Tuesday 25 September 2007
จักรภพวันนั้น ..และจักรภพวันนี้
จักรภพวันนั้น ..และจักรภพวันนี้
ไม่ว่าจะเจอะใครในวงการไหน คำถามที่ไม่พลาดก็คือ "ทำไมจักรภพถึงเป็นได้ขนาดนี้"
เพื่อนๆ ที่เคยคุ้นเคยกับจักรภพ เพ็ญแขต่างรู้สึกประหลาดใจที่อยู่ดีๆ จักรภพเปลี่ยนเป็นคนละคน จากคนที่เคยนั่งด่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ให้คนในวงการสื่อด้วยกันฟังเป็นฉากๆ กลายเป็นโฆษกขบวนการคนรักทักษิณแบบไม่เขินอาย
และไม่ใช่เป็นคนรักทักษิณแบบธรรมดาๆ แต่เป็นคนรักทักษิณแบบหัวชนฝา ถึงขั้นเป็น "มือระเบิดพลีชีพ" ที่พุ่งเข้าชนทั้งคณะมนตรีเพื่อความมั่นคงแห่งชาติและพล.อ. เปรม ตินสูลานนท์
ไม่นานก่อนหน้านี้ จักรภพมีภาพของคนทำสื่อที่มีความรู้ ฉลาดหลักแหลม และมีหลักการ ยิ่งถ้าคนที่เคยใกล้ชิด โดยเฉพาะคนในวงการสื่อด้วยกัน ยิ่งมีความศรัทธาในความสามารถและความแหลมคมของอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศคนนี้
ผมยังจำได้ดีว่าเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จักรภพจะรับตำแหน่งโฆษกรัฐบาล จักรภพยังนั่งวิจารณ์รัฐบาลทักษิณให้ผมและเพื่อนๆ สื่อมวลชนและนักการเมืองฝ่ายค้านสามสี่คนฟัง
"ผมขอบอกเลยครับว่า ผมไม่มีทางรับตำแหน่งโฆษกรัฐบาลทักษิณเป็นอันขาด ผมทำงานกับรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้" ผมยังจำประโยคเด็ดที่ออกจากปากของจักรภพในวงสนทนานั้นได้เป็นอย่างดี
จักรภพในฐานะอุปนายกของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยก่อนเป็นโฆษกรัฐบาล เป็นคนละคนกับจักรภพที่กระโดดเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบอบทักษิณ"
จักรภพในฐานะอุปนายกสมาคมเป็นจักรภพที่เต็มไปด้วยหลักการของคนทำสื่อ พูดจาเสียงดังฟังชัดทั้งในวงสนทนาและในเวทีสาธารณะอย่างไม่ต้องสงสัยว่าในสายตาของเขา ทักษิณคือศัตรูตัวฉกาจของเสรีภาพสื่อ
"พี่เอก" เป็นตัวอย่างที่น่าเลื่อมใสของรุ่นน้องๆ ในวงการสื่อวิทยุและโทรทัศน์ในยุคที่การพูดความจริงหมายถึงการเป็นทำตัวเป็นเป้าของอำนาจรัฐ
เมื่อได้ยินข่าวว่าจักรภพถูกทาบทาบให้ไปเป็นโฆษกรัฐบาลเพราะนายกฯ ทักษิณขณะนั้นอยากได้คนที่มีหน้าที่พูดจาแทนรัฐบาลมีภาพที่เป็นอินเตอร์และสามารถสื่อสารกับฝรั่งได้คล่องแคล่ว ผมจำได้ว่าผมเตือนจักรภพทั้งเป็นการส่วนตัวและในบทความว่า การเป็นสื่อมวลชนกับการเป็นโฆษกรัฐบาลนั้นบทบาทต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนทำสื่อนั้น ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดคือการถ่ายทอดความจริงสู่สาธารณชน
แต่สำหรับคนที่ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ภารกิจหลักคือการปกป้องภาพลักษณ์ของรัฐบาล
พูดง่ายๆ ก็คือ โฆษกรัฐบาลมีหน้าที่พูดหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่อยู่ในอำนาจให้มากที่สุด
ซึ่งหมายความว่า ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องรอง
เพราะโฆษกรัฐบาล (อย่างน้อยก็ตามมาตรฐานของการเมืองไทย) ไม่จำเป็นต้องพูดความจริง โดยเฉพาะถ้าความจริงเป็นสิ่งที่จะทำให้คนที่อยู่ในอำนาจเสียหาย
