หนัง'ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง' รอด "แบน" เป็นจำกัดผู้ชมอายุ18ขึ้นไปหลังดูดเสียงหมิ่นเหม่
คณะกรรมการชุดใหญ่ ของสำนักงานพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม มีมติ อนุญาตฉาย 'ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง' แต่จำกัดผู้ชม อายุ 18 ปีขึ้นไป พร้อมสั่งดูดเสียงเนื้อหาบางช่วง ...
จากกรณี นายนนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับ ได้แสดงความคิดเห็นในหน้าเพจเฟซบุ๊ก "Boundary : ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง" หลังทราบผลว่า : "ผลการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ ของคณะอนุกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เรื่องฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ในราชอาณาจักรไทย ด้วยเนื้อหาที่ขัดต่อความมั่นคงของชาติ และความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ และการนำเสนอข้อมูลบางเหตุการณ์ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล โดยไม่มีบทสรุปทางเอกสาร
อย่าง ไรก็ตาม วันที่ 25 เม.ย. มีรายงานว่า คณะกรรมการชุดใหญ่ ของสำนักงานพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้กลับมติ โดยได้อนุญาตให้เผยแพร่ภาพยนตร์ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงได้แล้ว แต่จำกัดผู้ชมต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่ง "เบิ้ล-นนทวัฒน์ นำเบญพล" ผู้กำกับภาพยนตร์รุ่นใหม่ และได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉายครั้งแรก ในเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลิน ครั้งที่ 63 มาแล้ว เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "ทางที่สำนักงานพิจารณาภาพยนตร์และ วีดิทัศน์แห่งชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เขาบอกว่าขอโทษด้วย ทางคณะกรรมชุดใหญ่เพิ่งได้ดูและตกลงที่จะให้ฉายในเรท 18+ ได้ แต่ว่าขอให้ดูดเสียงในช่วงต้น ความยาว 2 วินาที ในช่วงงานเฉลิมฉลองปีใหม่ที่แยกราชประสงค์ออก ซึ่งทางทีมผู้สร้างก็เห็นว่า เสียงในช่วงนั้น เป็นเสียงบรรยากาศที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเนื้อเรื่อง จึงยินดีที่จะดูดเสียงในช่วงนั้นออก และเขาพิจารณาแล้วว่า มันไม่มีผลกระทบต่อเนื้อเรื่องก็เลยอนุญาตให้ฉายได้ครับ"
ที่ บอกว่ามีการเข้าใจผิดในตอนแรก เข้าใจผิดยังไง และทำไมในตอนนี้ถึงอนุญาตให้ฉายได้? ผู้กำกับหนุ่ม เล่าว่า "เขาบอกว่า ปกติหนังที่จะถูกแบนคือ หลังจากที่คณะอนุกรรมการมีมติว่า จะต้องเรียก
ผู้ กำกับเข้ามา และให้คณะกรรมการชุดใหญ่ได้ดู เหมือนกับว่าเขายังไม่ได้ทำใน 2 ขั้นตอนหลัง แต่เขาอนุมัติกันไปเลย สุดท้ายแล้วคณะกรรมการชุดใหญ่เพิ่งได้ดู และตกลงที่จะให้ฉายได้ครับ"
