดงชาวแดนนาเดียนที่มีเชื้อสายอังกฤษ, ฮาวายและจีนที่เกิดในครอบครัวที่แตกแยกผู้นี้ แม้ในช่วงไฮสกูลความสามารถในการเล่นฮอกกีของเขาจะโดดเด่นจนได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของทีม แต่ความสนใจที่แท้จริงของเขาอยู่ที่การแสดง จนสุดท้ายเขาต้องเลิกเรียนกลางคันเพื่อที่จะตั้งต้นในเส้นทางการแสดงที่เขาชอบอย่างเต็มตัว

หลังจากมีผลงานในละครโทรทัศน์และโฆษณาอยู่หลายเรื่อง ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือหนังตลกเบาสมอง Bill & Ted’s Excellent Adventure (1989) ทำให้เส้นทางการแสดงของเขาเริ่มฉายแสงขึ้นมา ทั้งผลงานระดับทำเงินอย่าง Point Break (1991) หรือหนังที่ได้เสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่าง My Own Private Idaho (1991)

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่ “แข็ง” มากๆ ในบทที่ต้องแสดงความซับซ้อนทางอารมณ์ แต่ถ้าเป็นบทที่เกี่ยวกับ “วีรบุรุษผู้เพียบพร้อมสง่างาม” หรือ “ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว” นั้น จะหาใครที่สวมบทได้เหมาะสมไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Speed หนังแอ็คชันสุดดังแห่งปี 1994 ที่ทำเอาสกินเฮดกลายเป็นทรงผมฮิตจนทุกวันนี้ Johnny Mnemonic (1995) กับ Constantine (2005) ก็เป็นบทที่เหมาะกับเขาอย่างมาก และยากที่จะจินตนาการเหลือเกินว่าใครจะมาแสดงเป็น The One หรือ Neo ในไตรภาค The Matrix (1999) แทนเขาไปได้

ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เอง ที่ทำให้เขาถูกเลือกให้มาเป็น “ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว” ในบทสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่อง Little Buddha ได้อย่างสง่างาม ทั้งตอนที่รับบทเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เด็กหนุ่มที่มีปฎิภาณ, ตอนบำเพ็ญทุกกรกิริยาจนผอมโซหนังหุ้มกระดูก, จนถึงตอนเอาชนะมารผจญจนกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้อย่างน่าชื่นชม ภาพลักษณ์ที่รีฟส์แสดงออกมาในฐานะผู้ที่กลายเป็นศาสดาของพุทธศาสนาช่างเปร่งประกาย จนตัวเขาไม่ต่างจากพระพุทธรูปที่ผู้คนกราบไหว้บูชาแม้แต่น้อย

ในฐานะบุคคลธรรมดาคนหนึ่งนั้น ชีวิตของรีฟส์มีความน่าสนใจมาก แม้จะเทียบกับบรรดานักแสดงหนุ่มสุดเซอร์ด้วยกันอย่างจอห์นนี เด็ปหรือแบรด พิตต์ก็ตาม

ชีวิตของนักแสดงผู้นี้พัวพันกับเรื่อง “ทุกข์” มาตลอด ทั้งความสัมพันธ์ที่ผ่านเหินกับคุณพ่อขี้คุก, การหมดเงินค่าหมอเพื่อรักษาชีวิตคิม น้องสาวที่ป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวไปกว่า 5 ล้านเหรียญ, ลูกสาวคนเดียวของเข้าต้องมาแท้งไปเมื่อปี 1999 ซึ่งผู้เป็นแม่อย่าง เจนนิเฟอร์ ซิมป์ ทีมงานเบื้องหลังกองถ่ายที่เป็นแฟนกับเขาก่อนจะแยกทางกันไปและรักษาความเป็นเพื่อนต่อกันไว้ กลับต้องมาเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าอีกในอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อปี 2001 โดยมีรีฟส์เป็นหนึ่งในผู้แบกหีบศพให้กับแฟนเก่าผู้นี้ในพิธีด้วย

