Wednesday 23 April 2008

Dreams : ด้วยความใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับ

Title : HoSu, Sarang Yong Won Hee
Author : rose_tulip
Genre : Suspense, Romantic
Pairing : Yunho&Junsu, Yuchun&Jaejung, Changmin


Part “One”
เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กแผดเสียงปลุกเจ้าของที่กำลังหลับสบายให้รู้สึกตัวขึ้นมานิดๆ อย่างขัดใจ มือคว้าหมอนอีกใบมาปิดหูแต่เสียงโทรศัพท์ก็ไม่ได้เงียบลง มือบางราวผู้หญิงควานหาตัวต้นเหตุมาได้ก็จัดการถอดแบตเตอรี่ออกแล้วโยนทั้งแบตทั้งเครื่องลงข้างเตียงอย่างไม่สนใจ ครางฮึมฮัมในลำคออย่างพอใจเตรียมจะหลับต่อได้อีกถ้าไม่ถูกขัดจังหวะอีกครั้งจากเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นถี่ๆ

“คุณหนูแจจุงคะ ตื่นเถอะค่ะ สายแล้วนะคะ” จียอล แม่บ้านอาวุโสของบ้านตระกูลคิม คนที่ทุกคนในบ้านให้ความนับถือเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของบ้าน เดินเข้ามาดึงผ้าห่มที่แจจุงพันไว้จนตัวกลมออกอย่างทุลักทุเลเพราะเจ้าตัวดิ้นหนีไปมาพร้อมส่งเสียงประท้วง

“อื้อ ไม่เอา แจจุงจะนอน ขอนอนต่ออีกนิดนะฮะ จียอล”

“ไม่ได้ค่ะ ตื่นเถอะนะคะ เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน แค่นี้ก็สายแล้วนะ” ผ้าม่านถูกรูดเปิดกว้าง แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาให้ความรู้สึกสดใสทั่วทั้งห้อง แต่ไม่ใช่กับแจจุง “เมื่อกี้คุณพ่อโทรมานะคะ ย้ำเรื่องบ่ายวันนี้คุณหนูอย่าลืมนะคะ”

“บ่ายนี้? ทำไมเหรอฮะ” พึมพำทั้งที่ตายังไม่ลืม จียอลเดินมาข้างเตียงตีเข้าที่ต้นแขนแรงๆ หนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยวคุณหนูคนโตของบ้าน

“วันนี้คุณพ่อจะพาคุณหนูจุนซูกลับมาแล้วไงคะ ลืมไปได้ยังไง เดี๋ยวป้าตีตายเลย” ไม่เดี๋ยวอย่างที่บอกฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยก็ฟาดลงไปที่แขนนั้นอีกหลายครั้งจนแจจุงต้องยกมือปัดป้องแล้วยอมลุกขึ้นมานั่งยิ้มเผล่แต่โดยดี

“แจจุงลืมจริงๆ แหล่ะ เหะๆ โอ๊ย จียอล แจจุงเจ็บนะ” ลูบแขนที่ถูกตีป้อยๆ “ก็ไม่ได้ตั้งใจลืมนี่”

“วันนี้ไปรับคุณทั้งสองแล้วกลับมานอนบ้านด้วยนะคะ อย่าเถลไถลไปไหนเชียว”

“ก็คงต้องอย่างนั้นแหล่ะ ไม่งั้นพ่อบ่นตายเลย” แจจุงรองประธานบริษัทจิวเวอรี่รายใหญ่ของเกาหลี จัดการธุรกิจแทนบิดาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มักมีคำชื่นชมมาให้บุพการีได้ชื่นใจอยู่เสมอๆ ว่าเป็นคนจริงจังกับการทำงาน งานที่ทำไม่เคยเสียหาย แต่ในอีกมุมหนึ่งของชีวิต แจจุงหนุ่มรูปงามหน้าตาจัดไปทางสวยเหมือนผู้หญิงคนนี้เปรียบได้ดั่งเสือที่คอยจ้องตะครุบเหยื่อสาวๆ สวยๆ ในยามค่ำคืนตามสถานบันเทิง รักชีวิตอิสระ มีสาวๆ รายล้อม จึงเลือกที่จะแยกบ้านออกไปซื้อคอนโดอยู่ต่างหาก เผื่อวันไหนที่ดื่มหนักหรือพาใครสักคนที่ถูกใจมาทำเรื่องสนุกๆ ด้วยกันโดยไม่ต้องเกรงใจใครหรือต้องกลัวว่าจะโดนใครบ่น แต่ก็นั่นแหล่ะ ใครจะรู้ว่าเพลบอยอย่างคิมแจจุงน่ะ ก็เป็นแค่เพลบอยฝึกหัดเท่านั้นแหล่ะ!!

