Saturday 26 April 2008

"ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาตร์ สอนให้ฉันรักประชาชน"

"ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาตร์ สอนให้ฉันรักประชาชน"
จิตวิญญาณของธรรมศาตร์ มันหายไปไหนกันหมดแล้วนี่......

20 พฤศจิกายน
กลับมาแว้นจ้า
กว่าจะได้มาอัพสเปซของตัวเอง คิดถึงจัง เพราะแป้นพิมพ์ใช้ไม่ได้ช่วงนึง มันเจ๊ง เลยได้แค่ไปโพสท์ข้อความสั้นๆตาม hi5คนอื่น
ตอนนี้ซื้อมาใหม่แล้วคีย์บอร์ดตัวหนังสือเล็กเท่าจิ๋มมด แถมมีตัว ฃ กะ ฅ มาให้ด้วย อยู่ตรงตำแหน่ง ปุ่ม enter ปุ่มใหญ่(ปกติจะเป็นรูปตัวแอลกลบหัว อันนี้ย่อให้เหลือเท่าแค๊ปล๊อคส่วนด้านบนเป็นไอ2ตัวนั่นแหละ แต่ตัวหนั
สือเล็กจิงๆ ประมาณอังสนาขนาดประมาณ 8 เล็กมาก ซื้อมาไม่ดูเลยว่าคนเล่นนั้นอายุเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ดีคิดถึงสเปซตั้งนาน ตอนพิมพ์ไม่ได้เลยต้องเอาบทความที่ชอบมาลงแทน ตอนนี้พิมพ์ได้แล้วเลยมา ว่างๆจะมาบ่นต่อ ชะแว้บ

18 พฤศจิกายน
ตนทำบาปเอง...ย่อมเศร้าหมองเอง...

อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติตนทำบาปเอง...ย่อมเศร้าหมองเอง...การทำบาป...หมายถึง...การทำความชั่วร้าย...ความเลว.....ความไม่ดีทุกชนิด...ที่เรียกว่า...ทุจริต...มี ๓ อย่าง.....คือ...กายทุจริต...ทำชั่วด้วยกาย.....วจีทุจริต...ทำความชั่วด้วยวาจา.....มโนทุจริต...ทำความชั่วด้วยใจ.....มนุษย์ทั้งหลาย...รู้ทั้งรู้ว่า...บาปเป็นธรรมที่ชั่ว...เลว.....แต่ก็ยังทำอยู่อีก...เพราะยังฝึกตนเองไม่ได้.....บาปนั้น...เปรียบเสมือน...ปลาเน่า.....ถ้าเอาสิ่งใดไปห่อ...หรือกระทบเข้า.....สิ่งนั้นก็เหม็นไปด้วย...ฉันใด.....บาปนั้น...ถ้าเราทำมันเอง.....มันก็เปื้อนตัวเราเอง...ฉันนั้น...เช่นกัน.....(จากคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย มหานิทฺเทส)
0:28 เพิ่มข้อคิดเห็น ส่งข้อความ ลิงก์ถาวร ดูการติดตามข้อมูล (0) จัดทำ Blog
ไม่ควรพร่าประโยชน์ตน... เพราะประโยชน์ผู้อื่น..แม้มาก...
อตฺตทตุถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเยไม่ควรพร่าประโยชน์ตน...เพราะประโยชน์ผู้อื่น...แม้มาก.....ประโยชน์...หมายถึง...สิ่งที่จะพึงได้..พึงถึง..มี ๓ อย่าง คือ.....

18 พฤศจิกายน
ตนทำบาปเอง...ย่อมเศร้าหมองเอง...

อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติตนทำบาปเอง...ย่อมเศร้าหมองเอง...การทำบาป...หมายถึง...การทำความชั่วร้าย...ความเลว.....ความไม่ดีทุกชนิด...ที่เรียกว่า...ทุจริต...มี ๓ อย่าง.....คือ...กายทุจริต...ทำชั่วด้วยกาย.....วจีทุจริต...ทำความชั่วด้วยวาจา.....มโนทุจริต...ทำความชั่วด้วยใจ.....มนุษย์ทั้งหลาย...รู้ทั้งรู้ว่า...บาปเป็นธรรมที่ชั่ว...เลว.....แต่ก็ยังทำอยู่อีก...เพราะยังฝึกตนเองไม่ได้.....บาปนั้น...เปรียบเสมือน...ปลาเน่า.....ถ้าเอาสิ่งใดไปห่อ...หรือกระทบเข้า.....สิ่งนั้นก็เหม็นไปด้วย...ฉันใด.....บาปนั้น...ถ้าเราทำมันเอง.....มันก็เปื้อนตัวเราเอง...ฉันนั้น...เช่นกัน.....(จากคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย มหานิทฺเทส)

