Showing posts with label News : Production House 2007. Show all posts
Showing posts with label News : Production House 2007. Show all posts

Wednesday, 19 September 2007

"สุธน"ลาแม็ทชิ่งผุดโปรดักชั่นเฮ้าส์

"สุธน"ลาแม็ทชิ่งผุดโปรดักชั่นเฮ้าส์

"ม่ำ สุธน" ผู้กำกับคู่บุญ "ตี๋ แม็ทชิ่ง" แยกวง สวมบทบาทเจ้าของกิจการรายใหม่ ตั้งโปรดักชั่นเฮ้าส์ "ม่ำ ฟิล์ม" เน้นทำงานเร็วคล่องตัว เผยลูกค้ากว่า 20 รายแห่ใช้บริการ ด้านแม็ทชิ่ง เดินหน้าสร้างผู้กำกับหน้าใหม่ บุกตลาดหนังโฆษณาต่างประเทศ
นายสุธน เพ็ชรสุวรรณ (ม่ำ) ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา บริษัท ม่ำ ฟิล์ม จำกัด เปิดเผยว่า ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา ที่บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา หลังร่วมงานมา 10 ปี โดยมาลงทุนตั้งโปรดักชั่นเฮ้าส์ ชื่อ "ม่ำ ฟิล์ม" และมีทีมงานประมาณ 10 คน โดยตนเองรับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนัง และวางบทบาทเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์ขนาดเล็ก ที่เจ้าของสินค้าสามารถพูดคุยกับผู้กำกับได้โดยตรง เพื่อลดขั้นตอนการทำงานระหว่างเจ้าของหนังและผู้กำกับลงทำให้การทำงานคล่องตัวและรวดเร็ว

"ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มรู้สึกมีปัญหาติดขัดเรื่องการตัดสินใจทำงาน และงบประมาณที่ถูกกำหนดให้ใช้สร้างหนังโฆษณามีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเข้าใจว่าการเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ต้องรับผิดชอบหลายด้าน ทั้งลูกค้าและผู้ถือหุ้น ผมมองว่าการทำงานมาถึงทางตัน จึงตัดสินใจลาออกมาตั้งบริษัทเล็กๆ และทำงานที่ชอบดีกว่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่ตัดสินใจครั้งนี้ แม้ไม่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการแต่ก็ต้องการได้รับผลตอบแทนจากการทำงานมากขึ้น" นายสุธน กล่าว

นายสุธน กล่าวอีกว่า ขณะนี้ มีลูกค้าทั้งรายการเก่าที่ชอบในฝีมือการกำกับหนัง และรายใหม่ รวมทั้งลูกค้าต่างประเทศ เข้ามาติดต่อประมาณ 20 ราย แต่ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นผู้กำกับหนังเองทุกเรื่อง และมีทีมงานไม่มาก จึงรองรับการผลิตหนังโฆษณาได้เพียงเดือนละ 3 เรื่องเท่านั้น โดยสามารถสร้างสรรค์หนังโฆษณาได้ตั้งแต่งบประมาณเรื่องละ 2.5-15 ล้านบาท

"จุดเด่นของ ม่ำ ฟิล์ม สามารถสร้างหนังได้ทุกแนว ทุกประเภทไม่เฉพาะแนวตลก ที่เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของตนเอง และลูกค้ามักคาดหวังจุดนี้เป็นลำดับแรก โดยต้องการทำงานที่ตนเองชอบ และลูกค้าพอใจ แม้มีงบประมาณไม่มาก ก็ยินดีจะทำงานให้ เพราะแค่มีรายได้พออยู่ได้ ผมก็แฮปปี้แล้ว" นายสุธน ระบุ

ประวัติการทำงานของ สุธน เพ็ชรสุวรรณ เริ่มงานครีเอทีฟ ที่เอเยนซี ลินตาส 7 ปี หลังจากนั้นมาร่วมงานกับ แม็ทชิ่ง สตูดิโอ ประมาณ 10 ปี โดยเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาติดอันดับท็อปเทนของโลก และท็อปทรีของเอเชีย ผลงานการกำกับหนังโฆษณาที่ได้รับรางวัลประกวดโฆษณาในเวทีประกวดระดับโลก CANNES LIONS เรื่องแรกคือสุราแบล็คแคท ชุดไอ้ฤทธิ์ กินแบล็คฯ และอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น หนอน ยูนิฟ ,โซเค่น ดีวีดี และล่าสุดแผ่นฝ้าเฌอร่าชุดจิ้งจก

