Saturday, 6 October 2007

ธรรมบูรณาภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 7)

ธรรมบูรณาภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 7)

โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย www.suvinai-dragon.com
29 พฤษภาคม 2550 15:10 น.

7. ขุมพลังพันธมิตร

"การต่อสู้กับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องมีมิตรสหาย"

คำนูณ สิทธิสมาน

"จุดเทียนธรรมเล่มน้อย กลางลม
เทียนสว่างพราวพร่างพรม ภพหล้า
กลางใจเหล่าผู้กล้าทั่วหล้า ทั้งผอง
ลมลูบลืมตากว้างแลเห็น ความจริง"

นิรนาม

ในช่วงระหว่างการหยุดเพื่อรอการชุมนุมใหญ่ ในวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีพันธมิตรสำคัญเข้าร่วมเพิ่มอีกกลุ่มพลังหนึ่ง คือ กองทัพธรรม ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก โดยที่ พล.ต.จำลองได้เปิดแถลงข่าวการเข้าร่วมในวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ จากนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เกิดจากการรวมเครือข่ายขุมพลังต่างๆ จำนวนมาก ก็ได้ทำการเลือก แกนนำ ที่มีอำนาจการตัดสินใจสูงสุด ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล สมศักดิ์ โกศัยสุข สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และพิภพ ธงไชย โดยมีสุริยะใส กตะศิลา เป็นโฆษก

ขุมพลังพันธมิตร ในปี 2549 มีจุดแข็งที่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านเผด็จการทหารในเดือนพฤษภาคมปี 2535 ตรงที่ผู้ร่วมชุมนุมในปี 2535 จำนวนมากมีสายสัมพันธ์กับองค์กรจัดตั้งมูลนิธิสหภาพ สมัชชา และพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้การตัดสินใจชุมนุมและขับเคลื่อนพลมีลักษณะรวมศูนย์จัดตั้งค่อนข้างสูง และมุ่งถึงชัยชนะทางยุทธวิธีเป็นหลัก

ขณะที่ขุมพลังพันธมิตรในปี 2549 เป็นขบวนการต่อสู้ในรูปเครือข่ายที่แต่ละกลุ่มพลังล้วนมีลักษณะที่ "จัดตั้งตนเอง" และ "เป็นไปเอง" ถึงขั้นที่แต่ละกลุ่มพลังได้ออกมาเคลื่อนไหว และแสดงจุดยืนต่อต้านนายกฯ ทักษิณ โดยเป็นเอกเทศอย่างกว้างขวางมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะมารวมตัวกันเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขุมพลังนี้จึงมีลักษณะ การนำที่รวมหมู่ มากกว่าในปี 2535 จึงสามารถชี้นำการชุมนุมเพื่อตรึงพื้นที่ที่มีลักษณะยืดเยื้อ ช่วงชิงความชอบธรรมและการยอมรับในสังคมได้ อีกทั้งยังสามารถควบคุมป้องกันไม่ให้การชุมนุมนำไปสู่การประจันหน้าทางการเมือง และความรุนแรงได้ด้วย

การ "ผุดบังเกิด" ของ ขุมพลังพันธมิตร ที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนของไทยนี้ สามารถอธิบายได้จากมุมมองของการเติบโตของ "สังคมเครือข่าย" ในประเทศไทย เพราะเครือข่ายทางสังคมและการเมืองที่มารวมตัวกันเป็น ขุมพลังพันธมิตร ในครั้งนี้ มันเป็น เครือข่ายของการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับภาษา การเล่าเรื่อง สัญลักษณ์ จิตสำนึก และวัฒนธรรม มันจึงเป็นกระบวนการสร้างตัวเองทางสังคมอย่างหนึ่ง และก็เป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันกับระบบการเรียนรู้ และรับรู้ของผู้คนอย่างหนึ่งด้วย

เครือข่ายทางสังคมและการเมืองที่มารวมตัวกันเป็น ขุมพลังพันธมิตร นี้ ได้ใช้การสื่อสารมาเป็นรูปแบบหลักของการผลิตซ้ำในการสร้างตัวเอง โดยผ่าน "สื่อ" ต่างๆ อย่างบูรณาการ ที่สำคัญคือ ASTV วิทยุ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ

องค์ประกอบของเครือข่ายทางสังคมและการเมืองที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ก็คือการสื่อสารที่ผลิตและถูกผลิตซ้ำอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยตัวของเครือข่ายของการสื่อสารนั้นเอง เครือข่ายของการสื่อสารเหล่านี้เป็นการก่อเกิดขึ้นเอง การสื่อสารแต่ละครั้งจะสร้าง "ความคิด ความเชื่อ และความหมาย" ซึ่งทำให้เกิดการสื่อสารครั้งต่อๆ ไป ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายทั้งหมดจึงให้กำเนิดตัวเอง และเป็นการสร้างตัวเอง โดยที่การสื่อสารทั้งหลายจะกลับมาเกิดขึ้นอีกในวงจรป้อนกลับอันหลากหลาย ระบบเครือข่ายนี้จะทำการผลิต ระบบความเชื่อ คำอธิบาย และระบบคุณค่าชุดหนึ่งร่วมกัน ซึ่งจะดำรงคงอยู่ได้ตราบใดที่การสื่อสารยังคงดำเนินสืบเนื่องต่อไป