“รีบไปอาบน้ำทำตัวให้สดชื่นเถอะค่ะ เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงคุณพ่อจะโทรมาใหม่นะคะ ท่านจะคุยกับคุณ เดี๋ยวดิฉันสั่งให้เขาเอารถคันใหญ่ออกให้คุณเลยนะคะ ตอนบ่ายจะได้ไม่ต้องกลับมาเปลี่ยนรถที่บ้านให้เสียเวลา นี่ค่ะ โทรศัพท์” จียอลยื่นโทรศัพท์ที่แบตเตอรี่ถูกประกอบเข้าเครื่องตามเดิมเรียบร้อยแล้ว แจจุงรับมาพร้อมแกล้งทำสายตาแพรวพราว ยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วใช้แขนสองข้างโอบเอวไว้แล้วโน้มหน้าไปหอมแก้มจียอลฟอดใหญ่พร้อมกระซิบเสียงนุ่ม

“ขอบคุณนะฮะคนสวย”

“คุณหนู!!!” จียอลเงื้อมือขึ้นเตรียมจะตีคุณหนูขี้เล่นนั่นอีกครั้งแต่อีกฝ่ายไวกว่ารีบผละออกมาวางโทรศัพท์ไว้ที่เตียงหันไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่จียอลวางไว้ให้ที่ปลายเตียงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปพร้อมเสียงหัวเราะลั่น จียอลได้แต่ส่ายหัวกับนิสัยขี้เล่นแบบนั้นแต่ริมฝีปากก็ยกยิ้มด้วยความรู้สึกเอ็นดูหนุ่มน้อยที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะเบนสายตาไปที่หัวเตียง กรอบรูปไม้อย่างดีใส่รูปของผู้ชายสามคนต่างวัยยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข

“อีกไม่นานบ้านนี้ก็จะมีความสุขเหมือนเดิมแล้วสินะคะ คุณหนูแจจุงจะได้กลับมาเป็นคนเดิมสักที”





“แหม สายนิดสายหน่อยเองป๊า ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“เมื่อคืนมัวแต่ไปกินเหล้าที่ไหนมาล่ะ หรือว่าทั้งนมทั้งเหล้าวันนี้เลยลุกไม่ขึ้น”

“อืม ก็ทั้งนมทั้งเหล้า เอ๊ย!! ป๊าอ่ะ แต่ยังไงเมื่อคืนผมก็กลับไปนอนบ้านนะครับ”

“แล้ววันนี้ก็อย่าลืมไปรับป๊ากับน้องที่สนามบินล่ะ จำได้ไหมเนี่ยไอ้ลูกชาย”

“รู้แล้วครับป๊า ผมไม่ลืมหรอก เครื่องป๊าลงตอนบ่ายโมงครึ่งใช่ไหมล่ะ”

“ใช่ อย่าเถลไถลไปไหนก่อนเป็นอันขาด ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ห้ามสาย ห้าม..”

