Wednesday, 19 September 2007
“เกลียดกันเข้าไส้” ทำไงดี เมื่อต้องร่วมงานกัน
โดย ถนอมจิต คงจิตต์งาม 18 กันยายน 2550 11:52 น.
thanomjit8@yahoo.com
บัวหลากสีไม่ว่าสายพันธุ์ใด ยามเบ่งบานรับแสงตะวันดูงามงดเหมือนกันหมด หากมีโอกาสโผล่พ้นน้ำขึ้นชูช่อ ความสวย ความหอมจะหลอกล่อหมู่แมลงให้บินวนเวียนไปมา สร้างความสุขใจแก่ผู้พบเห็น
ดอกบัวคือดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ เห็นดอกบัวเรามองเห็นความนิ่ง ความเยือกเย็นที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ยามบัวแย้มบานเราเห็นความรื่นรมย์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว
แต่ถ้าตัดฉับกลับมายังภาพยามเย็นช่วงโพล้เพล้ ที่แสงอาทิตย์จวนเจียนลับหายไปจากขอบฟ้า เห็นแต่ความขมุกมัวในความสลัวราง ใจเราก็สัมผัสได้ถึงความวังเวง หดหู่ หมองเศร้า
บัวหลากสี
ศิลปินอาจมองว่าได้เป็นความตรึงใจแบบฟิล์มนัว มืดมน หม่นหมอง เหงา เศร้า แต่สร้างสุขได้อีกแบบ
ภาพเหล่านี้ เป็นภาพสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตมนุษย์ เดี๋ยวแจ่มใส เดี๋ยวหดหู่ ปะปนสลับคละเคล้ากันไป ในแต่ละวัน อารมณ์ของคนทุกข์ ดี๋ยวสุข วันละนับร้อย นับพันครั้ง เหมือนภาพดอกบัวสดใสตัดกับภาพตะวันตกดินที่หม่นเศร้า หากให้เลือก เราคงอยากพบกับความแจ่มใส รื่นรมย์เพียงด้านเดียวมากกว่า
ที่คิดเรื่องนี้ เพราะวันก่อนมีโอกาสได้เจอบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคน ทั้งที่เป็นลูกน้องและทั้งที่เป็นเจ้านาย น่าแปลก คุยเรื่องเที่ยว คุยเรื่องครอบครัว แล้วก็ต้องมาจบกันด้วยเรื่องของคนที่ต้องทำงานร่วมกัน
ดิฉันเชื่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน ก็คือการต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบหน้ากัน แต่ที่กลายเป็นปัญหาก็คือ มีงานที่ต้องทำงานร่วมกันเสียด้วยซิ พูดง่ายๆก็คือ “เกลียดกันเข้าไส้ แต่ต้องทนทำงานร่วมกัน”
คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทำงานมากกว่าอยู่บ้าน โอกาสที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง หรือคนในครอบครัว จึงมีมาก เจอสถานการณ์อย่างนี้เข้า หากคิดทางออกให้ตัวเองไม่ได้ก็ย่ำแย่ สุขภาพจิตก็จะตกต่ำไปเรื่อยๆ
ความไม่ค่อยจะลงรอยกันของคนทำงาน มีหลากหลายสาเหตุตั้งแต่ไม่ชอบหน้า หมั่นไส้เล็กน้อย รุนแรงมากก็คือถึงขั้นทำงานร่วมกันไม่ได้
ถ้าเกลียดกันแล้วยังต้องทำงานร่วมกันนี่สิ แสบสันต์ที่สุด เป็นชีวิตที่ขมขื่นยิ่งกว่าเลือกแต่งงานกับคนผิดเสียอีก เพราะแต่งได้ก็เลิกได้ แต่เลือกที่จะทำงานกับคนไม่ชอบหน้ากันมันเลือกไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
บอกได้เลยงานนี้อย่าหวังพึ่งพาเจ้านายขี่ม้าขาวมาช่วย เพราะเจ้านายอาจไม่เห็น ไม่รู้ หรือรู้ก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จำไว้ว่าตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องหาทางออกให้ตัวเองให้ได้
ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเรื่องประหลาดยิ่งนัก ความรักกับความเกลียดเหมือนเป็นเหรียญสองด้านที่อยู่ร่วมกัน บางครั้งยากที่จะห้ามไม่ให้รักก็รัก ไม่อยากให้เกลียดก็ทำไม่ได้ บางคนเกลียดคนอื่นโดยที่เขาไม่รู้ตัว แต่ที่หนักหนาสาหัสก็คือ ต่างคนต่างก็เกลียดชังกันและกัน
หากใครเจอปัญหานี้มีวิธีเดียวคือต้องเปลี่ยนตัวเรา เพราะเปลี่ยนได้ง่ายกว่าไปเปลี่ยนคนอื่น
ลองเปลี่ยนมุมมองดูไหม ดิฉันว่ามุมนี้ใช้ได้กับความเกลียดทุกประเภท ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมงาน แฟนเก่า สามี ภรรยา ที่อยู่ด้วยกันทุกวัน เพื่อนบ้านที่รั้วติดกัน หรือแม้กระทั่งความเกลียดชังพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงที่สร้างปมเจ็บร้าวลึกให้เรา
ลองมองเขาแบบที่เขาเป็นคนธรรมดา มีเลว มีดี มีปะปนกันอยู่ในร่างเดียวกัน เราก็จะไม่ถือโทษโกรธเคืองเขาจนเกินเหตุ เพราะเขาก็คือคนธรรมดา เป็นบัวก็ยังไม่รู้จะโผล่พ้นน้ำหรือไม่ เหมือนกับเราเหมือนกัน
ส่วนในบทบาทสมมุติ สมมุติว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เป็นสามีภรรยา
หากเราต้องเกี่ยวข้องเป็นเพื่อนร่วมงานก็ทำงานร่วมกันให้งานสำเร็จ เอาตัวตนออกไปเสียคิดถึงแต่งานเป็นที่ตั้ง หากเป็นพ่อแม่ก็ต้องบูชาเลี้ยงดู เป็นเจ้านายก็ต้องให้ความเคารพ เรามีหน้าที่ต้องทำต่อเขาอย่างไรก็ต้องทำไปตามนั้น
อย่าไปมองความเป็นคนปะปนกับบทบาทสมมุติที่เขาเป็นอยู่ เพราะเราจะคิด จะคาดหวังให้เขาดีกว่านี้ เขาน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เขาเองก็คงคาดหวังว่าเราน่าจะดีกว่านี้เช่นกัน
ยามนี้ไม่ว่าใครเกลียดใครก็ตาม ดิฉันว่าน่าจะหันไปดูความเศร้าสลดจากความสูญเสียของผู้คนที่ประสบอุบัติเหตุที่ภูเก็ต
ตะวันตกดิน
สิ่งเหล่านี้อาจให้ข้อคิดเตือนใจ
เราไม่รู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันที่เราต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
รู้วันเกิด มิรู้วันตาย
เราไม่รู้เลยว่า วันไหนคนที่เราแสนเกลียดชังอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาให้เราได้เกลียด ได้ขอโทษที่เราเคยเข้าใจผิด
น้อยคนนักที่จะอายุยืนยาวถึงร้อยปี
แต่ละวันของเราผ่านไปเร็วนัก แต่เราใช้เวลาให้หมดไปจมอยู่ความเกลียดชัง จนไม่มีทีว่างให้กับความสนุกสนาน และความรื่นรมย์อย่างอื่นในชีวิต แค่เห็นชายกระโปรงก็หมดความรู้สึกดีๆ ที่อุตส่าห์เว้นวรรคลางานไปชาร์จแบตเสียแล้ว
กลายเป็นว่าคนที่เรารู้สึกเกลียดที่สุด เข้ามาอยู่ในชีวิตเรามากกว่าคนที่เรารักเสียอีก
ลองหยุดความเกลียด เริ่มต้นเรียนรู้ที่จะรัก เริ่มต้นที่จะหัดปรารถนาดีกับคนอื่น โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทนใดๆ คืนกลับ ทำให้เพราะอยากทำ ไม่ต้องมีเหตุผลประกอบมากมายนัก
ส่วนคนอื่นเขาเกลียดเรา เขาคิดไม่ได้ ก็เรื่องของเขา เป็นปัญหาของเขา เขาก็รุ่มร้อนนอนไม่หลับไปเอง เราหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการคิดดี พูดดี ทำดีให้ได้ก่อน หากเราเข้มแข็งพอ เชื่อเถอะว่า แม้จะเกลียดกันเข้าไส้ ก็ยังทำงานร่วมกันได้
ปัจจุบันเป็นโมงยามที่สำคัญที่สุด อย่าเสียเวลาไปกับความโกรธ ความเกลียดเลย
เพราะเรายังไม่รู้เลยว่า.... เราจะมีวันพรุ่งนี้อีกหรือไม่