18 พฤศจิกายน
ไม่ควรพร่าประโยชน์ตน... เพราะประโยชน์ผู้อื่น..แม้มาก...
อตฺตทตุถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเยไม่ควรพร่าประโยชน์ตน...เพราะประโยชน์ผู้อื่น...แม้มาก.....ประโยชน์...หมายถึง...สิ่งที่จะพึงได้..พึงถึง..มี ๓ อย่าง คือ.....ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์........ประโยชน์ในภพนี้.....สัมปรายิกัตถประโยชน์.........ประโยชน์ในภพหน้า.....ปรมัตถประโยชน์................ประโยชน์อย่างยอดเยี่ยม.....ทั้ง ๓ อย่างนี้...เป็นทั้งประโยชน์ส่วนตัว..และประโยชน์ส่วนรวม.....ท่านสอนให้ทำประโยชน์..ส่วนตนก่อน.....แต่มิใช่สอนให้เป็นคนเห็นแก่ตัว.....แต่สอนเพื่อให้..คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน.....ทำประโยชน์..ส่วนตนให้สำเร็จก่อน.....เปรียบเหมือน..คนไข้รักษาคนไข้ด้วยกัน..ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย..แล้วจึงไปทำประโยชน์..ของผู้อื่น..ตามสมควรแก่กำลัง.....ความสามารถ..ของตนอย่างเต็มที่..ในภายหลัง.....(จากคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทคาถา)

ทุกข์(อื่น)ยิ่งกว่ากาม ย่อมไม่มี
นตฺถิ กามา ปรํ ทุกฺขํทุกข์ (อื่น) ยิ่งกว่ากาม...ย่อมไม่มี.....กามตัณหา...ที่ทะเยอทะยาน..ดิ้นรน.....อยากได้ใน..รูป..เสียง..กลิ่น..รส..สัมผัส..และ..อารมณ์.....ที่น่าปรารถนา..น่าชอบใจ..และในสิ่งที่เย็น..ร้อน..อ่อน..แข็ง.....มาตอบสนอง..ความต้องการของตนเอง.....และ..เป็นความอยาก..ที่ไม่มีที่สิ้นสุด.....จึงพยายามทุกวิถีทาง..ที่จะให้ได้มา..แม้จะลำบากเพียงใดก็ตาม.....

07 พฤศจิกายน
ยาพิษ
ยาพิษ ศิลปิน :บอดี้สลัม(3) อัลบั้ม:Save my grade เรื่องง่ายๆแต่ความหมายสุดลึกล้ำ เรื่องง่ายๆที่ตูเรียนประจำซ้ำไปซ้ำมา คิดจะตอบแต่ก็ตอบอย่างไม่คิด รู้ไหมว่าหนึ่งชีวิตของใคร ต้องเกิดปัญหา *เรียนซ้ำปางตาย ติดเอฟกระจาย คิดว่าคงได้D แต่แล้วเป็นไง... กับข้อสอบร้ายๆ **จะสอบ ยังคึกคัก จิ้งจกยังมาทัก แต่เราไม่เคยสน ก้อไปมั่วเอา อ่านโจทย์ก้อไม่รู้ ตาลายมองไม่เห็น ห้องแอร์ก้อไม่เย็น นาฬิกาตาย คำตอบที่ไม่เคยคิด ที่จริงก็คือยาพิษ ทำลายชีวิตของคนงงงวย เคยจะรู้บ้างหรือเปล่า คิดหรือเปล่า ว่าตัวเองนั้นจะซวย พิษของข้อสอบ ร้ายแรง แค่ไหน เพื่อนว่าง่าย อันตรายอย่างมหันต์ รู้ไว้ด้วยว่าความหมายของมันสำคัญ แค่ไหน

ป๊ะกะวี
วันนี้ไปช่วยวีแจกโบชัวร์ร้านนวดหน้าของแฟนมันมา เตยซะอย่างแจกอย่างมืออาชีพ คริคริ วันนี้ก็เลยได้คุยกันเรื่อยเปื่อนนั่งบ่นกันอยู่2คน ไปกินข้าวด้วยกันด้วย โบก็ไปตอนแรกกลัวโบไม่กล้าคุย เกร็งๆ ปรากฎเนียนไปด้วยกันได้นั่งหัวเราะกันอยู่ตรงร้านนั่นแหละ พอคุยกะวีก็คิดถึงที่โขนกลุ่มพวกเราเนาะ ตกลงกะวีแล้วว่าจะไปเรียนโขนทุกวันพะรึหัด โอเชเลย ตกลงตามนี้หึหึ เราจะกลับไปแสดงศักดาให้คนที่โขนได้รู้ว่า ลิงโดยสันดานนี้เป็นอย่างไร เหอะๆ ตอนนี้หย่องได้กะจึ๋งนึงต้องไปฝึกใหม่ๆ เต้นเสาด้วยเหอๆ แต่หนูคงไม่ตีลังกานะครู เดี๋ยวมึน

05 พฤศจิกายน
เรื่อยเปื่อย
อยากมีสมุดบันทึกมั่งจัง เหมือนที่เด็กผู้หญิงต้องมีไดอารี่น่ะ เคยมีแต่บันทึกได้3วัน สมุดนั้นก็กลายเป็นที่ทดเลขกะวาดรูปเล่น ตอนนี้มาบันทึกแต่ในสเปซเนี่ยแหละ
อยากจดมั่งจะได้ฝึกมือให้เขียนเร็วๆฝีมือตกไปเยอะเลย แต่ก่อนจดได้ว่องมาก จำได้ที่อ.สุพจน์ที่สอนชีวะพูดจดได้เกือบทุกคำ แต่เดี๋ยวนี้มือไม่ค่อยเร็วเหมือนก่อน
สงสัยแต่ก่อนลอกการบ้านเพื่อนบ่อยเลยจดอะไรก็เร็วไปหมด เดี๋ยวนี้ไม่มีการบ้าน มีแต่สอบลอกก็ไม่ได้ เฮ้อ