“คร๊าบๆ ผมถึงที่ทำงานแล้วแค่นี้ก่อนล่ะกันนะฮะ นี่ป๊าบ่นผมตั้งแต่บ้านยันบริษัทเลยนะฮะ อันตรายรู้ไหมเนี่ย แล้วเจอกันนะฮะ สวัสดีครับ”

แจจุงพับโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าพร้อมกับพ่นลมหายใจอย่างหนักหนึ่งทีก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงที่ประจำ คว้ากระเป๋าเอกสารแล้วเปิดประตูลงมา ตลอดเส้นทางที่จะเดินไปห้องทำงานแจจุงมักจะหยุดทุกๆ สองก้าวเพื่อทักทายตอบกลับไปสำหรับพนักงานที่เดินผ่านมาทักทายผู้บริหารอย่างเขา เพียงแค่รอยยิ้มกระชากใจทั้งสาวทั้งหนุ่มของแจจุงเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็สามารถเป็นพลังในการทำงานให้กับคนทำงานทั้งบริษัทได้แล้ว แต่ก่อนที่จะเดินไปห้องทำงานของตัวเองก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปซะก่อนเมื่อมองเห็นใครบางคนอยู่ในห้องครัว

“มาเปิดประตูบริษัทแต่เช้าเลยยุนโฮ”

“นี่มันสิบโมงแล้ว ไม่เช้าแล้วมั๊งบอส” ยุนโฮที่กำลังชงกาแฟอยู่หันมาตอบ แจจุงพยักหน้าอย่างขอไปทีก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่ง

“ขอกาแฟแก้วสิ”

“ได้ข่าวว่าฉันไม่ใช่เลขานาย ?” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาอาจจะไร้เยื่อใยสำหรับคนอื่นที่ได้ฟัง แต่สำหรับแจจุงคงเป็นข้อยกเว้นเพราะรู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป

“แต่ได้ข่าวว่านายเป็นลูกน้องในบริษัทพ่อฉัน กินเงินเดือนพ่อฉันอยู่ แล้วฉันก็เป็นบอสนาย” ยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างเป็นต่อ

“ไอ้บ้า ข่มได้ข่มไปนะแก” ยุนโฮด่าออกมาเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันไปคว้าแก้วมาชงกาแฟให้แต่โดยดี ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของลูกชายคนโตของเจ้าของบริษัท ไม่ใช่เพราะเป็นลูกน้องของบริษัทอยู่ แต่เพราะยุนโฮกับแจจุงเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม พ่อของแจจุงรู้จักสนิทสนมกับยุนโฮเป็นอย่างดีรักใคร่เปรียบเสมือนเขาเป็นลูกอีกคน ฉะนั้นถ้าจะพูดแรงๆ ใส่กันบ้างก็จะไม่มีใครโกรธใครเป็นอันขาด

“อ่ะ ได้แล้ว” ยื่นแก้วกาแฟหอมกรุ่นให้พร้อมกับนั่งลงตรงข้ามกัน จิบกาแฟของตัวเองไป แจจุงรับไปแล้วก็ยกแก้วขึ้นสูดกลิ่นหอมๆ ของกาแฟชงเสร็จใหม่แล้วค่อยๆ จิบให้กาแฟลงคออย่างช้าๆ แล้วจึงหันมาพูดกับคนที่ชงให้

“อื้ม นายเนี่ยเก่งนะ นอกจากฝีมือกำกับหนังโฆษณาจะเยี่ยมยอดแล้ว ฝีมือการชงกาแฟก็เยี่ยมไม่แพ้กันเลย”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ยักไหล่เป็นเชิงว่าเป็นเรื่องธรรมดา แจจุงเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้

“ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยเนอะ”

แอบเหน็บแต่ในใจก็อดที่จะภูมิใจกับเพื่อนคนนี้ไม่ได้ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขากับยุนโฮแยกกันเรียนคนละคณะ แน่นอนว่าเขาต้องเรียนบริหารเพื่อมาสานงานด้านธุรกิจของครอบครัวต่อ แต่ยุนโฮเรียนทางด้านภาพยนตร์ ด้วยความใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับ

ความสามารถของยุนโฮฉายชัดให้เห็นตั้งแต่ตอนเรียน เมื่อหนังสั้นที่เขาทำร่วมกับเพื่อนๆ เข้าร่วมแข่งขันตามงานประกวดต่างๆ ได้รับรางวัลชนะเลิศแทบจะทุกงาน ทำให้นักศึกษาธรรมดาแต่ฝีมือไม่ธรรมดาเป็นที่จับตามองขึ้นมาทันที เมื่อเรียนจบพ่อของแจจุงชักชวนให้มาร่วมงานกับทางบริษัทยุนโฮไม่ได้ตอบปฏิเสธ แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะไม่เข้าทำงานให้กับบริษัทบอนซองจิวเวลรี่ของตระกูลคิมในทันที แต่จะทำหนังโฆษณาให้กับสินค้าของบริษัทให้ฟรีๆ ก่อน เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีมือ ถ้าพอใจในผลงานเขาก็จะเข้ามาทำ แต่ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องฝืนใจรับเขาเพียงเพราะเป็นเพื่อนกับลูกชาย เพราะยุนโฮต้องการเข้ามาทำงานที่นี่ได้อย่างภาคภูมิใจในฝีมือของตนเองมากกว่าที่จะให้ใครคิดว่าเกาะเพื่อนได้ดีแต่ไม่มีความสามารถ

และยุนโฮก็ไม่ได้ทำให้ใครผิดหวัง เพียงแค่ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่เป็นฝีมือเขาออกอากาศไป แบรนด์ของบอนซองจิวเวอรี่ก็สามารถตีตลาดกลุ่มวัยเริ่มทำงานเพิ่งผ่านชีวิตวัยเรียนมาได้ไม่นานได้อย่างสวยงาม คิมแจซัน พ่อของแจจุงจึงตอบรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งผู้กำกับโฆษณาประจำบริษัทได้อย่างเต็มตัว แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แจจุงภูมิใจในตัวเพื่อนรักคนนี้ได้อย่างไร

“บ่ายนี้นายมีนัดกับสาวๆ ที่ไหนหรือเปล่า”

“ไม่นี่ ทำไมเหรอ”

“ดีเลย ป๊ากับจุนซูจะกลับจากเยอรมันแล้ว ฉันต้องไปรับพวกเขาที่สนามบิน นายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ไปหาข้าวกินกันก่อนตอนเที่ยงแล้วค่อยไปสนามบินล่ะกัน”

“เขาจะกลับมาแล้วเหรอ ดีใจด้วยนะ นายจะได้ไม่ต้องทนเหงาเพราะคิดถึงเขาอีกแล้ว” แจจุงมักจะพูดถึงน้องชายที่อยู่ห่างไกลคนนี้อยู่บ่อยครั้งจนเขารู้สึกเหมือนว่ารู้จักสนิทสนมดีตามไปด้วย แม้ว่าเขาจะยังไม่เคยเจอกับจุนซูเลยสักครั้งก็ตาม

“อืม แต่เสียดายที่มันจะไม่มีวันพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกแล้ว ฉันคิดถึงแม่จัง ”

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุผลในตัวเองเสมอแหล่ะแจจุง ท่านอยู่ด้วยกันไม่ได้ การแยกกันไปอาจจะทำให้อะไรดีขึ้นมากกว่าทนอยู่ด้วยกันอย่างเจ็บปวด”

“นั่นสินะ แม้สุดท้ายมันก็ยิ่งเจ็บหนัก แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าถ้าแม่ไม่จากไป จุนซูจะได้กลับมาอยู่กับพวกเราหรือเปล่า”

“ช่วงเวลาดีๆ มีให้จดจำเยอะแยะไป นายก็เลือกจำสิ แล้วอีกอย่างต่อไปนายก็จะไม่เหงาอีกแล้วนะ” แจจุงยิ้มให้ยุนโฮอย่างขอบคุณในความรู้สึกดีๆ ที่เพื่อนคนนี้ทำให้เขารับรู้ได้เสมอ เพื่อนรักเพียงคนเดียวในชีวิต

“อื้ม แล้วไง เมื่อคืนกินนมดึกไปหน่อยหรือไง วันนี้ถึงได้มาทำงานสาย” ยุนโฮเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ทำให้แจจุงที่กำลังซึ้งต้องหน้าเหวอปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน หน้าสวยค้อนให้ก่อนจะเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“ไอ้บ้า พูดเหมือนป๊าไม่มีผิด นายมาเช้าเกินไปต่างหากเล่า” ยุนโฮพยักหน้าเชิงยอมรับพร้อมกับถอนหายใจ