ในฐานะนักแสดงมืออาชีพที่เรื่องค่าตัวเป็นเหมือนเรื่องคอขาดบาดตาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีผลต่อการตัดสินใจของบุรุษผู้นี้ ผู้ที่เคยปฏิเสธรายได้มหาศาลถึง 11-12 ล้านเหรียญเพื่อให้กลับมาเล่นในภาคต่อของ Speed โดยหันมารับเล่นในหนังเข้มข้นมากกว่าอย่าง The Devil’s Advocate แทน พร้อมทั้งทำสิ่งที่ไม่มีดาราฮอลลีวูดที่ไหนกล้าทำอย่างยอมลดค่าจ้างเป็นเงินนับล้านเหรียญเพื่อให้ทางค่ายหนังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเพิ่มเป็นค่าตัวให้ดาราคุณภาพอย่าง อัล ปาชิโน มาร่วมแสดงด้วยกัน และทำแบบนั้นซ้ำอีกครั้งด้วยการเฉือนรายได้ตัวเองเพื่อให้ค่ายหนังไปดึงตัว ยีน แฮคแมน ดารารุ่นใหญ่อีกคนให้มาร่วมงานกันในเรื่อง The Replacements

แม้จะเป็นนักแสดงระดับเอลิสต์ที่ทำเงินได้นับล้านเหรียญ แต่เป็นที่รู้กันว่าเขามักจะใช้ชีวิตแบบสันโดษโดยไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่ง นอกจากจะไปเยี่ยมน้องสาวแท้ๆ อย่างคิมในบ้านที่เขาซื้อให้เธอที่เกาะคาปรีของประเทศอิตาลีหลังจากที่ป่วยอยู่เสมอๆ

รีฟส์มักได้รับเสียงร่ำลือจากสื่อและแฟนหนังถึงความมีจิตใจกว้างขวาง ในเรื่องการอุทิศความเป็นส่วนตัวทั้งเวลาและทรัพย์สิน ทุกครั้งที่เขาเสร็จจากการแสดงดนตรีในฐานะมือเบสของวงเฉพาะกิจของเขา เขาจะไม่ละเลยที่จะเจียดเวลาแจกลายเซ็นหรือถ่ายรูปกับแฟนๆ ที่ยืนรอตากลมหนาวเพื่อพบเขาเสมอ และเป็นหนึ่งในนักแสดงไม่กี่คนที่รับมือกับเหล่าปาปาราซซีได้อย่างมืออาชีพ

ในขณะที่ดาราทั่วๆ ไปมักจะห่างเหินทีมนักแสดงสตันท์ที่เสี่ยงตายร่วมงานกันในหนังของพวกเขา หรืออย่างมากก็แค่แสดงความนับถือด้วยวาจาหรือสละเวลาอันมีค่าของพวกเขาไปร่วมในงานทอรัส อวอร์ด(งานแจกรางวัลเพื่อนักแสดงสตันท์โดยเฉพาะ) แต่รีฟส์ทำสิ่งตอบแทนที่ชัดเจนยิ่งกว่าด้วยการซื้อมอเตอร์ไซค์ Harley Davidson สุดหรูจำนวน 12 คันเพื่อเป็นของขวัญแก่บรรดาทีมสตันท์ในผลงานไตรภาค The Matrix ที่ร่วมหัวจมท้ายกับเขา ร่วมทั้งมีชื่อเสียงในการ “จ่ายหนัก” เสมอเมื่อมาถึงเรื่องการบริจาคเพื่อการกุศล

การศึกษาพระธรรมในระหว่างรับบทเป็นพระพุทธเจ้าได้ทำให้คนที่ไม่มีศาสนาอย่างรีฟส์รู้ซึ้งในรสพระธรรม ในฐานะชาวพุทธและผู้ต่อต้านสงครามอย่างจริงจัง เขาปฏิเสธบทหนังมาแล้วนับไม่ถ้วน ถ้าหากว่ามีเนื้อหาที่ส่งเสริมความรุนแรงมากเกินไปในมุมมองของเขา จึงเป็นเหตุให้เขามีผลงานการแสดงที่ขาดช่วงไปในบางครั้ง

เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวว่ารีฟส์ได้ “รับ” อะไรบ้างจากวงการแสดงตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยอยู่ในลิสต์รายชื่อดาราผู้มั่งคั่งหรือทรงอิทธิพลจากการจัดอันดับของ Forbes หรือสำนักใดๆ ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้รางวัลออสการ์ เกียรติยศสูงสุดที่เพื่อนร่วมอาชีพของเขาใฝ่หา แต่สิ่งที่เขา “ให้” มาตลอดเวลาที่อยู่ในวงการทำให้เขาดำรงสถานะดาราระดับเอลิสต์ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งได้รับการจารึกชื่อลงบน Hollywood Walk of Fame เมื่อปี 2005 หรือได้รับโหวตจากแฟนๆ ทาง ETonline ให้เป็น 1 ใน 10 Top Ten of America’s Favorite Stars เมื่อปี 2006

ซึ่งการได้นักแสดงผู้นี้มาสวมบทเป็นพระพุทธเจ้า ถือเป็นการ “ให้เกียรติ” ของชาวตะวันตก ที่มีต่อชาวพุทธทั่วโลก ที่ถือเอาพระองค์เป็นสิ่งบูชาสูงสุดนิรันดรได้อย่างเหมาะสมที่สุด

หรือจะเป็น เจมส์ คาวีเซล ผู้รับบทพระเยซูใน The Passion of the Christ

เจมส์ คาวีเซล บุรุษผู้อุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

เจมส์ คาวีเซล อาจจะเคยเริ่มต้นการแสดงในบทเล็กๆ จากเรื่อง My Own Private Idaho เคียงข้างกับคีอานู รีฟส์และริเวอร์ ฟินิกส์ 2 ดาราใหญ่ในวันนั้น แต่ไม่ว่าผลงานเรื่องต่อๆ มาเป็นเช่นไร (Wyatt Earp,The Rock,The Thin Red Line) หรือเขาจะรับเล่นเรื่องอะไรอีกตลอดช่วงชีวิตนักแสดงที่เหลือของเขา บทบาทเดียวที่ผู้คนจะนึกถึงเสมอเมื่อพูดถึงชายผู้นี้คงได้แก่ พระเยซูเจ้า ในผลงานปี 2004 ของผู้กำกับรางวัลออสการ์(Braveheart 1995)ผู้ยึดมั่นในศาสนา เมล กิ๊บสัน The Passion of the Christ

ต่างจาก The Last Temptation of Christ ผลงานปี 1988 ของยอดผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี ที่ดัดแปลงเรื่องราวของพระเยซูในมุมมองใหม่จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกคริสเตียน The Passion of the Christ หนังทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1,200 ล้านบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินในปีที่ออกฉาย) ดำเนินตามเรื่องราวในไบเบิลได้ “ใกล้เคียง” กับประวัติของพระเยซูในพันธสัญญาใหม่ แต่กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่เป็นข้อโต้เถียงกันอยู่ โดยเฉพาะการโยนความผิดสาเหตุการสิ้นพระชนชีพบนไม้กางเขนของพระเยซูให้ตกเป็นของชาวยิวแต่เพียงผู้เดียว

แต่สิ่งที่ไม่ได้สร้างข้อโต้แย้งให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวคริสต์อันเนื่องมาจากการสร้างหนังเรื่องนี้เลยก็คือ การรับบทเป็นบุตรของพระเจ้าของ เจมส์ คาวิเซล นักแสดงที่อุทิศตนให้กับศาสนามาอย่างช้านาน