ซื้อหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น มา จำไม่ได้ว่าอะไรดลใจให้ซื้อ แต่เคยเข้าแว๊บไปอ่านบทนึงในหนังสือเล่มนี้แหละที่ร้านนายอินทร์(ต้องขอบคุณพี่ที่ร้านนี้มาก ชอบไปเปิดนิตยสารดูหน้าร้านแบบเร็วเท่าความเร็วแสง แระก็ไม่ซื้อแต่พี่ก็ยังไม่ว่า(ที่จิงก็ว่าไม่ได้น่ะนะ)พูดต้อนรับดี ขอบคุณค่ะ)แล้วชอบมาก ไม่รุจิอ่านแล้วมันต่อไปได้เรื่อยๆ อ่านไปคิดไป มันก็ใช่ เลยตัดสินใจซื้อที่ร้านเนี้ยเลย อุดหนุนๆ)เล่มละ 175 บาทเอง แล้วตอนนี้อ่านจบไป2บทแล้วมั้ง นิดเดียวเองน่ะ แต่ก็ยังไม่เบื่อคาดว่า ถ้าจัดเวลาหาเวลาที่ได้อยู่นิ่งๆนานซัก1ชั่วโมง แป๊บเดียวจบเล่ม เพราะเป็นคนอ่านหนังสือเร็วมาก เดี๋ยวไปอ่านก่อนนอนซัก1บทจะได้หลับฝันดี

วันนี้ไปดูหนังเรื่อง skin walker มา นึกว่าเป็นหนังสยองขวัญแบบโหดๆ เพราะถ้าเป็นหนังผีจะไม่เข้าไปดูเด็ดขาด พอไปดูกลับกลายเป็น....หนังมนุษย์หมาป่า ขอบอกว่าอารมณ์แรกที่รู้เซงมากมาย แต่พอดูไป หัวหน้าไอตัวร้ายแมร่ง หล่อขั้นเทพ จิงๆหล่อมากหุ่นดีแนวๆละตินเลย ผู้หญิงแม่เด็กก็สวยแนวๆนั่นอเมกาใต้ สรุปเรื่องนี้ไม่ได้สนใจอะไรนอกจาก ผู้ชายกะผู้หญิงคู่นี้(มีฉากอิ๊บๆด้วยของผู้ชายหล่อกะผู้หญิงอีกคนขอบอกหลังผู้ชายบึกมากมาย กรี๊ดๆในใจ)

วันนี้ก็คุยกะวี วีมันเหงาเราเข้าใจ ล้อเล่น วันโทรมาถามเรื่องเรียนคอมด้วย ยังไม่ได้ไปดูให้เพราะไม่ได้ไปราม มันบอกให้เรียนจบภายในปีหน้าจะได้รับพร้อมกัน นี่เป็นแรงฮึดสำคัญอยากจบพร้อมเพื่อนๆในกลุ่มจัง คิดถึงมากมายนะ ไม่ค่อยได้เจอกันเลย เรียนคนละคณะ เตยก็ไม่ได้ไปซ้อมโขน วีก็ทำงาน แต่ยังคิดถึงเสมอนะ
ช่วงนี้รู้สึกเหงาๆไงไม่รู้ วีก็ถามวันนี้เตยมึงไม่เหงาเหรอ (มันถามเพราะห่างกับแควนมัน อารมณ์คนมีแควนก็งี้) ถามมาตอบไปกูไม่เคยมีแควนก็เลยไม่รู้สึกเหงาอะไร แต่ตอนนี้เหงา รู้สึกเหมือนคนรอบข้างแปลกไป แปลกไปหมด (ไม่รวมวีกะกล้วยนะเพราะเรา3คนรู้สันดานกันดี เตยมีอะไร วีกับกล้วยรู้เป็นคู่แรกเลย) เหมือนแสร้งทำ แสร้งพูดกัน รู้สึกว่าความจริงใจที่เคยมีมาค่อยๆหายไปกันหมด ปิดบังกัน ทำไมไม่ปล่อยวางมั่ง ปิดแล้วไม่รู้สึกอึดอัดเหรอ ที่พูดไม่ใช่เพราะอยากรู้แต่รู้สึกมันอึดอัดแทนยังไงไม่รู้ พูดแต่ละทีนึกคำนานมาก แต่หน้าตาก็แสดงออกมาอยู่แล้วว่าจริงๆอยากพูดอะไร แต่ก็นะมันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์ที่จะแสดงออกต่อคนที่สนิทที่สุดเพราะพอสนิทแล้วก็จะไว้ใจ ขั้นเทพอย่างเราคงไม่รู้(เพราะเตยคนนี้บอกทุกอย่าง ไม่มีความลับ) มันก็เลยเหงาเพราะอย่างงี้ เลยอยากเจอวีเจอกล้วยเจอบอย พี่แนน พี่ฟาง โป้ง กลุ่มของพวกเรา บางช่วงเตยก็ได้หายไปจากกลุ่มแต่ก็ไม่เคยลืมทุกคนนะ ยังคิดถึงเสมอ จะเรียนให้จบเร็วที่สุด จะได้จบพร้อมๆกันนะ สู้สู้
ไอวีบอกเมื่อไหร่เตยจะกลับมาเปผ็นคนที่ร่าเริงเหมือนเดิม ก็จริงเนาะไม่ร่าเริงเหมือนเก่า คนที่ลีลาศอาจคิดไอเตยเนี่ยยังไม่เรียกว่าโคตรเฮฮาอีกเหรอ แต่อยากตะโกนให้รู้ว่าตอนอยู่กับวีกับกล้วยบอยพี่แนนพี่ฟางโป้งที่โขนร่าเริงแบบไม่ต้องไม่มีใครปกปิดอะไรเปิดกันโท่งๆเลย ลีลาศก็ร่าเริง แต่บางทีก็อย่างที่บอก...อารมณ์มนุษย์ขั้นเทพอย่างเราคงไม่เข้าใจ

