Monday, 22 April 2013

มีประโย ชน์ดีลองอ่านดู : การบร รยายของอาจารย์ไกร มา ศพิมล (นักโภชนาการบำบ ัด)

มีประโยชน์ดีลองอ่านดู : การบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด)
 
 
เรื่องการแนะนำให้งดใช้น้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม นี้มีคนบอกมาหลายคนแล้ว แม้แต่น้ำมันมะกอกชนิดสลากสีเหลือง (สำหรับผัดและทอด) ก็ควรงดเช่นกัน
 
เขาแนะนำให้ใช้น้ำมันหมู แต่ใช้ปริมาณน้อย (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆที่สุดก็จะเจียวได้น้ำมันมากกว่าหั่นชิ้นใหญ่) และเจียวให้พอใช้ในแต่ละครั้งเท่านั้น (อย่าเก็บ) ก็จะดีกว่า แถมกากหมูที่กรอบและหอมยังเอามาใส่ข้าวผัด (แทนเบคอนซึ่งไม่ดีเพราะผ่านกรรมวิธีและใส่สารเคมีที่ช่วยปรุงรสอีกด้วย)) ก็อร่อยมากด้วย แต่ต้องใช้ปริมาณน้อยๆนะคะ การปรุงรสข้าวผัดก็ใช้เกลือผสมไอโอดีนแทนซีอิ๊วจะทำให้รสชาดดีมาก
 
ที่สำคัญคือ ทุกอย่างควรทำแต่พอดีจึงจะได้ผลดี 
อี๊ด
 
 
เท็จจริงพิศูจน์กันเอง มีการอ้างสรรพคุณกันเกลื่อนกล่น จนไม่แน่ใจอันใดจริงอันใดเทียม เช่นการข่มกันระหว่างเทศกับไทย กล้วยไข่หรีอแอปเปิ้ลหรือฝรั่ง
ปลาทูหรีอแซลมอน น้ำมันมะพร้าวหรีอมะกอกหรีอรำข้าว ฯลฯ

ที่แถมท่าออกกำลังกายชุดนี้เข้าท่าดี ง่ายๆสำหรับพวก ส.ว.
From: cheeta21
 
สรุปการบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด)
ในหัวข้อ "ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน" 
หลัก 3 อ.
1.       อารมณ์ต้องดี
2.       ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3.       อาหาร

 
การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น
1.       การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
2.       งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค
3.       กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol
4.       นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ
5.       นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป
6.       การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของริดสีดวงทวาร
7.       กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก
8.       มือประสานกันสองของ ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง

 
อาหาร
ควรหลีกเลี่ยงอาหารทุกอย่างที่มีส่วนผสมของสารเคมี
การสระผม
ไม่ควรใช้แชมพู เนื่องจากมีส่วนผสมของโซดาไฟ ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ
น้ำมันพืช
ควรหยุดกินน้ำมันพืช เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยป้องกันการบูด กันหืน แต่งสี เพราะเมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง
การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด
น้ำมันมะพร้าว นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน
เกลือ
การบริโภคเกลือ ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ
กะทิ
กะทิไม่มี Cholesterol เนื่องจาก Cholesterol จะเกิดจากการผลิตขึ้นเองโดยร่างกายมนุษย์ ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถใช้กะทิแทนน้ำมันมะพร้าวได้ กะทิให้แคลเซียมดีกว่านม ลดความอ้วน ป้องกันเบาหวาน โดยให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 กล่อง (สามารถช่วยแก้เจ็บคอได้ด้วย)
ทั้งกะทิชาวเกาะ และอร่อยดี ไม่มีการเติมสารเคมี เนื่องจากส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ
น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหาร 4 ช้อนกาแฟ
ใช้เป็น Hair Serum
ใช้ล้างเครื่องสำอาง
ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้
มี SPF 90 (Sun block)
Oil Pulling
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสที่อยู่ในช่องปากจะมีไขมันเกาะอยู่ ช่วยลดอาการทางช่องปากได้
น้ำเปล่า อุณหภูมิห้อง
ควรดื่มครั้งละไม่เกิน 150 ซีซี เนื่องจากกระเพาะจุได้ 400 ซีซี เวลาดื่มน้ำให้ค่อย ๆ จิบ อย่าดื่มรวดเดียว และให้ดื่มให้ได้วันละ 14 ครั้งเป็นอย่างน้อย การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ
น้ำตาลปื๊บ
น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลปึกเป็นชนิดเดียวกัน ถ้านำไปเคี่ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งเทียม) น้ำตาลปี๊บแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อดมกลิ่น จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว
น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
เมื่อทานแล้วจะไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ท็อฟฟี่ จึงมีน้ำตาลสูง ไม่ควรบริโภค
กาแฟ
การดื่มกาแฟ จะมีผลไปยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ มะเร็ง แต่กลิ่นของกาแฟจะสามารถช่วยบำบัดโรคได้ ดังนั้นจึงควรสูดกลิ่นกาแฟ แต่ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นเซลมะเร็ง หากชงกาแฟควรใช้น้ำตาลปี๊บ
ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้
ขนมหวานจากกะทิ
ส่วนผสม กะทิ 4 กล่อง โดยกะทิ 1 กล่องจะใช้เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ (ต้องโยนลงในกะทิที่ตั้งไฟ เพราะช่วยลดการเกิดฟอง) และใช้น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะต่อกะทิ 1 กล่อง เคี่ยวกะทิให้เดือด แล้วใส่
-กล้วย ต้องเป็นกล้วยสุก (ใช้ได้ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่) แล้วยกขึ้นทันที เนื่องจากถ้าต้มต่อไปจะทำให้กล้วยมีรสเปรี้ยว
-มันเทศ เผือก ฟักทอง ให้แช่น้ำปูนใส 2 นาที แล้วนำไปต้ม 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปใส่กะทิเดือดอยู่คนให้ทั่วแล้วยกลง
กล้วยไข่
กล้วยไข่ 1 ผล มีสารป้องกันมะเร็งมากกว่า Apple
กล้วยน้ำว้า
ถ้าห่าม ๆ แก้ท้องเสีย กินลดอาการของแผลสด
ผลสุก 2 ลูก และน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน ช่วยลดอาการท้องผูก (ใช้เป็นยาระบาย)
ที่สำคัญ เด็กอายุเกิน 6 เดือนถึงจะกินกล้วยน้ำว้าได้
กล้วยน้ำว้าทั้งหวี หากต้องการเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน ให้จุ่มลงในน้ำเดือด 10 วินาที แล้วนำมาผึ่ง
น้ำมะพร้าวอ่อน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ
กล้วยหอม
มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และอัลไซเมอร์ สำหรับผู้สูงอายุให้ทานสัปดาห์ละ 3 ผล เพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน
สับปะรด
มีสารบอบิเรน ป้องกันมะเร็ง มีมากที่แกนสับปะรด โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง
ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน
การทำบุหงารำไป
พริกไทดำ 1 ส่วน กานพลู 1 ส่วน โป้ยกั๊ก 1 ส่วน (แก้หวัด 2009) ดอกจันทร์ กลีบใหญ่เอามาเด็ดกลีบ 1 ส่วน นำมาคลุกรวมกัน
แต่ถ้านำมาเติมพิมเสน 1 ส่วน การบูร 1 ส่วน (ครึ่งกระป๋อง) เมนทอล 1 ส่วน คลุกรวมกัน ทิ้งไว้ 1 วัน เทใส่ตะแกง นำเอาส่วนที่แห้ง ๆ มาใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ดมกลิ่น ถ้าไม่หอมให้นำไปตากแดด เก็บไว้ใช้ได้นาน 4 ปี แต่ถ้านำน้ำที่แยกออกมาและเติมสมุนไพรอีก 12 ชนิด หมักไว้ 1 เดือน ก็จะคล้าย ๆ น้ำมันที่มีกลิ่นเหมือนพิมเสนเอาไว้ดม และทา
ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาดร์ พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) จะไม่เป็นเบาหวาน
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง
นม
ไม่ควรดื่มนมข้ามสายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ควรดื่มนมวัว นมแพะ
ทุเรียน
กินแล้วไม่อ้วน แต่ช่วยลดความอ้วน และ Cholesterol
ข้าวเหนียว
กินแล้วไม่อ้วน ถ้าไม่มีน้ำตาลทราย
กวาวเครือขาว
สำหรับสุภาพสตรี ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม บริโภคทุกวันวันละ 1 เม็ด จะไม่เป็นวัยทอง

 
===========================================================