เจมส์ คาวีเซล เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางที่เคร่งศาสนานิกายโรมันคาธอลิค เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนคาธอลิค ก่อนที่จะเป็นนักบาสเก็ตบอลชื่อดังของมหาวิทยาลัย แต่อาการบาดเจ็บที่เท้าทำให้เขาต้องล้มเลิกความตั้งใจในการเป็นนักบาสในเอ็นบีเอ แล้วหันความสนใจมาที่วงการแสดงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากที่เขาถ่ายทำ The Passion of the Christ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ทางทีมงานได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ที่กรุงวาติกัน ซึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรผลงานเรื่องนี้ด้วย และทรงพอพระทัยอย่างมาก ทรงตรัสว่าเรื่องราว “ถ่ายทอดอย่างที่บัญญัติเอาไว้” ซึ่งในฐานะชาวคาธอลิคที่เคร่งครัดมาตลอดชีวิตอย่างคาวีเซล การได้เข้าพบประมุขสูงสุดของศาสนจักรจากการแสดงผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาทั้งตื้นตันและปลาบปลื้มใจอย่างมาก

หลังจากผลงานในเรื่อง The Passion แล้ว กิจกรรมทางด้านศาสนาของคาวีเซลก็ไม่ได้ลดหย่อนลงเลย เขาและเคอร์รีภรรยาซึ่งเป็นคุณครูผู้อุทิศตนเพื่อศาสนาด้วยกันทั้งคู่ ต่างร่วมมือในงานทางด้านศาสนาในชุมชนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยผลงานชิ้นล่าสุดของเขาได้แก่การให้เสียงเป็นพระเยซูเจ้าอีกครั้งในละครเสียงเรื่อง The Word of Promise ที่จะถ่ายทอดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2007 นี้

ในฐานะนักแสดงมืออาชีพ สำหรับเขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับบทวาบหวิว ทั้งกับสาวเซ็กซี่อย่าง แอชลีย์ จัดด์ ใน High Crimes หรือ เจนิเฟอร์ โลเปซ ใน Angel Eyes แต่ตัวเขาเองให้ทัศนะว่ามันเป็น “บทที่ถ่ายทอดความรัก ไม่ใช่ตัณหา” ซึ่งเมื่อตอนที่เข้าฉากด้วยกัน พอถึงตอนที่สาวหุ่นสบึมอย่างเจ.โล.กำลังจะเปลื้องผ้า เขาได้หยุดเธอไว้แล้วขอร้องให้เธอรักษาสุดชั้นในเอาไว้บนเรือนกายของเธอเช่นเดิม เพราะเขาจะรู้สึกผิดที่ต้องอยู่กับสาวร่างเปลือยเปล่าที่ไม่ได้แต่งงานด้วย โดยยืนยันในสิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ในโลกไม่สามารถทำได้ว่า “ถันเปลือยเปล่าที่จะอยู่ต่อหน้าผม ต้องเป็นของภรรยาเท่านั้น” โดยเขาเผยเคล็ดลับการครองชีวิตคู่ 14 ปีกับภรรยาว่าที่ผ่านมาด้วยดีทุกวันนี้เพราะความสม่ำเสมอในการใช้คำพูดว่า “ผมผิดเอง” และ “ผมเสียใจ” โดยเมื่อปีที่แล้วทั้งสองเพิ่งจะรับเด็กชายชาวจีนที่เป็นโรคเนื้องอกในสมองมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม

ทุกวันนี้คาวีเซลยังคงสวดภาวนากับลูกประคำทุกวันเยี่ยงคาธอลิคผู้ศรัทธาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

จากประวัติของนักแสดงทั้ง 2 คนน้ัน คงไม่มีใครมีปัญหากับนักแสดงที่ต้องรับบท ศาสดาเอก ของศาสนา แต่สำหรับภาพยนตร์ที่กำลังจะสร้างนั้น มีการคัดเลือกนักแสดงที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นทางทีมงานควรไปสรรหานักแสดงที่เหมาะสมเสียก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง สำหรับงบประมาณ 1,200 ล้านบาทนั้นคิดว่าน่าจะมากเพียงพอในการสร้างการ์ตูนได้ ดีกว่าเอาไปจ้างคนที่ไม่เหมาะสมมาแสดงแล้วไม่มีใครดู ทำทั้งทีก็ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดจะดีกว่า

LINK: http://kiterminal.wordpress.com/category/buddhism/