อยากจะรื่นรมย์แบบบัวสวย หรือหดหู่แบบตะวันตกดินตลอดเวลา เราเลือกเป็นได้ทั้งนั้น
ชีวิตเป็นของเรา เลือกออกแบบได้ตามใจชอบ
thanomjit8@yahoo.com
บัวหลากสีไม่ว่าสายพันธุ์ใด ยามเบ่งบานรับแสงตะวันดูงามงดเหมือนกันหมด หากมีโอกาสโผล่พ้นน้ำขึ้นชูช่อ ความสวย ความหอมจะหลอกล่อหมู่แมลงให้บินวนเวียนไปมา สร้างความสุขใจแก่ผู้พบเห็น
ดอกบัวคือดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ เห็นดอกบัวเรามองเห็นความนิ่ง ความเยือกเย็นที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ยามบัวแย้มบานเราเห็นความรื่นรมย์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว
แต่ถ้าตัดฉับกลับมายังภาพยามเย็นช่วงโพล้เพล้ ที่แสงอาทิตย์จวนเจียนลับหายไปจากขอบฟ้า เห็นแต่ความขมุกมัวในความสลัวราง ใจเราก็สัมผัสได้ถึงความวังเวง หดหู่ หมองเศร้า
บัวหลากสี
ศิลปินอาจมองว่าได้เป็นความตรึงใจแบบฟิล์มนัว มืดมน หม่นหมอง เหงา เศร้า แต่สร้างสุขได้อีกแบบ
ภาพเหล่านี้ เป็นภาพสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตมนุษย์ เดี๋ยวแจ่มใส เดี๋ยวหดหู่ ปะปนสลับคละเคล้ากันไป ในแต่ละวัน อารมณ์ของคนทุกข์ ดี๋ยวสุข วันละนับร้อย นับพันครั้ง เหมือนภาพดอกบัวสดใสตัดกับภาพตะวันตกดินที่หม่นเศร้า หากให้เลือก เราคงอยากพบกับความแจ่มใส รื่นรมย์เพียงด้านเดียวมากกว่า
ที่คิดเรื่องนี้ เพราะวันก่อนมีโอกาสได้เจอบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคน ทั้งที่เป็นลูกน้องและทั้งที่เป็นเจ้านาย น่าแปลก คุยเรื่องเที่ยว คุยเรื่องครอบครัว แล้วก็ต้องมาจบกันด้วยเรื่องของคนที่ต้องทำงานร่วมกัน
ดิฉันเชื่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน ก็คือการต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบหน้ากัน แต่ที่กลายเป็นปัญหาก็คือ มีงานที่ต้องทำงานร่วมกันเสียด้วยซิ พูดง่ายๆก็คือ “เกลียดกันเข้าไส้ แต่ต้องทนทำงานร่วมกัน”
คนส่วนใหญ่ใช้เวลาทำงานมากกว่าอยู่บ้าน โอกาสที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง หรือคนในครอบครัว จึงมีมาก เจอสถานการณ์อย่างนี้เข้า หากคิดทางออกให้ตัวเองไม่ได้ก็ย่ำแย่ สุขภาพจิตก็จะตกต่ำไปเรื่อยๆ
ความไม่ค่อยจะลงรอยกันของคนทำงาน มีหลากหลายสาเหตุตั้งแต่ไม่ชอบหน้า หมั่นไส้เล็กน้อย รุนแรงมากก็คือถึงขั้นทำงานร่วมกันไม่ได้
ถ้าเกลียดกันแล้วยังต้องทำงานร่วมกันนี่สิ แสบสันต์ที่สุด เป็นชีวิตที่ขมขื่นยิ่งกว่าเลือกแต่งงานกับคนผิดเสียอีก เพราะแต่งได้ก็เลิกได้ แต่เลือกที่จะทำงานกับคนไม่ชอบหน้ากันมันเลือกไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
บอกได้เลยงานนี้อย่าหวังพึ่งพาเจ้านายขี่ม้าขาวมาช่วย เพราะเจ้านายอาจไม่เห็น ไม่รู้ หรือรู้ก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จำไว้ว่าตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องหาทางออกให้ตัวเองให้ได้
ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเรื่องประหลาดยิ่งนัก ความรักกับความเกลียดเหมือนเป็นเหรียญสองด้านที่อยู่ร่วมกัน บางครั้งยากที่จะห้ามไม่ให้รักก็รัก ไม่อยากให้เกลียดก็ทำไม่ได้ บางคนเกลียดคนอื่นโดยที่เขาไม่รู้ตัว แต่ที่หนักหนาสาหัสก็คือ ต่างคนต่างก็เกลียดชังกันและกัน
