Thursday 17 April 2008

Dreams : อยากเป็นผู้กำกับการแสดง ทำหนังจากปมด้อย

ทำหนังจากปมด้อย
ผู้กำกับไทยชื่อ พิง ลำพระเพลิง เป็นเจ้าของหนังเรื่อง โคตรรักเอ็งเลย และกำลังมีหนังใหม่ชื่อ คนหิ้วหัว ใครที่ได้ดูงานของเขามาบ้างคงรู้ว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา แต่ใครที่ได้พูดคุยกับเขาจะยิ่งพบความไม่ธรรมดาในตัวของพิงยิ่งขึ้นไปอีก happening นำความไม่ธรรมดาที่เขาเกริ่นแต่ต้นว่าตัวเองเป็นคนมี 'ปมด้อย' ก่อนจะร่ายยาวไปถึงวิธีคิดในการทำงาน มาให้คุณอ่านกันที่นี่แล้ว

หนุ่มใหญ่ชื่อ ภูพิงค์ พังสะอาด หรือ พิง ลำพระเพลิง บอกกับใครต่อใครเสมอว่า เขาทำหนังเพราะมีปมด้อย!

“ตั้งแต่เด็กผมเป็นคนตัวเตี้ย หน้าตาไม่ดี ตังค์ก็ไม่มี พ่อแม่แยกกันอยู่ ไปจีบผู้หญิงเขาก็ไม่สนใจ มันเป็นปมด้อยที่รู้สึกว่าไม่มีใครสนใจเราครับ เลยต้องเรียกร้องความสนใจตลอด แล้วก็เรียกร้องมากขึ้น มากขึ้น” ผู้กำกับที่เป็นคนเขียนบทมือทองเล่าย้อนอดีต “อยู่ๆ ไปก็พบว่าแค่ได้ความสนใจอย่างเดียวไม่พอนะ ต้องให้คิดว่าเราเก่งด้วย เพราะแต่ก่อนผมเคยเล่นละคร พล นิกร กิมหงวน เป็นไอ้แห้ว ก็มีคนจำได้ ไปไหนก็ทักไอ้แห้วๆ ตลอด แล้วเขาก็เดินจากไป คือเขาไม่ได้ดูฝีมือเราเลยนี่หว่า ผมก็เลยจะไม่ทำอะไรแค่ให้คนจำได้ว่ามีฉันอยู่ในวงการนะ อยากให้ดูแล้วรู้สึกบวกกับเราด้วย มันจะมีความสุขกว่า”

แล้วการเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นๆ ก็พาเขาไปเล่นละคร เขียนหนังสือ เขียนบทละครโทรทัศน์ ทำเดี่ยวไมโครโฟน กำกับละคร มาจนถึงเป็นผู้กำกับหนังในเรื่อง โคตรรักเอ็งเลย เมื่อปีก่อน ที่กวาดรายได้ไปถึง 52 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนรายได้ที่ดูดีทีเดียวสำหรับหนังรัก และยิ่งดูดีเข้าไปอีกเมื่อเสียงจากฝั่งนักวิจารณ์ก็ให้ให้คะแนนเป็นบวก

ปีนี้พิงกลับมาพร้อมหนังเรื่อง คนหิ้วหัว ที่เจ้าตัวลงทุนเขียนบท กำกับ และเล่นบทเด่นเอง

“หนังเซ็ตแรกของผมจะมีอยู่ 4 เรื่อง เป็นเรื่องความรัก ความศรัทธา ความฝัน และความเชื่อ” พิงเล่าคล่องแคล่ว “ความรักทำไปแล้วก็คือ โคตรรักฯ ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องความศรัทธา เกี่ยวกับพ่อที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่งซึ่งตั้งใจจะทำอะไรให้มันได้เรื่องสักครั้งในชีวิต จะเอาเงินไปให้ลูก แต่พอดีดันมาคอขาดซะก่อน แต่ด้วยศรัทธาก็ต้องเอาเงินไปให้ลูกให้ได้ แต่ไม่ใช่หนังผีแน่นอน คือมันคอขาดแต่ยังไม่ตายนะ เหมือนโดนมีดบาด แต่โดนลึกไปหน่อยตรงคอ คีย์ของมันคือว่า กุญแจที่จะไขเอาเงินไปให้ลูกมันติดไปกับร่างที่ไม่รู้ว่าจะเอากุญแจอันนี้ไปไขที่ไหน ส่วนหัวน่ะรู้แต่ไม่มีกุญแจ หัวนี่ภูริ (หิรัญพฤกษ์) เป็นคนเก็บได้ ส่วนร่างกระแต (ศุภักษร ไชยมงคล) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊งเป็นคนเก็บได้ เลยเป็นภารกิจของภูริกับกระแตที่จะต้องเอาร่างกับหัวมาเจอกันเพื่อไปทำบางสิ่งให้ลูก ในรายละเอียดแล้วมันจะมีแอบเศร้านิดๆ นะ” เขายิ้มบางๆ