“ก็คงงั้นมั๊ง ตื่นขึ้นมาแล้วมันนอนต่อไม่หลับ แล้วถ้าจะหลับอีกก็กลัวจะตื่นสาย”

“ฝันอีกแล้วเหรอ ฝันว่าอะไรล่ะคราวนี้” แจจุงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รับรู้ถึงอาการฝันร้ายของยุนโฮที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา

“ก็เหมือนเดิม ฝันมาจะเป็นปีแล้ว ฝันมันอยู่แบบเดิม อาการเดิมนั่นแหล่ะ เหมือนกำลังจะจมน้ำ เออ..แต่เมื่อคืนรู้สึกทรมานมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มานะ ได้ยินเสียงคนเรียก แต่ไม่ได้เรียกชื่อฉัน แต่รู้สึกคุ้นๆ นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินชื่อนั้นที่ไหน เป็นเสียงผู้หญิงมีอายุหน่อย เรียกฉัน เสียงนั้นยิ่งคุ้นมากๆ แล้วก็รู้สึกทรมาน..เหมือนกำลังจะ..ตาย”

“เออ..แม้แต่ชางมินที่รักษากันมาจะเป็นปียังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ฉันก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาให้นายยังไงเหมือนกันว่ะ สงสัยว่าเนื้อคู่นายคงรอคอยอยู่ใต้น้ำมั๊ง แล้วกำลังเร่งให้นายไปหา อาจจะเป็นพวกผีพราย นางเงือก หรือว่า...ปลาพะยูนตัวอ้วนๆ อะไรทำนองนั้น ฮ่าๆ เฮ้ย!!..” พูดยังไม่ทันจบก็ต้องรีบลุกวิ่งไปที่ประตูก่อนที่ลูกเตะจากเพื่อนรักจะลอยมากระทบก้น แล้วจึงหันมาพูดต่อ “ขอบใจสำหรับกาแฟนะ ฝากล้างแก้วด้วย อ้อ..อย่าลืมนัดนะเว้ย เคลียร์งานให้เรียบร้อยอีกสองชั่วโมงเจอกัน ไปล่ะ” ว่าเสร็จแล้วก็วิ่งหนีไปไม่หันหลัง

“ไอ้บ้า ไม่เหลือมาดผู้บริหารเลยนะแก” สวดไล่หลังคนที่วิ่งลับไปก่อนจะหันมาจัดการกับแก้วกาแฟที่เหลือแต่แก้วเปล่าทั้งสองใบก่อนจะกลับไปจัดการทำงานที่โต๊ะให้เสร็จ





สนามบินอินชอนคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารที่กำลังจะออกเดินทางและผู้โดยสารที่มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว คิมแจจุงเดินไปมองตารางการบินแล้วก็เดินไปชะเง้ออยู่กับทางที่ผู้โดยสารขาเข้าจะเดินออกมา คิ้วขมวดพร้อมกับปากที่บ่นอะไรพึมพำอยู่ตลอดเวลา

“เครื่องก็ลงแล้วนี่นาทำไมถึงยังไม่ออกมากันอีกนะ”

ยุนโฮอมยิ้มขำๆ กับอาการของเพื่อน ไม่บอกก็รู้ว่าตื่นเต้นขนาดไหน แม้จะเข้าใจว่าตื่นเต้นแต่ก็ไม่วายเอ่ยกัดเพื่อนจนได้

“เดินไปเดินมาจนพื้นเขาเป็นมันเลื่อมแล้วนั่น ไม่ต้องช่วยสนามบินเขาทำความสะอาดพื้นก็ได้ ฉันเวียนหัวน่า”

“แต่เครื่องลงเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ ทำไมพวกเขายังไม่ออกมากันอีกล่ะ” หยุดเดินแต่ไม่หยุดชะเง้อมองหา

“ก็ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงสักหน่อย อาจจะกำลังรอกระเป๋าอยู่ก็ได้คนตั้งเยอะแยะก็ใช้เวลาหน่อยสิ นายน่ะใจร้อน” แจจุงทำแก้มป่อง ปากยื่นเดินหน้าตูมมายืนอยู่ข้างๆ ยุนโฮแล้วสารภาพ