ด้วยบริบทแห่ง "ความหมายใหม่" ที่มีร่วมกันในการมุ่งโค่นระบอบทักษิณนี้เอง ที่ทำให้คนที่เคยผิดใจกัน หรือมีโลกทัศน์ที่ต่างกัน ต่างก็สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกของขุมพลังพันธมิตรนี้ได้อย่างกลมเกลียวกันอย่างสมัครสมานสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในวิถีทางนี้เองที่ขุมพลังพันธมิตรได้สร้างขอบเขตของมันเองขึ้นมา ขอบเขตนี้มิใช่ขอบเขตทางกายภาพ แต่เป็นขอบเขตของความคาดหวัง ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความผูกพัน ซึ่งจะได้รับการดำรงรักษาโดยตัวเครือข่ายเอง

ในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตระบัดสัตย์อีกครั้งโดยชิงประกาศยุบสภา เพื่อฉวยความได้เปรียบทางการเมือง และเพื่อสลายแรงกดดันจากพลังประชาชน โดยตัดหน้าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะจัดชุมนุมใหญ่ รวมตัวกันกู้ชาติอีกครั้งที่บริเวณท้องสนามหลวง ในวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549

นายกฯ ทักษิณคนนี้ ประกาศตลอดเวลาว่า ตราบใดที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ตราบนั้นจะไม่มีการยุบสภา ลาออกเป็นอันขาด แต่แล้วเขาก็ "ยุบสภา" หน้าตาเฉย ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นชัดๆ ว่า "ทักษิณเป็นนายกฯ ที่เชื่อถือไม่ได้ในคำพูด"

การชุมนุมใหญ่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 นี้ต้องถือว่าตัวทักษิณเองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์ให้ประชาชนพรักพร้อมในการขับไล่แล้ว

* * *

...คืนวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ณ ท้องสนามหลวง

การกำหนดเป้าหมายที่เด่นชัด เป็นหลักสำคัญของนักพิชัยสงคราม ด้วยเหตุนี้ สนธิ และแกนนำพันธมิตรคนอื่นๆ จึงร่วมกันกำหนดเป้าหมายไว้เพียงแค่ "ทักษิณต้องออกไป ระบบการเมืองไทยต้องปฏิรูปใหม่ทั้งหมด" การกำหนดเป้าหมายที่เด่นชัดไว้เพียงแค่นี้ จะทำให้กลุ่มพลังทั้งหลายที่มีพื้นเพต่างกัน ล้วนยืนอยู่ฝ่ายเขา ทั้งหมดถือเป็น พันธมิตรร่วมรบ

สนธิ พอทำความเข้าใจสถานการณ์เบื้องหน้าได้ดังนี้ ตัวเขาคล้ายบุกเบิกโลกใหม่ทางความคิด ยิ่งเมื่อพวกเขาได้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แห่งกองทัพธรรมมาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรล่าสุด กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของพวกเขาคล้ายมีโครงสร้างอันเข้มแข็งที่ไร้เทียมทาน จิตใจสนธิในยามนี้รู้สึกปลอดโปร่งเบิกบานไร้กังวล การเข้าร่วมล่าสุดของ พล.ต.จำลอง มีส่วนช่วยให้ ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ ของพวกเขาที่เปี่ยมอันตราย เปลี่ยนเป็นเรื่องราวอันบรรเจิดเฉิดฉัน และเร้าใจยิ่ง คล้ายกับว่า ในโลกนี้ไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากได้รับการสนับสนุนจากเหล่าแกนนำพันธมิตรอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

แกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คนนี้ แม้มีที่มาต่างกัน แต่ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ ล้วนเป็นผู้กล้าที่กล้าทำ กล้ารับ กล้าเผชิญอุปสรรคต่างๆ ทั้งปวง โดยไม่หวาดหวั่น จึงมีแต่คนประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถกระทำเรื่องใหญ่ เพื่อชาติบ้านเมืองได้อย่างไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ยอมได้แม้กระทั่งการเสียสละชีวิตเพื่ออุดมคติอันสูงส่ง

ภาวะการเป็นผู้นำเป็นศิลปะขั้นสูง ในการสร้างอิทธิพลเหนือจิตใจผู้คน เพื่อจูงใจผู้คนเหล่านั้นด้วยความรู้ คุณธรรม ความกล้าหาญ และจริยธรรม ซึ่งคุณสมบัติแห่งการเป็นผู้นำเหล่านี้ล้วนมีอยู่พร้อมในตัว สนธิ จำลอง พิภพ สมศักดิ์ และสมเกียรติ 5 แกนนำแห่งพันธมิตร ที่ผ่านการต่อสู้ในการเมืองภาคประชาชนมาอย่างโชกโชนในวิถีและแวดวงของตน