คนที่เคยตามงานของพิงมาบ้างก็คงพอรู้ว่ามันเกี่ยวเนื่องกับประวัติส่วนตัวของพิงอยู่บ้าง อย่างเรื่องก่อนก็อาจทำให้หลายๆ คนนึงถึงเรื่องของอดีตภรรยาที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในหลายๆ สื่อ ส่วนเรื่องนี่ที่พูดถึงความเป็นพ่อคนก็น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของตัวเองมาไม่น้อย และลักษณะอีกอย่างที่เราพบได้ในหนังของพิงก็คือการยากที่จะจำกัดแนวหนัง

“อย่างถ้าคุณดู โคตรรักฯ คุณจะรู้สึกว่ามันกำหนดยีนส์ไม่ได้ เราตัดหนังตัวอย่างเป็นหนังผีก็ได้ หนังรักก็ได้ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน จะเป็นหนังรักก็ได้ จะเป็นหนังผี หนังตื่นเต้น หรือเป็นหนังอะไรก็ได้ ในเมื่อมันกำหนดยีนส์ไม่ได้ ก็ทำไปอย่างนี้แหละเป็นหนังพิง ลำพะเพลิงนี่แหละ มีครบทุกรส มันอาจจะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียก็ได้นะผมว่า มันก็จะมีกลิ่นใหม่ๆ ของผมอยู่ ซึ่งคนที่ดูที่ตัดต่อหนังเสร็จแล้วเขาก็บอกว่ามันเป็นหนังพี่ว่ะ แต่ตอนที่เราทำเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้นะ เหมือนมันเป็นชื่อมั้ง เราไม่ต้องพยายามมันก็ออกมาเป็นแบบนี้อยู่ดี คือไม่ต้องพยายามเซ็นลายเซ็นตามตัวเองน่ะ” เขายังคงพูดเร็วรัว

อีกสิ่งที่โดดเด่นอยู่ในลายเซ็นของพิงก็คือ ‘การเล่าเรื่อง’ สำหรับ คนหิ้วหัว วิธีการเล่าเรื่องของเขาก็ยังโดดเด่นเช่นเคย

“หนังเรื่องนี้มันถูกแบ่งเป็น 5 ช่วงครับ โดยผมใช้ศีล 5 เป็นตัวเชื่อม นักแสดงแต่ละคนใน 5 ตัวนี้จะละเมิดศีลกันคนละข้อ แต่ด้วยเงื่อนไขของการละเมิดมันจึงถูกผูกให้กลายเป็นเรื่องราวขึ้นมา แต่นี้ไม่ใช่หนังสอนธรรมนะ แต่เราเอาศีล 5 เมาเป็นพาหะนำเรื่อง เป็นลีลาการเล่าของเราเท่านั้นเอง” พิงพูดแล้วก็ยักคิ้วหนึ่งที

จากอดีตที่ยากลำบากจนกลายเป็นแรงผลักดันที่เขามักจะบอกว่าต้องทำงาน ต้องประสบความสำเร็จ ต้องเป็นคนดัง เพื่อเยียวยาปมด้อย มาถึงวันนี้พิงได้ตอบโจทย์ชีวิตข้อนี้ไปได้แล้ว

