" คนเราสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้
แต่เราไม่สามารถผัดวันประกันพรุ่ง
เพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ "
หลายคนเชื่อว่าเมื่อไรที่มีการเปิด AEC จะ มีผลกระทบกับการนำเข้าเสรีแรงงาน แรงงานต่างประเทศ พวกเขมร ลาว พม่า และอินโด อาจจะเข้ามาทำงานในไทยเป็นจำนวนมากด้วยค่าแรงที่ แพงเป็นอันดับ ๒ หรือ อันดับ ๓ ของภูมิภาค อาจทำให้แรงงานไทยตกงานเป็นอย่างมากและอาชีพที่คนไทยน่าจะตกงานเยอะสุด คงเป็นพวกสายอาชีพ เช่น หมอ, ช่างฝีมือ, พนักงานบริการ เพราะพูดได้หลายภาษา
หลายคนเชื่อว่าสินค้าที่มีคุณภาพด้อยกว่าจากต่างประเทศ ซึ่งนำเข้ามาขายในไทยแล้วถูกกว่า อาจทำให้สินค้าไทย ขายไม่ออก เช่น ยางพารา ที่มีคู่แข่ง คือมาเลย์ อินโดนีเซีย ถ้าเปิดเสรี รับรองไทยจะนำเข้ายางพาราจากประเทศเหล่านี้แทนเพราะ ต้นทุนมันถูกกว่า แม้คุณภาพจะใกล้เคียงกันก็ตาม แล้วสินค้าไทยจะโดนกดขี่เยอะ มีคู่แข่งขันทางการค้าเยอะ งานนี้ จะเป็นการวัดว่า สินค้าไทยจะอยู่รอด หรือจะเดี้ยงตายเสียก่อน
หลายคนเชื่อว่า มีเสรีทางด้านวัฒนธรรม จากปัจจุบันไทยเป็นชาตินิยมคลั่งไคล้กระแสต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้การนำเข้าสินค้าและวัฒนธรรมจากต่างประเทศอาจมีคุณค่าสูง แล้วสินค้าไทย ตกต่ำคนไม่สนใจ แล้วเราจะกลืนวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามาแทนจนได้
แต่มีใครเคยคิดบ้างว่าอุปสรรคในการแข่งขันต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนหนึ่งเกิดมาจากนิสัยของคนไทยเองแท้ ๆ ที่ไปขัดกับหลักสากลที่ควรเป็น นั่นทำให้การเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของเราอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า เพื่อนบ้านของเรา เรียกว่า "เดินสะดุดขาตัวเองล้มเอง" ก็ว่าได้ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตนต้องการ ด้วยการเปลี่ยนแปลงนิสัยต่าง ๆ ของตนเองให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรดังนี้
1. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้" มาเป็น "แข่งกับตัวเองทุกวัน" คนเราต้องวิ่งเข้าชนโอกาส ไม่ใช่รอโอกาสให้เข้ามาหา หากเราเตรียมตัวพร้อมตั้งแต่วันนี้ โอกาสเล็ก ๆ น้อยที่เข้ามาก็จะไม่หลุดหายไปไหนแน่นอน
2. เปลี่ยนความคิดที่ว่า "ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ดวง" มาเป็น "ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของเรา" ไม่มีใครที่จะดูถูกตัวเองได้มากกว่าที่ตัวเองทำ หากเรามัวแต่กังวลในเรื่องโชค ลาภ ฤกษ์ ยาม เสียทั้งหมด เราก็จะไม่มีวันที่จะได้ในสิ่งที่เราต้องการเพราะใครทำอะไรได้รวดเร็วกว่าคน นั้นก็คว้าเอาไปหมด
3. เปลี่ยนความคิดที่ว่า "รู้จักถ่อมตัว" มาเป็น "รู้จักเป็นตัวของตัวเอง" มากขึ้น หากมัวแต่ให้ใครมากำหนดความเป็นตัวตนของคุณอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่คุณจะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่คุณต้องการ รัก และชอบ อย่ารอจนกว่าเราจะพร้อม เพราะความพร้อมที่ 100% ไม่มีอยู่ในโลก
4. เปลี่ยนความคิดที่ว่า "ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน แต่อยู่ที่คนของใคร" มาเป็น "ค่าของคนอยู่ที่ความสุขจากการให้" คุณให้อะไรไป คุณก็ได้สิ่งนั้นกลับมา เปลี่ยนจากวัฒนธรรมเห็นแก่ตัวมาเป็นผู้ให้กันบ้าง สังคมเราก็จะดีขึ้นเยอะ ทุกคนที่มองและชื่นชมคุณและรู้สึกดี ๆ จากสิ่งที่คุณให้นั่นแหล่ะ คือบั้นปลายที่คุณจะรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ มันทำให้ชีวิตของคุณมีค่ามากขึ้น
5. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "หน้าใหญ่ใจโต" มาเป็น "รู้จักความเป็นอยู่แบบพอเพียง" ของในหลวง ซื้อแต่สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ มากกว่าที่จะซื้อของที่ฟุ่มเฟือยเพิ่มความมีหน้ามีตา เพราะสิ่งนี้คือเปลือก วันใดที่เรามีหนี้สินขึ้นมา วันนั้นอาจช้าไปเสียแล้ว
6. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "ทำได้ตามใจคือไทยแท้" มาเป็น "เคร่งครัดมีวินัยในการดำเนินชีวิต" เมื่อไรที่ความอิสระเสรีอยู่ในความควบคุมของวินัย เมื่อนั้นชีวิตของเราก็จะถูกจัดสรรอย่างมีระบบ แต่เมื่อไรที่เราขาดวินัย ปล่อยให้ความเป็นไปของกระแสนิยมเข้ามาปั่นหัวของเรา เมื่อนั้นเราก็จะเป็นทาสทางเศรษฐกิจของชาติอื่น ๆ แทน
7. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง" มาเป็น "รู้จักผิดชอบชั่วดี" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้า หรือ บริการ ของเราจะต้องเปิดกว้างให้มีการตำหนิ ติชมได้อย่างสะดวกเพื่อการแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา อย่าให้เสียลูกค้าไปเพียงเพราะเรามองไม่เห็นความผิด หรือความเลวที่เราก่อขึ้นมาเองเด็ดขาด
8. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "ข้ามาคนเดียว" มาเป็น "ทีมเวิร์คนำพาสู่ความสำเร็จ" ไม่มีใครที่สามารถเก่งได้คนเดียวอีกต่อไปในสังคม AEC ทุกอย่างอยู่ที่พลังของเครือข่ายที่รวมผู้มีความสามารถเฉพาะในแต่ละด้านเข้า ด้วยกันถึงจะอยู่รอดและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในสภาวะการเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบัน
9. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "สุกเอาเผากิน" มาเป็น "การวางแผนเป็นเท่ากับสำเร็จไปเกือบครึ่ง" จะทำอะไรก็ตามเราต้องใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด ต้นทุนต่ำที่สุด แต่ถ้าเราทำไปโดยขาดการประมาณการไตร่ตรองให้รอบคอบ สิ่งที่ตามมาก็จะกระทบกับผลกำไร นั่นคือความอยู่รอดของคุณ ทีมงาน และบริษัท
10. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "แมวไม่อยู่หนูร่าเริง" มาเป็น "รับผิดชอบที่ตัวเราเอง" การที่เราต้องมีคนควบคุมอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ควบคุม เราก็จะทำงานเละ เมื่อไรก็ตามที่คิดแต่สิ่งนี้เชื่อว่าเราก็จะไปไม่ถึงไหนเสียที เราต้องเป็นผู้นำของตัวเราเองให้ได้ ควบคุมตนเองให้ได้ นั่นเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของการเป็นคนอยู่บนโลกใบนี้
11. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "กีฬาแพ้แต่คนไม่แพ้" มาเป็น "รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย" ทำอะไรอย่าคิดว่ามันเป็นเกมส์ไปเสียทั้งหมด มนุษย์ทุกคนยังมีชีวิต จิตใจ และกิเลส ขออย่างเดียวเท่านั้นคือ ให้ความรู้สึกแพ้ชนะดังกล่าวอยู่แค่ในกิจกรรมหรืองานที่ทำเท่านั้น อย่าให้มันกลายเป็นความแค้นเคืองไม่จบไม่สิ้นกันเลย
12. เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า "พบกันครึ่งทาง" มาเป็น "ทำอะไรทำให้สุด ๆ" เมื่อไหร่ที่ผลงานเราอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยตลอดเวลา ทุกคนก็คงมองข้ามเราไปหาคนที่เก่งกว่าอย่างแน่นอน จงหาจุดแข็งของคุณให้เจอและเริ่มต้นจากจุดนั้นจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ อย่างแน่นอน
ความจริงยังมีอีกมากมายครับที่คนไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงทางความคิดเพื่อให้ ตนเองไม่หลงตกอยู่ในบ่วงบาปเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงความคิดไปในทางที่ถูกต้องจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ทางการกระทำของคุณในที่สุด บทความนี้ต้องการสรุปว่า อย่าเพิ่งคิดที่จะไปแข่งกับใครใน AEC เลยครับ จงแข่งกันพัฒนาตัวเองเพื่อให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับที่ทุกคนสามารถยอมรับ ซึ่งกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจะดีกว่ามั๊ย? เมื่อวันที่ AEC เปิด มาถึง เราอาจจะไม่ต้องไปกลัวการเปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ อีกเพราะเราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรเป็นแล้ว ชาติใดก็สู้คนไทยไม่ได้ ถ้าคนไทยไม่ดูถูกตนเอง และ ทำใจเปิดกว้างกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง อย่าให้ใครมาพูดกับเราว่า "เป็นคนไทยรู้จักแก้ไข คุณเป็นใครเอาแต่แก้ตัว"