หากใครเจอปัญหานี้มีวิธีเดียวคือต้องเปลี่ยนตัวเรา เพราะเปลี่ยนได้ง่ายกว่าไปเปลี่ยนคนอื่น
ลองเปลี่ยนมุมมองดูไหม ดิฉันว่ามุมนี้ใช้ได้กับความเกลียดทุกประเภท ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมงาน แฟนเก่า สามี ภรรยา ที่อยู่ด้วยกันทุกวัน เพื่อนบ้านที่รั้วติดกัน หรือแม้กระทั่งความเกลียดชังพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงที่สร้างปมเจ็บร้าวลึกให้เรา
ลองมองเขาแบบที่เขาเป็นคนธรรมดา มีเลว มีดี มีปะปนกันอยู่ในร่างเดียวกัน เราก็จะไม่ถือโทษโกรธเคืองเขาจนเกินเหตุ เพราะเขาก็คือคนธรรมดา เป็นบัวก็ยังไม่รู้จะโผล่พ้นน้ำหรือไม่ เหมือนกับเราเหมือนกัน
ส่วนในบทบาทสมมุติ สมมุติว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เป็นสามีภรรยา
หากเราต้องเกี่ยวข้องเป็นเพื่อนร่วมงานก็ทำงานร่วมกันให้งานสำเร็จ เอาตัวตนออกไปเสียคิดถึงแต่งานเป็นที่ตั้ง หากเป็นพ่อแม่ก็ต้องบูชาเลี้ยงดู เป็นเจ้านายก็ต้องให้ความเคารพ เรามีหน้าที่ต้องทำต่อเขาอย่างไรก็ต้องทำไปตามนั้น
อย่าไปมองความเป็นคนปะปนกับบทบาทสมมุติที่เขาเป็นอยู่ เพราะเราจะคิด จะคาดหวังให้เขาดีกว่านี้ เขาน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เขาเองก็คงคาดหวังว่าเราน่าจะดีกว่านี้เช่นกัน
ยามนี้ไม่ว่าใครเกลียดใครก็ตาม ดิฉันว่าน่าจะหันไปดูความเศร้าสลดจากความสูญเสียของผู้คนที่ประสบอุบัติเหตุที่ภูเก็ต
ตะวันตกดิน
สิ่งเหล่านี้อาจให้ข้อคิดเตือนใจ
เราไม่รู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันที่เราต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
รู้วันเกิด มิรู้วันตาย
เราไม่รู้เลยว่า วันไหนคนที่เราแสนเกลียดชังอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาให้เราได้เกลียด ได้ขอโทษที่เราเคยเข้าใจผิด
น้อยคนนักที่จะอายุยืนยาวถึงร้อยปี
แต่ละวันของเราผ่านไปเร็วนัก แต่เราใช้เวลาให้หมดไปจมอยู่ความเกลียดชัง จนไม่มีทีว่างให้กับความสนุกสนาน และความรื่นรมย์อย่างอื่นในชีวิต แค่เห็นชายกระโปรงก็หมดความรู้สึกดีๆ ที่อุตส่าห์เว้นวรรคลางานไปชาร์จแบตเสียแล้ว
กลายเป็นว่าคนที่เรารู้สึกเกลียดที่สุด เข้ามาอยู่ในชีวิตเรามากกว่าคนที่เรารักเสียอีก
ลองหยุดความเกลียด เริ่มต้นเรียนรู้ที่จะรัก เริ่มต้นที่จะหัดปรารถนาดีกับคนอื่น โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทนใดๆ คืนกลับ ทำให้เพราะอยากทำ ไม่ต้องมีเหตุผลประกอบมากมายนัก
ส่วนคนอื่นเขาเกลียดเรา เขาคิดไม่ได้ ก็เรื่องของเขา เป็นปัญหาของเขา เขาก็รุ่มร้อนนอนไม่หลับไปเอง เราหันมาใส่ใจตัวเองด้วยการคิดดี พูดดี ทำดีให้ได้ก่อน หากเราเข้มแข็งพอ เชื่อเถอะว่า แม้จะเกลียดกันเข้าไส้ ก็ยังทำงานร่วมกันได้
ปัจจุบันเป็นโมงยามที่สำคัญที่สุด อย่าเสียเวลาไปกับความโกรธ ความเกลียดเลย
เพราะเรายังไม่รู้เลยว่า.... เราจะมีวันพรุ่งนี้อีกหรือไม่
อยากจะรื่นรมย์แบบบัวสวย หรือหดหู่แบบตะวันตกดินตลอดเวลา เราเลือกเป็นได้ทั้งนั้น
ชีวิตเป็นของเรา เลือกออกแบบได้ตามใจชอบ