ที่อุตส่าห์เตือนจักรภพครั้งนั้นก็เพราะไม่อยากให้สังคมต้องสูญเสียคนที่มีภาพของการเป็นนักต่อสู้ของวงการสื่อในภาวะที่อำนาจเงินและอำนาจการเมืองสามารถซื้อทุกอย่างได้
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจักรภพจึงยอมหันหลังให้วงการสื่อและกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่ตัวเองเคยวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่มีดี เหมือนกับที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมนักการเมืองที่มีภาพเป็นคนรุ่นใหม่ถึงได้เข้าแถวเข้าไปรับใช้รัฐบาลทักษิณแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจว่าใครจะโกงจะกิน ไม่ยอมรับรู้ว่าผู้นำและคนใกล้ชิดจะเอาเปรียบบ้านเมืองแค่ไหน
แต่ผมเองไม่รู้สึกแปลกใจมากนักที่จักรภพประกาศรับตำแหน่งโฆษกของรัฐบาลทักษิณอย่างเต็มภาคภูมิเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคนอย่างเขาไม่มีทางรับใช้คนอย่างทักษิณได้
ตรงนี่แหละที่ผมเห็นว่า "ระบอบทักษิณ" ไม่ใช่มีแต่ความเลวร้ายแต่เพียงด้านเดียว
เพราะนอกจากทักษิณแล้วไม่มีผู้นำการเมืองคนไหนในเมืองไทยที่สามารถทำให้นักการเมือง นักวิชาการ และคนทำสื่อมากมาย ที่มีภาพสดในงดงาม แสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาได้ขนาดนี้
ถ้าไม่มีทักษิณ เราอาจมัวหลงผิด มองคนเหล่านี้ด้วยความชื่นชมและความศรัทธา โดยไม่มีทางรู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไร
(จากคอลัมน์ "คิดนอกกรอบ" ใน "คม ชัด ลึก")
ไม่ว่าจะเจอะใครในวงการไหน คำถามที่ไม่พลาดก็คือ "ทำไมจักรภพถึงเป็นได้ขนาดนี้"
เพื่อนๆ ที่เคยคุ้นเคยกับจักรภพ เพ็ญแขต่างรู้สึกประหลาดใจที่อยู่ดีๆ จักรภพเปลี่ยนเป็นคนละคน จากคนที่เคยนั่งด่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ให้คนในวงการสื่อด้วยกันฟังเป็นฉากๆ กลายเป็นโฆษกขบวนการคนรักทักษิณแบบไม่เขินอาย
และไม่ใช่เป็นคนรักทักษิณแบบธรรมดาๆ แต่เป็นคนรักทักษิณแบบหัวชนฝา ถึงขั้นเป็น "มือระเบิดพลีชีพ" ที่พุ่งเข้าชนทั้งคณะมนตรีเพื่อความมั่นคงแห่งชาติและพล.อ. เปรม ตินสูลานนท์
ไม่นานก่อนหน้านี้ จักรภพมีภาพของคนทำสื่อที่มีความรู้ ฉลาดหลักแหลม และมีหลักการ ยิ่งถ้าคนที่เคยใกล้ชิด โดยเฉพาะคนในวงการสื่อด้วยกัน ยิ่งมีความศรัทธาในความสามารถและความแหลมคมของอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศคนนี้
ผมยังจำได้ดีว่าเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จักรภพจะรับตำแหน่งโฆษกรัฐบาล จักรภพยังนั่งวิจารณ์รัฐบาลทักษิณให้ผมและเพื่อนๆ สื่อมวลชนและนักการเมืองฝ่ายค้านสามสี่คนฟัง
"ผมขอบอกเลยครับว่า ผมไม่มีทางรับตำแหน่งโฆษกรัฐบาลทักษิณเป็นอันขาด ผมทำงานกับรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้" ผมยังจำประโยคเด็ดที่ออกจากปากของจักรภพในวงสนทนานั้นได้เป็นอย่างดี
จักรภพในฐานะอุปนายกของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยก่อนเป็นโฆษกรัฐบาล เป็นคนละคนกับจักรภพที่กระโดดเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบอบทักษิณ"
