Monday 24 September 2007

พระบรมราชโองการด่วน

พระบรมราชโองการ

โดย หมายเหตุผู้จัด 24 กรกฎาคม 2550
16:21 น.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ออกหมายรับสั่งจัดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในวันที่ 28 กรกฎาคม ศกนี้ ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. เป็นการระงับดับข่าวลืออันเป็นอัปมงคลแก่บ้านเมืองให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง

* *** * (ข่าวที่ว่าอัปมงคล คือ ลือกันว่า พระบรมฯ สิ้นแล้ว แต่ทางในวัง ปิดข่าว)

ข่าวอัปมงคลที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นเพราะคนอุบาทว์ จัญไรที่คิดการใหญ่ หมายทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหมายที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน

เป็นข่าวอัปมงคลที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันกับการที่มีมืออุบาทว์เข้าไปแฮ็กเว็บไซต์ของกระทรวงไอซีที โดยมีคนใบหน้าสี่เหลี่ยมโบกไม้โบกมือด้วยความยินดีปรีดา จะว่ายิ้มแย้มหรือเย้ยหยันราวกับว่าเป็นทีของข้าที่จะดีใจบ้างล่ะ

เป็นการโบกไม้โบกมือที่เลียนแบบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่เสด็จออกสีหบัญชรในการพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549

เป็นการสร้างข่าวอัปมงคลพร้อม ๆ กันถึงสามส่วน คือทั้งในเมืองหลวงในต่างจังหวัด และในต่างประเทศ

ความหวังลึกๆ ในการสร้างข่าวอุบาทว์นี้ก็พอรู้กันอยู่ว่ามุ่งหมายให้กระทบกระเทือนพระราชหฤทัย ซึ่งมีแต่คนใจบาปหยาบช้าเท่านั้นที่คิดอ่านทำการได้ถึงปานนี้

ข่าวอัปมงคลเรื่องนี้จึงควรเป็นที่เตือนใจของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าความขัดแย้งภายในชาติบ้านเมืองอันก่อเกิดเป็นวิกฤตที่สุดในโลกอยู่ในขณะนี้นั้นไม่ใช่ความขัดแย้งธรรมดา

ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง
ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่
ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนด้วยกัน
แต่เป็นความขัดแย้งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งมุ่งหมายยึดบ้านครองเมืองกันเลยทีเดียว


ความขัดแย้งชนิดนี้จึงไม่ใช่ความขัดแย้งธรรมดาที่อาจแก้ไขได้ด้วยนโยบายสมานฉันท์ แต่เป็น ความขัดแย้งชนิดพิเศษที่เรียกว่าความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ คือเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการสมานฉันท์

ความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ชนิดนี้จะแก้ไขได้ก็โดยทำถูกผิดให้กระจ่าง ยกย่องคนดีและกำจัดคนชั่ว อย่างถึงรากถึงโคน พร้อมๆ กับการสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในหมู่ประชาชน

การหลงตนเองคิดว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวตารมาเกิดหรือหลงตนเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่มีภูมิธรรมสูง ถึงขั้นโปรดโจรชั่วให้กลับใจได้นั้น เป็นความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ

เป็นความเพ้อฝันที่ให้ผลชัดเจนแล้วว่าวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองที่ดำเนินไปภายใต้นโยบายสมานฉันท์นั้นเป็นอย่างไร

ความแตกแยกภายในชาติลดน้อยลงหรือเพิ่มมากขึ้น
ความสงบสุขภายในชาติเกิดขึ้นหรือว่าความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้น
การปกครองบ้านเมืองเป็นไปโดยสงบเรียบร้อยหรือว่าเป็นไปโดยถูกขัดขวางและสร้างความรุนแรงที่ทำให้เกิดวิกฤตขึ้นภายในชาติกันแน่

คนเราทำผิดได้ถูกได้ ความสำคัญอยู่ที่ความรับผิดชอบและความสำนึกต่อหน้าที่รับผิดชอบที่มีต่อบ้านเมืองและประชาชน หากผิดแล้วรู้จักยอมรับผิด
รู้จักสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติราชบัลลังก์ก็จัดว่าเป็นคนดี แต่ถ้าไม่รู้จักสำนึกรับผิดชอบก็ต้องจัดว่าเป็นคนชั่วช้าเลวทราม