“ก็ฉันตื่นเต้นนี่นา อยากเจอจุนซูจะแย่แล้ว…ว่าแต่นายไม่สบายหรือเปล่า ทำไมเหงื่อแตกเชียว หน้าซีดด้วย เป็นอะไรหรือเปล่าอ่ะยุนโฮ ฉันเดินไปเดินมาทำให้นายเวียนหัวจริงๆ เหรอ” แจจุงสังเกตเห็นว่ายุนโฮเองถึงแม้จะไม่ได้ลุกลี้ลุกลนเดินไปเดินมาอย่างเขา แต่ใบหน้าที่ซีดเซียวเหงื่อเกาะอยู่บางๆ ทั่วทั้งใบหน้าก็ทำให้ดูอาการน่าเป็นห่วงไม่น้อย

“รู้แล้วก็ยืนนิ่งๆ ซะสิ” ยุนโฮว่า แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าหงอยๆ ของเพื่อนจนต้องรีบบอก “นี่ ฉันล้อเล่น ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย”

“นี่ขอโทษนะที่พานายออกมาด้วย ถ้ารู้ว่านายไม่สบายฉันให้นายพักผ่อนดีกว่า” เอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดนิดๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ที่หน้าซีดอาจจะเพราะเมื่อคืนฉันไม่ค่อยได้นอนเต็มที่น่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ อย่ากังวลเลย” ยุนโฮย้ำกับเพื่อนให้สบายใจ แต่ทำไมในใจเขากลับไม่ยอมสงบและสบายเหมือนอย่างที่บอกเพื่อนไป ตั้งแต่เดินเข้ามาในสนามบินแห่งนี้อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรงกว่าปกติ มือเย็น รู้สึกหัวตื้อๆ อาการเหมือนคนตื่นเต้นกับอะไรบางอย่างทั้งที่เขาไม่ควรจะเป็น แค่มารับพ่อของแจจุงที่เขารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีไม่น่าใช่เหตุผล แต่เพราะอะไร ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เกิดอาการเหมือนคนไม่สบายโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้กัน เสียงโทรศัพท์แจจุงดังขึ้นขัดความคิด แจจุงเอื้อมมือมาแตะไหล่ยุนโฮเบาๆ

“ที่บริษัทโทรมา ฝากดูพ่อกับน้องให้ด้วยนะ แล้วนายน่ะ ถ้าเป็นอะไรรีบบอกฉันนะ ” ยุนโฮพยักหน้าให้พร้อมกับกล่าวขอบใจแจจุงจึงเดินเลี่ยงไปหามุมที่เสียงไม่ดังมากเพื่อจะคุยโทรศัพท์ ส่วนเขาก็เดินไปหาที่นั่ง ถ้าได้นั่งพักสักนิดอาการคงดีขึ้น

“ช่วงนี้ผมคงไม่ค่อยเข้าบริษัทสัก 2-3 วัน แต่ผมเคลียร์นัดทุกนัดหมดแล้วใช่ไหม..อืม..ครับ นัดอื่นฝากคุณเลขาช่วยจัดการเลื่อนออกไปก่อนนะครับ ทำงานดีแบบนี้สิ้นปีจะบอกป๊าให้ขึ้นเงินเดือนพร้อมโบนัสให้นะฮะ”

“.....................”

“โอเคฮะ งั้นแค่นี้นะฮะ ส่วนงานก็อย่างที่บอก ขอบคุณนะฮะ” แจจุงเก็บโทรศัพท์ในระหว่างที่กำลังจะหันหลังเดินกลับมานั่นเองร่างบางๆ ก็หันไปปะทะกับใครคนหนึ่งอย่างแรงจนหงายหลังล้มลงไป

“โอ๊ย!! อูย~~ เจ็บ”

“ขอโทษครับๆ ผมไม่ทันมอง คุณเป็นอะไรมากไหมครับ”

“ก็เจ็บน่ะสิคุณ ถามได้ เดินยังไงไม่ดู...”