“พอทำหนังแล้วผมรู้สึกว่าได้รับการเอ็นดูจากประชาชนเยอะขึ้น คล้ายเขาให้เกียรติผมมากขึ้น ให้เรากลายเป็นนักคิดขึ้นมาอีกสเตปหนึ่ง เหมือนฐานะทางสังคมมันเขยิบสูงขึ้น” เขาหัวเราะสนุก “ทั้งๆ ที่เราก็เหมือนเดิมนะ เพียงแต่คนอื่นเขาจะรู้สึกว่า ไอ้นี่มันคนมีของเว้ย คือผมจะให้สัมภาษณ์อยู่เสมอว่าอยากดังว่ะ อยากเป็นผู้กำกับว่ะ หลายคนอาจจะหมั่นใส้ก็ได้ แต่คนที่ดู โคตรรักฯ แล้วเขาจะรู้ว่า เออว่ะ ถึงหนังมันจะยังไม่ลงตัวที่สุด แต่ก็ไม่ได้มั่วๆ นะ ตอนนี้มันถึงเรียกได้ว่าเลยความฝันมาไกลแล้ว ชีวิตที่เหลือคือกำไรเลยล่ะ ผมเริ่มทำงานตั้งแต่เงินเดือน 2,500 บาท มีชีวิตอยู่ในสลัมมา ตอนนี้ผมขับ BMW นะ มีชื่อเสียง มีสาวๆ มาคุยด้วย ก็แค่รักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ให้มันอยู่กับเรานานๆ เท่านั้นเอง” พิงกล่าวแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวต่อถึงอนาคต “จบจากหนัง 4 เรื่องที่ตั้งใจไว้แล้ว ผมก็คงทำหนังต่อไปอีก อาจจะไปทำหนังอย่างพวก แสบสนิทฯ หรือแบบที่เราคิดว่าอยากจะได้ตังค์เยอะๆ บ้างแล้ว แต่ 4 เรื่องนี้ก็อยากได้เงินนะ มันเป็นปัจจัยที่ถ้าหนังขาดทุนก็เพราะคนดูน้อย คนดูน้อยก็จะไม่มีคนมาเห็นฝีมือของเรา ผมอยากให้คนรู้ว่าผมเก่งก็เลยเอาวะ ต้องทำให้คนดูมาดูหนังเราเยอะๆ และมันก็จะทำให้เราได้เงินเยอะไปโดยปริยาย แต่มันเป็นวิธีการคิดที่ผิดมาก สำหรับผมผลแม่งมักจะมาก่อนเหตุเสมอ ผมแม่งอยากดังผมจึงทำหนัง ผมต้องทำหนังต่อไปเรื่อยๆ คนถึงจะยอมรับว่ามันดี มันเก่ง ผู้กำกับท่านอื่นจะพูดว่า เฮ้ย ทำหนังให้มันดีก่อนแล้วอย่างอื่นมันก็จะมาเอง แต่ผมไม่ กูอยากให้คนมาดูกูเยอะๆ แล้วเออว่ะ หนังแม่งดีจริงๆ มันเป็นวิธีการคิดที่ผิดนะ แต่ว่าผมโตมาอย่างนี้ก็เลยช่างแม่งมันคิดก็คิดไป บางคนถามว่ามาเล่นหนังทำไม ผมบอกว่าผมอยากดังไม่ได้ต้องการประสบการณ์ ประสบการณ์มีเยอะแล้วผ่านชีวิตมาสี่สิบกว่าปีแล้ว อยากให้คนมาดูหนังแล้วกระซิบกันว่านี่ไง พิง ที่มันทำหนังเรื่องนั้นไง”


และถึงวันนี้ก็ต้องบอกว่าเขาได้เป็นดังสมใจแล้ว และยังได้รับการยอมรับในฐานะผู้กำกับมีฝีมือคนหนึ่งอีกด้วย

