Wednesday, 19 September 2007

โฆษณาขนมเด็กกับเรทรายการ

สังเกตไหมครับ..ที่ผ่านมา มาตรการของรัฐ โดยเฉพาะการควบคุมสื่อทีวี จะเป็นลักษณะดับเบิลสแตนดาร์ด หรือ 2 มาตรฐาน


ถ้าไม่เชื่อลองย้อนข้อมูลระหว่างมาตรการ “โฆษณาขนมเด็ก” กับ “เรทรายการ” ดูก็ได้

“เรทรายการ” แม้จะผ่านออกมาเป็นมติคณะรัฐมนตรี แต่รัฐบาล โดยเฉพาะ”คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯก็ไม่ได้หักด้ามพร้าด้วยเข่า ด้วยการประกาศบังคับใช้ทันที

ยังมีการเรียกผู้บริหารสถานี รวมทั้งผู้จัดรายการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ตั้งวงเจรจาสัมมนากับหลายรอบ ก่อนจะ “ทดลองใช้” ตั้งแต่วันที่ 1 กันยาฯไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาฯ คือ 4 เดือน แล้วมาประเมินผลกันอีกที

แต่ “โฆษณาขนมเด็ก” ทำกันแบบฟ้าผ่าทีวีกันเลยทีเดียว สำคัญถึงขนาดที่ประกาศใช้อย่างปัจจุบันทันด่วน ทั้งๆที่ไม่ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี เหมือน “เรทรายการ”

นี่คือความต่างของ 2 มาตรการ อย่างแรก เป็นมติของรัฐบาลให้บังคับใช้ แต่ก็มีการอลุ่มอล่วย พูดคุยกับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ แล้วจึงทดลองใช้

อย่างหลัง เป็นมาตรการที่มี “คำประกาศ” ของกฎกระทรวงเท่านั้น แต่ก็ทำเหมือนจะเป็นจะตาย คือ ประกาศ “ทดลองใช้”ทันที ตั้งแต่ 1 กันยาฯถึงสิ้นเดือนพฤษจิกายน คือ 3 เดือน หลังจากนั้นก็จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

ผู้บริหารสถานี หรือ ผู้จัดรายการเด็ก รวมทั้งเอเจนซี ได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ ไม่นึกว่าจะถูก “หักคอ”กันขนาดนี้ บางคนบอกผมว่า ทำกันยิ่งกว่า “เผด็จการ” เสียอีก

รัฐธรรมนูญยังเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ก่อนจะมาทำประชามติ..แต่ “โฆษณาขนมเด็ก” แค่จะเรียกผู้บริหาร ผู้จัดรายการทีวี และ เอเจนซีมาพูดคุยทำความเข้าใจกัน อะไรที่เสนอแนะและปรับปรุงได้ เพื่อไม่ให้ “เสียหลักการ” ก็ไม่น่าจะเสียหาย

ร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีสาระหลักๆ คือกำหนดให้มีการโฆษณาสินค้าที่ส่งกระทบต่อเด็กในรายการ “ป” “ด” และ “ท” มีระยะเวลาโฆษณา 10 นาทีต่อ 1 ชั่วโมง

โดยอีก 2 นาที ให้จัดทำโฆษณาส่งเสริมการบริโภคที่มีประโยชน์ต่อเด็ก รวมทั้งห้ามโฆษณาแฝง ชิงโชค ของแถม ห้ามพรีเซ็นเตอร์คนดัง เด็ก และคาแรคเตอร์การ์ตูนที่เป็นที่รู้จัก

ผมขอย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า “โฆษณาขนมเด็ก” ไม่ได้กระทบแค่รายการอักษร “ป” หรือรายการสำหรับเด็กปฐมวัย และรายการอักษร “ด” รายการสำหรับเด็กเท่านั้น แต่ยังลามถึงรายการอักษร”ท”หรือรายการทั่วไป ที่เข้าข่ายว่าเป็นรายการเด็ก

แล้วทีนี้ใครจะเป็นคนชี้ว่ารายการ “ท”รูปแบบไหนจะเป็นรายการสำหรับเด็ก ที่เข้าข่ายมาตรการที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายกำหนดออกมา

แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็วุ่นอิ๊บหาย..มาเจอเวลาโฆษณา ที่บอกว่า 1 ชั่วโมง ให้โฆษณาได้ 10 นาที อีก 2 นาทีเป็นเรื่องวิชาการ..จากเดิมที่โฆษณาได้ 12 นาที และไม่มีข้อห้ามยุบยับ

ประเด็นนี้ “ผู้จัดรายการเด็ก” กระทบโดยตรง ถึงขนาดซึมกะทือ เพราะมองเห็นคำว่า “ขาดทุน”ยืนจ่อประตูหน้าบ้าน

“ซุป-วิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ” เจ้าของบริษัทซูเปอร์จิ๋ว เจ้าของรายการ “ซูเปอร์จิ๋ว” ที่ออกอากาศทางช่อง 9 ยังต้องส่ายหน้า

“น้าซุป”ของเด็กๆทั้งหลายบอกว่า..”ร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีรายได้จากโฆษณาลดลง 2 นาที ซึ่งเป็นรายได้มากพอสมควรที่จะทำให้ประสบปัญหาขาดทุนได้

แม้ช่อง 9 จะลดราคาค่าเช่าเวลาให้ 50% แล้วก็ตาม แต่รายการเด็กที่ดำเนินการอยู่มีต้นทุนค่าผลิตสูงมากตอนละ 4 แสนบาท

ที่ผ่านมาได้พยายามเลี่ยงหลักเกณฑ์ ด้วยการปรับเนื้อหาจากรายการเรทติ้ง “ด” ไปเป็น “ท” แต่หลักเกณฑ์ที่ประกาศใช้ก็ครอบคลุมรายการ “ท” ด้วย หากดูตามสถานการณ์แล้ว รายการคงอยู่ไม่ได้ และยังไม่มีทางออก แต่คงต้องทำรายการต่อไป”

ความเห็นของ “ซุป วิวัฒน์” คงไม่ต่างจากผู้บริหารสถานี และ ผู้จัดรายการเด็กอื่นๆ ที่อยู่ในสภาพจ่อมจมกับสิ่งที่รัฐยัดเยียดให้ โดยที่ตัวเองไม่ได้ออกความเห็นอะไรซักแอะ

การสร้างผลงานที่ยืนอยู่บนซากศพคนอื่น.. ภูมิใจกันนักหรือ?