ทางคณะกรรมได้พูดถึงผลกระทบระหว่าง ไทยกับกัมพูชาในอนาคตไหม ถ้าหนังเรื่องนี้ได้ฉายไป? นายนนทวัฒน์ เปิดเผยว่า "เขาไม่ได้ปิดในเรื่องนี้ครับ ให้ผ่านครับ" ทำไมตัวคุณนนทวัฒน์เองถึงอยากทำหนังแนวนี้? "ต้องเล่าย้อนกลับไป ตัวผมเป็นคนที่สนใจในเรื่องสารคดีอยู่แล้ว ผมไม่ได้สนใจในประเด็นกัมพูชากับไทยเท่าไหร่ แต่ผมสนใจในประเด็นของกรุงเทพฯ แล้วประชาชนคนไทยสามารถเห็นข้อเท็จจริงแต่ตีความได้ต่างกัน ผมเลยสนใจในเรื่องนั้น จนวันหนึ่งมีการสลายการชุมนุม คนเสียชีวิตเยอะ ก็เลยสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ยิ่งเห็นเพื่อนบางคนเขาสนับสนุนให้มีการฆ่ากัน ก็เลยสะเทือนใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย จนวันหนึ่งก็ได้ไปเจอทหารหนุ่มคนหนึ่ง ที่เขาเคยถูกส่งไปภาคใต้และถูกส่งมาที่ม็อบแดง ผมก็รู้จักเขาตอนที่เขาปลดประจำการไปแล้ว เขากำลังเดินทางกลับบ้านที่ศรีสะเกษ ผมก็เลยอยากรู้ว่าคนที่เขาอยู่ในสถานการณ์จริง เขามีมุมมองยังไงกับเรื่องเหล่านี้ ก็เลยขอตามเขากลับไปบ้านด้วยครับ ซึ่งบ้านเขาที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นพอดี มีการปะทะกัน ชาวบ้านฝั่งไทยได้รับผลกระทบเยอะก็เลยไปถ่ายหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบทั้ง 2 ฝั่ง ไทยและกัมพูชา ก็เลยเป็นที่มาของหนังเรื่องนี้ครับ พอถึงจุดๆหนึ่ง ผมก็ไปโฟกัสที่ประชาชนบริเวณชายแดนครับ"
ถ้า หนังเรื่องนี้ฉาย แล้วมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หวั่นจะกระทบต่อส่อจะเกิดปัญหาขึ้นมา ผู้กำกับหนุ่ม กล่าวว่า "ในมุมมองของผมและคนที่ดู น่าจะสร้างความสงบเรียบร้อยมากขึ้น แต่ถ้ามันวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ อันนี้ต้องดูสถานการณ์อีกทีครับ แต่ว่าจากประสบการณ์ที่ฉาย และทุกคนที่ได้ดูเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตัวหนังจะพูดในเรื่องของสันติภาพมากกว่า ที่จะมาทะเลาะกันน่ะครับ".
อย่าง ไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายนนทวัฒน์ นำเบญจพล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก "Boundary : ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง" ระบุว่า "สำนักงานพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ติดต่อมาทางผู้ผลิตภาพยนตร์ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง และขอโทษในความผิดพลาดทางขั้นตอนการพิจารณาว่า มติไม่อนุญาตให้เผยแพร่ในราชอาณาจักรไทยนั้น เป็นเพียงแค่มติของอนุกรรมการ ไม่ใช่มติของคณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งโดยปกติสำหรับภาพยนตร์ที่ไม่อนุญาตให้เผยแพร่นั้นจำเป็นต้องเรียกผู้ ผลิตมาชี้แจงก่อน และต้องผ่านมติกรรมการชุดใหญ่ และกรรมการชุดใหญ่เพิ่งมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์และมีมติให้เผยแพร่ได้สำหรับผู้ มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยมีคำร้องขอให้ดูดเสียงในช่วงต้นความยาว 2 วินาที ในช่วงงานเฉลิมฉลองปีใหม่ที่แยกราชประสงค์ โดยพิธีกรบนเวทีได้พูดว่า "เรามาร่วมเคานท์ดาวน์ และร่วมฉลองให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา" ออก ทางทีมผู้สร้างภาพยนตร์เห็นว่า เสียงในช่วงนั้นเป็นเสียงบรรยากาศที่ไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญของเนื้อหาภายใน ภาพยนตร์ จึงยินดีที่จะดูดเสียงในช่วงนั้นออก
โดย ในส่วนอื่นๆ ที่ทางคณะอนุกรรมการได้แจ้งในครั้งก่อนนั้นว่าไม่เหมาะสม ทางคณะกรรมการชุดใหญ่ไม่ติดใจอะไร และให้คงเนื้อหาทั้งหมดของภาพยนตร์ไว้ดังเดิม".
โดย: ไทยรัฐออนไลน์