“ยูชอน!! / แจจุง!!” ตะโกนเรียกชื่อพร้อมชี้หน้าของอีกฝ่ายอย่างตกใจก่อนที่นิ่งอึ้งกันไปทั้งคู่

“นายกลับมาทำไม” แจจุงเป็นฝ่ายเริ่มถามอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หลังจากที่เงียบกันไปพักนึง

“ตามหาหัวใจมั๊ง” ยูชอนตอบอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้แจจุงเหวออีกรอบ ก่อนที่อะไรจะดำเนินไปมากกว่านี้ยุนโฮที่เห็นความผิดปกติจึงเดินเข้ามา

“เป็นอะไรหรือเปล่าแจจุง”

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” แจจุงตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืน ยูชอนมองคนที่เข้ามาใหม่อย่างพิจารณาแล้วถามอย่างไม่เกรงใจ

“แฟนใหม่นายเหรอแจจุง”

“ไอ้บ้า” แจจุงสวนทันควันพร้อมกับมองตาขวาง ยุนโฮมองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ

“เป็นอะไรกันหรือเปล่าสองคนน่ะ”

“ไม่ได้เป็น / เป็น”

“เฮ้ย!! ยุนโฮถามงี้หมายความว่าไงวะ” ทั้งคู่ตอบพร้อมกันแต่คนละคำตอบ ก่อนที่แจจุงจะหันมาเอาเรื่องกับเพื่อน

“แล้วแกคิดไปถึงไหนล่ะว่ะ ฉันแค่ถามว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นไหม มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าก็แค่เนี๊ยะ”

“ไม่มี”

“แล้วรู้จักกันเหรอ”

“ไม่รู้จัก / รู้จัก”

“ใครรู้จักนาย พูดจาให้มันดีๆ นะ” แจจุงหันไปตวาดแว้ดใส่ยูชอน

“แน่ใจนะเจ๊ว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”

“ฮึ่ย!! อย่าอยู่เลยแก” แจจุงโผเข้าไปจะบีบคอยูชอนแต่ยุนโฮคว้าตัวไว้ได้ทันและก่อนที่จะมีมวยหรือการฆาตกรรมเกิดขึ้นกลางสนามบิน เสียงใสๆ ก็ดังขึ้นห้ามทัพซะก่อน

“พี่แจจุง”

“จุนซู”

“พี่แจจุงจะทำอะไรยูชอนน่ะ” จุนซูเห็นพี่ชายเงื้อมืออยู่ในท่าที่เตรียมจะบีบคออีกคนจึงถามขึ้น

“จะฆ่าหนู!! ช่างเหอะ จุนซูพี่คิดถึงนายจัง” แจจุงหลุดจากการจับของยุนโฮก็เปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน โผเข้ามาหาน้องชายทันทีโดยที่ไม่ทันสังเกตความผิดปกติอะไร

“แล้วไม่คิดถึงป๊าหรือไงไอ้ลูกชาย” คิมแจซันที่เดินตามหลังจุนซูมาเอ่ยเย้าหยอกลูกชาย แววตานั้นมีประกายแห่งความสุขเหลือล้นที่ลูกชายที่รักทั้งสองได้อยู่พร้อมหน้ากันเสียที แจจุงผละจากน้องก็โผเข้าหาบิดากอดแน่นๆ หนึ่งที

“จุนซูเป็นอะไร!!” เสียงยูชอนเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าจุนซูกำลังยืนจ้องยุนโฮตัวสั่น ใบหน้านั้นมีหยาดน้ำตาไหลเป็นทางยาวจากดวงตาทั้งสองข้าง สักพักมือเล็กๆ ทั้งสองข้างก็ถูกยกขึ้นมากุมไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยท่าทางทุรนทุราย จุนซูหายใจรุนแรงเหมือนกำลังจะขาดใจ แจจุงถลาเข้ามารับตัวน้องไว้ก่อนที่จะร่วงลงพื้นเพราะหมดสติ ยุนโฮที่จู่ๆ ก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมายกมือกุมหัวแล้วกดไว้อย่างแรงบรรเทาความปวด มองภาพจุนซูที่หมดสติล้มลงไปอย่างตะลึงแล้วทรุดนั่งลงใกล้กันท่ามกลางความโกลาหล

LINK: http://sarangstory.exteen.com/20071224/hosu-sarang-yong-won-hee-part-1-1