ช่วงนี้เริ่มปล่อยๆ(ประมาณช่างแม่ง)กับคนรอบข้าง ประมาณว่ามึงจะปิดห่าอะไรกูก็ไม่สนใจแล้ว เริ่มใช้ชีวิตสบายๆ เพราะได้อ่านบทความที่เพิ่งโพสท์ไป (ที่จริงเคยอ่านแต่ลืมไปแล้ว เจออีกเลยเอามาเก็บไว้กันลืม) แต่ก็ไม่ใช่ว่าปล่อยปะละเลย สบายๆหมายถึงอารมณ์ไม่เซไปกับอารมณ์คนรอบข้าง แค่ประมาณว่ารับรู้ว่าไอคนนั้นอารมณ์มันเป็นไง ถ้าโอก็เข้าใกล้ถ้าไม่ก็ห่างๆไว้โอกาสหน้าเจอกันใหม่ หาอะไรทำตลอด ไม่เคยไม่มีอะไร


05 พฤศจิกายน
เหลืออีกกี่วันที่จะ....
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์ แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน วันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...คำนวณเองบ้างซิว้อย!!! เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเองเหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!! และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว...เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้ เคยสงสัยมั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตายวันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว ทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล คนข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้นมาบอกกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อม การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา ปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย... แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็ ปาไป 5 วัน ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็น แรงบันดาลใจที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ

05 พฤศจิกายน
ที่นี่ เราคือรามฯ
มาร์ชรามคำแหง
คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง พิมพ์ปฏิภาณ พึ่งธรรมจิตต์ ขับร้อง ประสานเสียงนักร้องศิลปากร ธานินทร์ อินทรเทพ
อ้า.....สำนักใดเชิดชูวิชา หลักศิลาที่จารึกรูปธรรม งดงามคู่รามคำแหง ทุกคนแกร่งหัวใจจุดประกายฝันเกรียว ร่วมเส้นทางจะหมางกันทำไม ก้าวเดินไปอย่าให้เป็นถนนสายเปลี่ยว ประสานใจกันให้แน่นเหนียว ร่วมรักกลมเกลียว เหนี่ยวใจสามัคคี รามคำแหง เชี่ยวชาญกีฬา รามคำแหง แกร่งวิชาทุกที่ รามคำแหง คู่ปฐพี คุณธรรมความดีคู่ฟ้า ทุกคนพร้อมหน้า นักศึกษารักสถาบัน ลูกพ่อขุน ต่างคนหล่อหลอม ลูกพ่อขุน อย่ายอมใครหยัน ลูกพ่อขุน ก้าวไปด้วยกันใกล้วันเป็นบัณฑิตแล้ว ชีวิตวับแวว เข้าแถวรับปริญญา เฮ..... (ชาย) “ฝ้ายคำ” จำใจ ลาร้าง อ้างว้างใจ อ้างว้างจน ทนมิได้ น้ำตา หลั่งมา จากไหน ฉันร้องไห้ เธอไม่เห็น เป็นน้ำตา

(หญิง) หวานฉ่ำ “ฝ้ายคำ” จำไว้ อย่าน้อยใจ ให้ระคาง วันข้างหน้า น้ำตา ตกใน เธอจ๋า ฟ้ารู้ดี ว่าคืนนี้ คิดถึงจัง แหล่ง.....สำนักเชิดชูวิชา หลักศิลาที่จารึกรูปธรรม งดงามคู่รามคำแหง ทุกคนแกร่งหัวใจจุดประกายฝันเกรียว ร่วมเส้นทางจะหมางเมินกันทำไม ก้าวเดินไปอย่าเป็นถนนสายเปลี่ยว ประสานหัวใจกันให้แน่นเหนียว รวมรักกลมเกลียว เหนี่ยวใจสามัคคี

02 พฤศจิกายน
ดาบของมูซาชิ
ดาบของมูซาชิ นั้นไม่ใช่ดาบแห่งการฆ่า แห่งความเกลียดชังสาปแช่งมนุษย์ แต่ดาบของมูซาชิ คือ ดาบแห่งการปกป้อง คือดาบแห่งรักมูซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์สุวินัย ภรณวลัยเชื่อในโชคชะตาที่ผ่านไปของตัวเอง แต่ไม่เชื่อโชคชะตาที่ทำนายเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง สำหรับอนาคตข้างหน้าเพียงเชื่อในสิ่งที่ทำอยู่ในกำมือของตนเท่านั้น
ยอดคน Heart&Soul หน้า 187ดร.สุวินัย ภรณวลัย