สำหรับ สนธิ แล้ว การได้มีชีวิตอยู่รับรู้ถึงการรวมตัวกันเป็นขุมพลังพันธมิตรเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณในค่ำคืนนี้ มันเป็นบุญวาสนาใหญ่หลวง เพราะมันแสดงให้เห็นชัดว่า บัดนี้ "เทียนแห่งธรรม" ได้ถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว เทียนธรรมเล่มน้อยที่ตัวเขาริเริ่มจุดขึ้นท่ามกลางสายลมแห่งพายุเป็นคนแรกเมื่อ 6 เดือนก่อน บัดนี้ได้ถูกจุดติดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วแล้ว

คืนนั้น สนธิ รู้สึกปลอดโปร่งผิดธรรมดา คล้ายกับว่าทุกประการล้วนอยู่ในความควบคุมของเขา บุคลิกภาพที่มีความคิดอ่านเป็นมั่นเหมาะสะท้อนความเชื่อมั่น และความมีอำนาจโน้มน้าวจิตใจผู้คนชนิดหนึ่งเริ่มเปล่งประกายออกมาจากตัวสนธิอย่างชัดแจ้งกว่าเดิม

ยามนี้ สนธิ ขึ้นมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับแกนนำพันธมิตรทั้งหมดบนเวทีพันธมิตร ณ ท้องสนามหลวง ที่เต็มไปด้วยผู้ชุมนุมนับแสนที่พร้อมใจกันมาจากทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมตามนัดหมาย เพื่อขับไล่ทรราชทักษิณ ความรู้สึกร้อนผ่าวระอุประดังเข้าสู่จิตใจของ สนธิ ทุกประการที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามีชีวิตเลือดเนื้อ การศึกขั้นแตกหักใกล้เข้ามาทีละน้อย และเหล่าบุรุษที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาทั้งสี่คนนี้ ล้วนเป็นชายชาตินักสู้อันโดดเด่น ปราศจากความหวาดหวั่นระย่อ และไม่นำพากับความเป็นความตาย

ผลแพ้หรือชนะของการศึกในครั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มแกนนำพันธมิตรของพวกเขาว่าจะสามารถบูรณาการ ความปรารถนาและเจตนารมณ์ที่จะ "กู้ชาติ" ของปวงชนทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมุ่งมั่น และเด็ดเดี่ยวได้หรือไม่ พวกเขาจะต้องเอาชนะศึกในครั้งนี้ด้วยปัญญาและความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยเอา "ธรรมนำหน้า"

โดยที่ไม่มีการตกลงกันล่วงหน้าหรือบอกใครมาก่อน สนธิ เอ่ยปากขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่มาร่วมกันชุมนุมกันที่นี่ และ เขาทรุดตัวก้มลงกราบประชาชนกับพื้นเวที ด้วยความรู้สึกสำนึกตื้นตันในบุญคุณของพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนการต่อสู้ของเขาและของพันธมิตร

พริบตาที่สนธิ ลิ้มทองกุล ก้มลงกราบประชาชนที่หน้าเวที ทีมงานพันธมิตรทุกคนก็พร้อมใจกันก้มลงกราบประชาชน เช่นเดียวกันกราบในจิตใจ กราบในขณะที่ทุกคนกำลังทำหน้าที่ของตนอยู่หลังเวที

พริบตาที่สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ก้มลงกราบประชาชนที่หน้าเวที ด้วยความสำนึกตื้นตัน และรู้คุณนั้นเองก็เป็นพริบตาเดียวกับที่ สนธิ ได้บรรลุ จุดสูงสุดในชีวิตของเขา ในแวบหนึ่งของจิตใจ สนธิสามารถย้อนเห็นเส้นทางในชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาของเขาในชั่วพริบตาเดียว

"ถูกต้อง! ชีวิตที่แล้วมาของตัวเรา ตัวเราได้ผ่านมาหมดแล้วทุกอย่าง อะไรที่เป็นที่สุดของชีวิตเราก็เคยมีมาหมดแล้ว คุกก็เคยติดมาแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เจอมาแล้ว ทั่วโลกก็ไปมาหมดแล้ว ความมั่งคั่งฟุ้งเฟ้อก็เคยผ่านมาหมดแล้ว วันนี้ เราขออุทิศชีวิตที่เหลือของเราทั้งหมดรับใช้พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักยิ่งของเรา จนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้าเท่านั้น"

อ่านตอนที่แล้วได้ที่ http://www.manager.co.th/Daily/ViewBrowse.aspx?BrowseNewsID=1509&SourceNewsID=1554