นโยบายสมานฉันท์ที่นำมาใช้กับคนโฉดชั่วที่หมายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ดำเนินมาเป็นเวลาร่วมสิบเดือนเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องสงสัยใด ๆ กันอีกแล้วว่าเป็นอย่างไร

มันมีแต่ความล้มเหลวซ้ำซาก มีแต่สร้างความทุกข์ยากแก่แผ่นดิน มีแต่การทำร้ายประเทศชาติ และประชาชน มีแต่ความสับสนวุ่นวายทุกหย่อมหญ้า มีแต่ทำให้คุณค่าของคนไทยเสื่อมทรุดเพราะกลายเป็นทาสน้ำเงินโดยสูญสิ้นวิญญาณของความเป็นคนมากขึ้นทุกที

มีแต่ทำให้ความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และ ถูกบ่อนทำลายอย่างหนักหน่วง ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติ และทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศยับเยินป่นปี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน


นี่คือความผิดพลาดล้มเหลวของนโยบายสมานฉันท์ที่กำลังข้ามขั้นไปถึงการบ่อนทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์กันอย่างโจ่งแจ้งแล้ว

เราประณามการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด และการไม่ยอมรู้สึกสำนึกผิดแล้วทบทวนสิ่งที่ผิดเพื่อทำสิ่งใหม่ที่ถูกต้องและดีงามให้ทันท่วงที


เราขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศได้ร่วมกันประณามผู้กุข่าวอัปมงคลที่มุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมกันทำความคิดความเข้าใจให้ตรงกันว่าคนพวกนี้เป็นศัตรูของชาติและราชบัลลังก์

เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกหมู่เหล่าไม่ว่าข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน ที่จะต้องร่วมกันกำจัดศัตรูแผ่นดินให้สูญสิ้นไปในที่สุด

ณ เวลานี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระเกษมสำราญเป็นอันดี ในขณะที่ทรงปฏิบัติพระภารกิจส่วนพระองค์อันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

นับแต่กรุงรัตนโกสินทร์มีตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จนถึงบัดนี้ มีพระเจ้าลูกยาเธอที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร แล้วรวม 3 พระองค์

คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิส สยามมกุฎราชกุมาร ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเทศไทยได้ว่างเว้นตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารมาเป็นเวลาถึง 80 ปี เพราะนับแต่มีการ พระราชพิธีสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธขึ้นเป็นที่สยามมกุฎราชกุมารเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2437 แล้ว หลังจากนั้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2515 จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระองค์ที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

โบราณว่าของหายากในโลกมี 5 อย่าง คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นมหาราช สมเด็จเจ้าฟ้าชาย เพชรสีม่วง และช้างเผือก

การที่ประเทศไทยว่างเว้นตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารมาถึง 80 ปี และมีพระราชพิธีสถาปนาตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารขึ้นอีกครั้งหนึ่งเป็นพระองค์ที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงต้องนับว่าเป็นบุญ และเป็นโชคดีของประเทศไทยและคนไทยอย่างยิ่ง

ในมงคลสมัยที่วันพระราชสมภพในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 28 กรกฎาคม ศกนี้ จึงควรที่ผองชนชาวไทยจักได้น้อมใจถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงกัน

ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลโลก ตลอดจนพระบารมีแห่งพระบุรพกษัตริย์
และอำนาจแห่งจักรพรรดิบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนอานิสงส์แห่งบุญญาบารมีที่ทรงบำเพ็ญแล้ว ได้ดลบันดาลให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระเจริญ ทรงถึงพร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ สติปัญญา ปฏิภาณจงทุกประการเทอญ

"เกิดเป็นไทยดีกว่าใครในโลกนี้
เพราะเรามีฉัตรใจในทุกหน
ถึงใกล้ไกลสุขแสนในแดนดล
พระจอมคนยังแผ่เงาให้เราเย็น "