01 พฤศจิกายน
คั่ว
คั่วผู้ชายโครตรวยต้อง สวยปิ๊ง คั่วผู้ชายมาดนิ๊งต้อง ปิ๊งกว่า คั่วผู้ชายออดอ้อนต้อง มารยา คั่วผู้ชายแพศยาต้อง เอ็นดู คั่วผู้ชายในกลุ่มต้อง ซุ่มเงียบ คั่วผู้ชายมาดเฉียบต้อง สุขุม คั่วผู้ชายรักสนุกต้อง ยาคุม คั่วผู้ชายสวนลุมฯต้อง เตรียมตังส์ คั่วผู้ชายทันสมัยต้อง ใจเด็ด คั่วผู้ชายหัวเห็ดต้อง แสร้งโง่ คั่วผู้ชายหนุ่มใหญ่ต้อง ฟอร์มโต คั่วผู้ชายคุยโวต้อง อดทน คั่วผู้ชายหน้ายิ้มต้อง ยิ้มตอบ คั่วผู้ชายซักกระสอบอย่า สับสน คั่วผู้ชายบ้านรวยต้อง แกล้งจน คั่วผู้ชายสัปดนต้อง เตรียมใจ คั่วผู้ชายในบาร์ต้อง กล้าทิป คั่วผู้ชายในลิฟท์ต้อง หน้าใส คั่วผู้ชายบนรถเมล์ต้อง แถเข้าไว้ คั่วผู้ชายบ้านใกล้อย่า ใส่กลอน คั่วผู้ชายชอบเที่ยวต้อง เปรี้ยวจัด คั่วผู้ชายอ่อนหัดต้อง คอยสอน คั่วผู้ชายละอ่อนต้อง อย่างอน คั่วผู้ชายใจร้อนต้อง ใจเย็น จะคั่วชายชนิดใดดูให้ทั่ว แต่อย่าคั่วผัวชาวบ้านเย้ยให้เห็น ประเดี๋ยวจะหน้าแหกแหลกกระเซ็น เมียเสือกเห็นแล้วจะหาว่าไม่เตือน.... 555

31 ตุลาคม
KOREA, IT's HOT.
ตอนนี้ชื่อเกาหลีกะลังฟีเวอร์ อยากได้ชื่อเกาหลีมั้ย เรามีให้คุณเลือก

1 ยุง

30 ตุลาคม
ธรรมะในน้ำ6ประการ
1. ละลายของแข็ง น้ำเป็นของอ่อนแต่มีอานุภาพละลายของแข็งได้ เช่น น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อนได้ พระพุทธศาสนาสอนให้มีจุดยืนชัดเจนว่า ให้ทำความดีเสมอๆ ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาสุภาพเรียบร้อย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ ความเคารพ อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นมงคลสูงสุด”2. แรงสามัคคี โดยธรรมชาติของน้ำจะรวมตัวอยู่เสมอ เมื่อเราเอามีดเข้าไปฟันเอาขวานเข้าไปถากจะมีรอยแยกให้เห็นเพียงแว่บเดียว แล้วจะรวมตัวกันโดยไม่ปรากฎให้เห็นรอยแยกว่าอยู่ตรงไหน เช่นเดียวกับคนเราการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ความสามัคคีเป็นพลังสำคัญในการทำให้กิจการสำเร็จได้ด้วยดี3. มีความชุ่มเย็น เอกลักษณ์ของน้ำ คือ ความชุ่มเย็นและก็เป็นปัจจัยให้สรรพสิ่งในโลกมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบเปรียบธรรมะก็คือเมตตา การอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความมีน้ำใจ ความมีไมตรีต่อกัน ไม่เบียดเบียนข่มเหงกันและกัน4. เน้นยุติธรรม คือ ความเที่ยงตรง ความซื่อตรงของน้ำนั้นแน่นอน เช่น กรณีที่นายช่างสร้างบ้านหรืออาคารต้องใช้น้ำวัดระดับความตรงของสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ถือเป็นมาตรฐานที่เชื่อถือได้ รวมทั้งคนทุกระดับชั้นเมื่อไปอาบน้ำ หรือดื่มน้ำก็จะได้รับความชุ่มเย็นและอิ่มชื่นใจเท่ากัน จะไม่มีการเลือกว่าเป็นคนมีฐานะหรือไม่ก็ตาม5. นำประสาน คือ เชื่อมประสานในสรรพสิ่งอยู่อย่างสมดุลกัน เช่นเวลาก่อสร้างอาคารมี หิน ปูนทราย ถ้าขาดน้ำก็ไม่อาจผสมเข้ากันเป็นอาคารใหญ่โตแข็งแรงได้ น้ำจึงประสานช่วยสร้างความมั่นคงเช่นเดียวกับคนผู้อยู่ร่วมกันก็ต้องประสานประโยชน์ให้เข้ากันได้เพื่อความสงบร่วมกัน6. พัฒนาการปรับตน ธรรมชาติของน้ำมีรูปธรรมชัดเจน รู้จักปรับตัวเองได้ดี จะอยู่ในที่ใดไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำลำคลองหรือภาชนะใดๆ ก็จะมีรูปลักษณ์เป็นเช่นนั้น อยู่ในแก้วจะปรากฏ
credit : www.bloggang.com:คุณพ่อน้องbike