“ความสุขของการเป็นผู้กำกับมันมีมากกว่าที่คิดไว้อีก จริงๆนะ แต่ผลตอบแทนมันน้อยกว่าที่คิด คือถ้าคุณเป็นผู้กำกับหนังไทยอย่างเดียวคุณไม่สามารถซื้อบ้าน ซื้อรถได้ เพราะรายได้คุณจะเข้ามาไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้ ก้อนนั้นจะมาเมื่อไหร่ บางเดือนอาจจะไม่มีเงินเข้ามาเลย บางเดือนก็อาจจะมาเยอะหน่อย แต่ที่มีความสุขก็คือ แม่งเป็นงานที่แบบว่าได้ทำตามใจตัวเองดีเหลือเกิน หรืออาจจะเพราะผมโชคดีด้วยก็ได้ มีคนบอกว่าผมโชคดีที่ได้มาทำหนังกับบาแรมยู คุณเชื่อไหมว่าที่บาแรมยูเนี่ยไม่แก้บทหนังของผมเลยแม้แต่บทเดียว ผมส่งหนังผ่านมาแล้วทั้งหมด 3 เรื่องเขาไม่แก้บทผมเลยซักประโยคเดียว ผมถ่ายทำเสร็จแล้ว ตัดต่อเสร็จแล้ว 2 เรื่อง ที่ผ่านมาไม่มีแก้ ไม่ถ่ายเพิ่ม ไม่ถ่ายซ่อมเลย ผมรู้สึกว่าผมได้เล่าสิ่งที่ผมอยากเล่าจริงๆ ผมเคยคุยกับผู้กำกับท่านอื่นเขาบอกว่า บทแม่งกว่าจะผ่านแม่ง 20 ร่าง 30 ร่าง ผมเลยคิดว่าความคิดเริ่มแรกของเรามันจะเหลือเหรอวะ จะเป็นยังไงถ้าต้องแก้ตามใจคนอย่างนี้ แต่หนังผมผ่านร่างเดียวตลอด บางทีผมเขียน 5 วันด้วยซ้ำ หรือกระทั่งกระบวนการผลิตเสร็จหมดเรียบร้อยแล้วก็ต้องมารื้อตอนจบใหม่ เรียงเรื่องใหม่ หนักข้อขึ้นไปถึงต้องถ่ายใหม่ ต้องเพิ่มสิ่งที่เราไม่อยากจะเพิ่มเข้าไป แล้วอย่างนั้นมันจะมีความสุขตรงไหนวะ เราเป็นคนสร้างงานแล้วก็มาอะไรอย่างนี้ แต่ผมก็รู้สึกว่าบางครั้งเชื่อเราก็ไม่ค่อยจะดี เชื่อเขาก็ไม่รู้จะถูกหรือเปล่า สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่ปลายทางการตัดสินของเรามากกว่า ขอให้อำนาจมันอยู่ในมือเราก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงแล้วอะไรอย่างนี้ โชคดีของผมที่ทำให้ผมมีความสุขมากกว่าที่คิดคือบาแรมยูเขาให้อำนาจผมมากกว่าทุกอย่าง แต่ก็มีเงื่อนไขที่ว่าห้ามทำเกินงบนะ ผมทำหนังไม่เกินงบหรอก และผมก็ทำหนังไม่แพงด้วย”

แต่บ่อยครั้งที่ชื่อเสียงเงินทองทำให้คนเปลี่ยนไป สำหรับหนุ่มใหญ่คนนี้ เขาจะยังรักษา ‘ปมด้อย’ ไว้ได้ไหมในวันที่ชีวิตพบความสุขแล้ว

“ผมว่ามันไม่หายหรอก มันโตมากับเราจะหายไปได้ยังไง มันถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นเราไปแล้ว ผมเลยไม่ห่วงเรื่องไฟ หรือเอนเนจี้เลย เพราะผมทำทุกอย่างจากปมด้อยอยู่แล้ว มันอยู่ในตัวผม ผมเป็นแบตเตอร์รี่ที่ชาร์ทไม่มีวันหมดอยู่แล้ว แล้วผมก็ดีใจที่ผมมีมันนะ ผู้กำกับบางท่านอาจจะมีมันนะแต่อาจจะไม่รู้จักวิธีการใช้มัน แต่ผมใช้ทุกครั้งที่จะเขียนนะ โอ้ยนี่เลยเม็ดนี้ใช่มั้ย เอามาเลย เอามาขยี้เป็นเรื่อง 80 แผ่น เอาไปเสนอค่าย เอ้าเม็ดนี้ปมนี้มาพรืดอีก 80 แผ่น เอาไปเสนอค่าย ซึ่งเขาก็สนุกด้วยเราเองก็ยินดี” พิงยิ้มกว้างอีกที

และถ้าสังเกตดีๆ ...ในใบหน้ายิ้มแย้มนั้น ดวงตาของเขายังคงมีแววเศร้าสะท้อนวิบวับอยู่ไม่วาย



เรื่อง/ภาพ: วิภว์ บูรพาเดชะ

LINK: http://www.happeningnow.net/index.php?option=com_content&task=blogcategory&id=21&Itemid=37