จักรภพในฐานะอุปนายกสมาคมเป็นจักรภพที่เต็มไปด้วยหลักการของคนทำสื่อ พูดจาเสียงดังฟังชัดทั้งในวงสนทนาและในเวทีสาธารณะอย่างไม่ต้องสงสัยว่าในสายตาของเขา ทักษิณคือศัตรูตัวฉกาจของเสรีภาพสื่อ
"พี่เอก" เป็นตัวอย่างที่น่าเลื่อมใสของรุ่นน้องๆ ในวงการสื่อวิทยุและโทรทัศน์ในยุคที่การพูดความจริงหมายถึงการเป็นทำตัวเป็นเป้าของอำนาจรัฐ
เมื่อได้ยินข่าวว่าจักรภพถูกทาบทาบให้ไปเป็นโฆษกรัฐบาลเพราะนายกฯ ทักษิณขณะนั้นอยากได้คนที่มีหน้าที่พูดจาแทนรัฐบาลมีภาพที่เป็นอินเตอร์และสามารถสื่อสารกับฝรั่งได้คล่องแคล่ว ผมจำได้ว่าผมเตือนจักรภพทั้งเป็นการส่วนตัวและในบทความว่า การเป็นสื่อมวลชนกับการเป็นโฆษกรัฐบาลนั้นบทบาทต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนทำสื่อนั้น ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดคือการถ่ายทอดความจริงสู่สาธารณชน
แต่สำหรับคนที่ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ภารกิจหลักคือการปกป้องภาพลักษณ์ของรัฐบาล
พูดง่ายๆ ก็คือ โฆษกรัฐบาลมีหน้าที่พูดหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่อยู่ในอำนาจให้มากที่สุด
ซึ่งหมายความว่า ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องรอง
เพราะโฆษกรัฐบาล (อย่างน้อยก็ตามมาตรฐานของการเมืองไทย) ไม่จำเป็นต้องพูดความจริง โดยเฉพาะถ้าความจริงเป็นสิ่งที่จะทำให้คนที่อยู่ในอำนาจเสียหาย
ที่อุตส่าห์เตือนจักรภพครั้งนั้นก็เพราะไม่อยากให้สังคมต้องสูญเสียคนที่มีภาพของการเป็นนักต่อสู้ของวงการสื่อในภาวะที่อำนาจเงินและอำนาจการเมืองสามารถซื้อทุกอย่างได้
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจักรภพจึงยอมหันหลังให้วงการสื่อและกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่ตัวเองเคยวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่มีดี เหมือนกับที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมนักการเมืองที่มีภาพเป็นคนรุ่นใหม่ถึงได้เข้าแถวเข้าไปรับใช้รัฐบาลทักษิณแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจว่าใครจะโกงจะกิน ไม่ยอมรับรู้ว่าผู้นำและคนใกล้ชิดจะเอาเปรียบบ้านเมืองแค่ไหน
แต่ผมเองไม่รู้สึกแปลกใจมากนักที่จักรภพประกาศรับตำแหน่งโฆษกของรัฐบาลทักษิณอย่างเต็มภาคภูมิเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคนอย่างเขาไม่มีทางรับใช้คนอย่างทักษิณได้
ตรงนี่แหละที่ผมเห็นว่า "ระบอบทักษิณ" ไม่ใช่มีแต่ความเลวร้ายแต่เพียงด้านเดียว
เพราะนอกจากทักษิณแล้วไม่มีผู้นำการเมืองคนไหนในเมืองไทยที่สามารถทำให้นักการเมือง นักวิชาการ และคนทำสื่อมากมาย ที่มีภาพสดในงดงาม แสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาได้ขนาดนี้
ถ้าไม่มีทักษิณ เราอาจมัวหลงผิด มองคนเหล่านี้ด้วยความชื่นชมและความศรัทธา โดยไม่มีทางรู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไร
(จากคอลัมน์ "คิดนอกกรอบ" ใน "คม ชัด ลึก")