30 ตุลาคม
ข้อแตกต่างระหว่างการคิดแบบ Focusที่ปัญหา และ Focus ที่ทางออก
เรื่องที่ 1 เมื่อองค์การนาซ่าได้เริ่มปล่อยจรวดเพื่อการสำรวจอวกาศ พวกเขาพบว่าปากกาไม่สามารถเขียนได้ที่แรงโน้มถ่วงของโลกเท่ากับ 0 (น้ำหมึกไม่สามารถไหลออกมาที่กระดาษที่ต้องการเขียนได้) การแก้ปัญหานี้ ได้ใช้เวลาราว 10 ปีและได้ใช้เงินมูลค่า 12 ล้านดอลล่าห์ (480 ล้านบาท) พวกเขาได้สร้างปากกาที่สามารถใช้งานได้ที่แรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์ เขียนแบบคว่ำ หรือเขียนที่ใต้น้ำได้สามารถเขียนได้ไม่ว่าสภาพผิวเป็นเช่นไร รวมทั้ง ผิว Crystal และที่อุณหภูมิช่วงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งจนถึงที่มากกว่า 300 องศาเซลเซียลได้ำ ด้วยปัญหาแบบเดียวกัน ทางรัสเซีย ใช้ "ดินสอ" เรื่องที่ 2 หนึ่งในเรื่องที่นิยมใช้ในการสอนที่ประเทศญี่ปุ่นได้แก่ เรื่องของการเกิดปัญหาที่ว่าสบู่ที่ลูกค้าซื้อไม่มีสบู่มาด้วย คือได้แต่กล่องเปล่าๆมา เรื่องนี้มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตเครื่องสำอางของญี่ปุ่น ได้รับการร้องเรียนจากทางลูกค้าถึงปัญหาดังกล่าว ทางด้านวิศวกรที่รับผิดชอบ ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray เพื่อการตรวจดูว่าภายในของกล่องสบู่มีสบู่หรือไม่ และเพื่อการนี้ก็ได้ให้คน 2 คนคอยเฝ้าที่จอเพื่อดูให้แน่ใจได้ว่าไม่มีการหลุดของกล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่ไป แน่นอนว่าคน 2 คนที่ดูจอมอนิเตอร์คงไม่สนุกในการทำงานนี้เท่าไหร่ ด้วยปัญหาเดียวกัน พนักงานหน้างานที่บริษัทเล็กแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray แต่สิ่งที่เขาทำได้แก่ การไปซื้อ"พัดลม"ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แล้วนำมาเป่าที่รางสายพานขณะที่กล่องสบู่วิ่งผ่านกล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่เมื่อถูกลมก็จะปลิวออกนอกสายพานลำเลียงเอง
credit : www.bloggang.com:คุณพ่อน้องbike

30 ตุลาคม
โจทย์ฟิสิกส์
โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"รู้จักกันนะครับ บาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง(อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่นและแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไปความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย) นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า "เอาเชือกยาวๆผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึกแล้วก็เอาความยาวเชือกบวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับแต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วยอาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตกนักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้งและคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้ และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่าคำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมาแล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิมเพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไรนักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดีและเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*tกำลัง 2หรือถ้าแดดแรงพอ ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้นแล้ววัดความยาวของเงาบารอมิเตอร์ จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำหรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้มตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่างของคาบการแกว่ง เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/gถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ จนถึงยอดตึก นับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึกแต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึกคำนวณความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูงส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหมช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้
*นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922*
credit : www.bloggang.com:คุณพ่อน้องbike

30 ตุลาคม
บทความแด่ผู้ไม่พอใจในตนเองที่มีอยู่
คุณเคยรู้สึกไหม ว่าชีวิตช่างลำบาก คุณไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างที่เป็นอยู่ คุณรู้สึกว่าชีวิตนั้น เป็นทุกข์ อาชีพการงานไม่ได้ดั่งใจ อะไร ๆ ก็ผิดพลาดไปหมด ? เรื่องราวต่อไปนี้ อาจจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่คุณมีต่อชีวิตคุณได้ ผมสนทนากับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานสองอย่าง รายได้แต่ละเดือนหักลบรายจ่ายแล้วยังเหลือแค่พันกว่า แต่เขาก็มีความสุขมากแล้ว ผมแปลกใจมากที่เขามีความสุขขนาดนั้นเพราะเขามีรายได้น้อย ต้องประหยัดมัธยัสถ์ จึงจะพอมีเหลือเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่สูงอายุ พ่อตาแม่ยายภรรยาและลูกสาวอีกสองคน ไหนจะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จุกจิกภายในครอบครัว เขาอธิบายให้ฟังว่า เป็นเพราะหลายปีก่อนเขาได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ประเทศอินเดีย ขณะนั้นเขาประสบปัญหาที่สาหัสมากสภาพจิตใจตกต่ำ จึงไปเที่ยวอินเดียเพื่อให้สบายใจขึ้น เขาได้เห็นกับตา ผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่ง ถือมีดอีโต้ตัดแขนขวาของลูกตัวเอง สายตาที่หมดหวังของผู้หญิงคนนั้น และเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเด็กอายุสี่ขวบ จนบัดนี้ยังวนเวียนอยู่ในใจเขามิรู้ลืม คุณอาจจะถามว่า ทำไมแม่คนนั้นจึงต้องทำเช่นนี้ ? เป็นเพราะลูกของเธอซุกซนเกินไปหรือเปล่า? หรือเป็นเพราะแขนของเด็กติดเชื้อ ? ไม่ใช่ที่แท้ทำไปเพื่อให้เด็กสามารถไปขอทานตามถนน! แม่ผู้สิ้นหวังคนนั้นจงใจทำให้ลูกตัวเองพิการ เพื่อเขาสามารถออกขอทานตามท้องถนนได้ เพื่อนของผมคนนี้ตกใจแทบช๊อก ขนมปังในมือของเขาที่เพิ่งกินได้ครึ่งก้อนตกหล่นลงพื้น ทันทีทันใดก็มีเด็ก ๆ ห้าหกคนกรูกันเข้ามา แย่งชิงขนมปังที่เลอะทรายบนพื้น เหมือนกับปฏิกิริยาอัตโนมัติเวลาผจญกับความหิวโหย เขาตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว ไกด์ของเขาขับรถพาเขาไปยังร้านขนมปังที่ใกล้ที่สุด เขาเข้าไปในสองร้านของละแวกนั้น ขอซื้อขนมปังทั้งหมดในร้านเจ้าของร้านขนมปังแปลกใจมาก แต่ก็ยินดีขายขนมปังทั้งหมดให้เขา เขาใช้เงินทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งร้อยเหรียญ ซื้อขนมปังมาประมาณสี่ร้อยกว่าก้อน (ตกก้อนละไม่ถึง 25 เซน) แล้วใช้อีกหนึ่งร้อยเหรียญซื้อของใช้ประจำวันและแล้ว เขาก็นั่งบนรถบรรทุกที่บรรทุกขนมปังไว้เต็มคันรถ ขับไปบนถนน ขณะที่เขาแจกจ่ายขนมปังและของใช้ประจำวันให้กับเด็ก ๆ ซึ่งพิการเป็นส่วนใหญ่นั้นพวกเขาล้วนโค้งคำนับให้ด้วยความดีใจนั่นเองเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาคิดได้ว่า ทำไมคนเราจึงสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองเพียงเพื่อชิ้นขนมปังราคาไม่ถึง 25 เซน เขาเริ่มบอกตนเองว่าตนเองนั้นโชคดีแค่ไหนเขามีร่างกายครบสามสิบสอง มีอาชีพการงานมีครอบครัว มีโอกาสบ่นว่าอาหารชิ้นไหนดี อาหารชิ้นไหนไม่อร่อย มีโอกาสสวมใส่เสื้อผ้า มีโอกาสครอบครองสิ่งของมากมายที่คนเหล่านี้ไม่มี ตอนนี้ ผมเริ่มคิดได้และตระหนักได้ว่า ชีวิตของผมมันย่ำแย่จริงหรือ? บางทีมันอาจไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นก็ได้ คุณละ? บางทีเมื่อครั้งหน้าคุณรู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังย่ำแย่ ลองคิดถึงเด็กคนที่ต้องเสียแขนเพื่อเป็นขอทานคนนั้น ดูสิ !!! "ความรู้สึกพอ" ไม่ใช่มาจากการเติมเต็มสิ่งที่คุณต้องการ แต่มาจากการตระหนักว่าคุณมีมากมายและเพียงพอเมื่อประตูแห่งความสุขปิดลงประตูอีกบานหนึ่งก็จะเปิดออก แต่บ่อยครั้งเรามัวแต่จ้องบานประตูที่ปิดลงเท่านั้น ไม่ได้สังเกตเห็นประตูอีกบานหนึ่งที่เปิดออกเพื่อเรา จริงอยู่พวกเรามักจะรู้ว่าตนเองมี ก็ต่อเมื่อเราสูญเสียมัน แต่พวกเราก็ต้องคอยจนกว่าของสิ่งนั้นมาถึง จึงจะรู้ตัวว่าเราไม่มีมัน การมอบความรักทั้งหมดให้กับผู้อื่นมิได้หมายความว่าเราจะได้รับความรักตอบกลับมาอย่างเท่าเทียมกัน อย่าหวังว่ารักผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะรักตอบ จงสนใจแค่ให้ความรักนั้นเติบโตขึ้นในใจพวกเขา แต่ถ้าไม่เติบโตขึ้นเลย ก็จงพอใจกับความรักที่เติบโตขึ้นในใจของคุณเอง หนึ่งนาทีจึงจะทำลายคน ๆ หนึ่งได้ หนึ่งชั่วโมงจึงจะชอบคน ๆ หนึ่งได้ หนึ่งวันจึงจะรักคน ๆ หนึ่งได้ แต่ต้องใช้เวลาตลอดชั่วชีวิต จึงจะลืมคน ๆ หนึ่งได้ จงอย่ามองเพียงรูปภายนอก เพราะสักวันมันจะหลอกคุณ จงอย่ามองแค่ความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติ เพราะสักวันมันจะซีดจางลง หาใครสักคนที่ยิ้มให้คุณ เพราะเมื่อมีร้อยยิ้ม จะทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น หาใครสักคนที่ทำให้คุณอมยิ้มได้จากใจจริง บางครั้งเมื่อคุณคิดถึงใครสักคน ความคิดถึงนั้นอาจถึงขั้นให้คุณคว้าตัวเขาออกมาจากความฝัน โอบกอดตัวเขาเอาไว้ ไล่ตามความฝันของคุณเอง ไปยังที่ ๆ คุณอยากไป เป็นอย่างคนที่คุณอยากเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว ซึ่งหมายถึงมีเพียงโอกาสเดียว ในการทำสิ่งที่คุณอยากทำ แปลจากบทความของ "โหว เหวินหย่ง" (เจ้าของผลงาน เกิดมาซน ทั้งสองเล่ม)
credit: www.bloggang.com:คุณพ่อน้องbike

30 ตุลาคม
หนังสืออ่านนอกเวลา
นีส "ขอแค่โทรไปหาบ้างก็ไม่ได้เหรอ เราเป็นแค่เพื่อนกันก็ไม่ได้เหรอ"

ปิง "อย่าดีกว่า แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้วที่จะลืม"

นีส "....อยากจะลืม...นั่นสิเนาะ แต่นีสรักง่ายแล้วลืมยาก"

ปิง "มันไม่ใช่ว่าเกลียดนีสนะ แต่ปิงเหนื่อยที่ต้องพยายามอดทนต่อไป ปิงรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนที่จะคบกันแบบนี้ก็แค่นั้น"

นีส "ไม่ใช่ว่าปิงไปเจอใครคนใหม่เหรอ"

ปิง "ถ้านีสคิดอย่างงั้นนะ แต่ถ้าปิงเจอใครใหม่จริงๆแล้วคบกับเค้าแล้วมีความสุข ปิงก็เลือกที่จะไปเหมือนกัน"

นีส "แล้วทำไมแค่เป็นเพื่อนไม่ได้"

ปิง "ใครว่าเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แค่ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งติดต่อกัน เราค่อยมาเจอกันใหม่ตอนที่อยู่ในอารมณ์ปกติดีกว่านะ"

นีส "แล้วปิงบอกอยากจะลืม คบกับนีสมันทุกข์มากนัก ทำไมปิงไม่บอกนีสตั้งแต่แรกที่นีสขอคบ ปิงคบกับนีสทำไม"

ปิง "เพราะสิ่งที่ปิงเห็น มันไม่ใช่สิ่งที่นีสเป็นอยู่ ปิงถามมั่งดีกว่า ตอนที่สรู้จักกับปิง นีสขอปิงคบ นีสไม่แสดงตัวตนของนีสออกมาล่ะ บางทีปิงยังงงนะว่าคบกับใครอยู่"

นีส "ก็นีส...ก็นีสเคยได้ยินว่าปิงชอบคนยังไง นีสก็พยายามทำให้ปิงชอบนีสสิ"

ปิง "คงพยายามไม่ดีพอ ไม่ทนที่จะพยายาม บางทีที่นีสได้ยินมามันอาจจะใช่ แต่เราจะคบกันได้นานกว่านี้ถ้านีสเป็นนีส แล้วทำให้ปิงชอบแบบที่นีสเป็นได้ แล้วปิงไม่เคยทุกข์ที่คบกับนีส ปิงไม่เคยรังเกียจ แต่บางทีปิงยังขำๆเลยนะว่าตกลงเราคบกันจริงๆหรือแค่พยายามคบกัน"

นีส "........."

ปิง "ไม่มีใครผิดอ่ะ แค่ตอนนี้อย่าเพิ่งติดต่อกัน ปิงไม่อะไรแต่นีสอาจจะร้องไห้ ปิงไม่อยากให้ใครร้องไห้เพราะปิง ไว้ตอนที่พวกเราพร้อมทั้ง2คน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ ในฐานะคนรู้จัก ตอนนั้นนีสทำแบบที่นีสเป็นอยู่ ไม่ต้องแสดงอะไร บางทีเราอาจจะสนิทกันมากกว่าเดิมก็ได้ เผื่อระหว่างนี้นีสอาจจะเจอคนที่ใช่ก็ได้"

นีส ".....ขอบคุณนะที่คบกับนีส"

ปิง "......มันอาจจะเศร้านะที่จริงปิงก็รู้สึกเปลกๆไม่มีนีสข้างๆ แต่ถ้าพวกเราคิดอีกที มันดีกว่าจะต้องทนแสดงกันไป เราคงแสดงไปตลอดไม่ได้ ปิงว่าช่วงที่เราห่างๆกัน หาอะไรที่เราอยากทำก่อนดีกว่า เผื่อมันอาจจะเกิดสิ่งที่น่าจดจำ อาจเจอคนที่ถูกใจ ดีกว่ามั้ย"

นีส "ปิงคงเจอคนถูกใจเร็วๆนี้แหละ ก็ปิงออกจะดังในคณะ"

ปิง "จริงจริงปิงก็เจอนานแล้ว"

นีส "ปิงมีคนอื่นจริงๆด้วย"

ปิง "ปล่าว แค่ชอบเฉยๆ เหมือนนีสชอบดาราน่ะ ห้ามกันไม่ได้หรอกนะ"

นีส "บอกได้มั้ยว่าใคร นีสไม่ร้องไห้หรอก"

ปิง "ปิงว่าอย่าดีกว่า"

นีส "นะ"

ปิง "ก็แหม ก้อ ก้อ....ก็พี่ชัยไง ที่มาเป็นครูฝึกสอน ปิง เห็นแล้วแบบ กรี๊ดด ตึงงง มากมาย หล่อขั้นเทพ จะหลุดหลายรอบแล้วอ่ะนีสแต่แบบ ไม่ได้อ่ะ"

นีส "........................พี่ชัย ผู้ชาย"

ปิง "ว้ายยย เงียบเลยอ่ะนีส แบบที่เราชอบคือผู้ชายขนอกฟูๆอ่ะ คือแบบน่าซบมากมาย นีสอย่าไปบอกใครนะ ปิงก็แบบ กทม.(กะเทยเก็กแมน) อย่าบอกนะๆ"

นีส ".......ขอบคุณนะปิง"

ปิง "เรื่องรายอ่ะ

นีส "ที่เลิกคบกับนีส"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจ กทม.(กะเทยเก็กแมน)

Special Thank For Link: http://luckytaran2ra.spaces.live.com/blog/cns!8692F9D7BD5BBF35!1226.entry