แม็ทชิ่งเดินสร้างผู้กำกับรุ่นใหม่

นายสมชาย ชีวสุทธานนท์ (ตี๋ แม็ทชิ่ง) กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัทแม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม็ทชิ่งได้เปิดรับผู้กำกับหน้าใหม่ที่มีพื้นฐานจาก ครีเอทีฟ ในเอเยนซีโฆษณา มาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้กำกับ 12 คน โดยแต่ละคนจะมีความโดดเด่นแตกต่างกัน นอกจากมีฝีมือด้านการกำกับหนังโฆษณาที่มีความตลกขบขัน มีไอเดียตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งเป็นสไตล์ที่โดดเด่นของผู้กำกับไทยในเวทีโลกแล้ว

ปัจจุบันแม็ทชิ่งฯ มีผู้กำกับที่มีความสามารถกำกับหนังโฆษณาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น มนชนก สมใจเพ็ง ผู้กำกับหนังโฆษณาแนวสวยงาม ทวีพล ธีระวิชิตชัยนันท์ เชี่ยวชาญแนวเล่าเรื่อง หรือ รฐกร อภิชาติโยธิน ที่โดดเด่นหนังวัยรุ่น โดยผู้กำกับทุกคนของแม็ทชิ่ง สามารถส่งออกไปกำกับหนังโฆษณาต่างประเทศได้ทุกคน

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แม็ทชิ่งได้เริ่มบุกตลาดหนังโฆษณาต่างประเทศมากขึ้น หลังจากสร้างแบรนด์ "แม็ทชิ่ง" มากว่า 15 ปี ได้รับรางวัลผลงานโฆษณาด้านการผลิตทั้งในเวทีระดับประเทศ ภูมิภาคเอเชีย และระดับโลก กว่า 700 รางวัล ในปี 2549 รายได้จากตลาดต่างประเทศมีสัดส่วน 30% และในครึ่งแรกปีนี้สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 40% แล้ว ดังนั้นถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 50% ซึ่งจะมาชดเชยรายได้จากการผลิตหนังโฆษณาในประเทศที่มีแนวโน้มลดลงในปีนี้

การเตรียมการต่างๆอีกทั้งอยากให้รอดูภาพยนตร์โฆษณาก่อน

กว่าจะได้ ทำ สกูีปพิเศษนี้ จะต้องใช้เวลาในการย่อรูปเยอะครับ และการเตรียมการต่างๆอีกทั้งอยากให้รอดูภาพยนตร์โฆษณาก่อน แล้วค่อยมาอ่านเบื้องหลังครับ ดังนั้น สกู๊ปนี้อยากจะลงรุปเยอะๆ จึงต้องย่อรูปลงมากหน่อยจะได้มีหลายๆรูป การเข้าร่วมการถ่ายทำโฆษณานั้นได้รับการ casting จาก บริษัท ม่ำฟิล์ม ( mum films ) กรุงเทพมหานคร ของ คุณ สุธน เพชรสุวรรณ จากเวบมาสเตอร์เคยทำงานด้านการตลาดมาก่อนนั้น คุณสุธน เพชรสุวรรณ เป็นผู้กำกับฝีมือดี เคยไต่อันดับไปถึง มือ 3 ของโลก หนึ่งของเอเชีย และ หนึ่งของไทยในการทำโฆษณา ผลงานที่ผ่านมา คือ ไอ้ริดกินแบลค , หนอนชาเขียว , จิ้งจกตกลงมาตาย , โซเค่นดีวีดี (มันก็จะ มันก็จะ) , ควายมั้ยพี่ ควายมั้ยพี่ โครงการพลังงานหารสอง และอื่นๆอีกมากมาย

และแล้ววันพุธทางทีมงานต้องการนักเรียนมีความสามารถในการแสดงและพูดภาษาได้ดี จึงมาคัดที่ English Program เสมาเมือง และวันศุกร์นัดหมายว่า กำหนดการเป็นเช่นไร วันเสาร์ เป็นการ fitting (ลองชุด) และ Blocking ( การจัดตำแหน่งการยืน) วันเสาร์เริ่มถ่ายทำ ผมไม่สามารถเล่าได้เป็นอย่างดีเพราะ ติดเป็นผู้อำนวยการหน่วยเลือกตั้งไม่ได้มาดู เขาถ่ายทำ แต่ถ่ายทำกันทั้งวัน โดยทางทีมงานรับรองอย่างเต็มที่ ทั้งนักเรียนผู้แสดงและ ผู้ปกครองทั้งอาหารการกินและที่พักอาศัย วันอาทิตย์ ยังคงถ่ายทำทั้งวัน มีการถ่ายทำโดยใช้ blue screen (การใช้คอมพิวเอตร์กราฟฟิกช่วยในการแต่งภาพ)โดยมีกองตำรวจน้ำให้การดูแลอย่างเต็มที่ งั้นเรามาดูบรรยากาศพร้อมคำบรรยายเลยดีกว่านะครับ

เป็นการคัดเลือกตัวนักแสดงครับ casting โดยเป็นเด็กนักเรียน English Program grade 1
คัดๆๆ กำลังชะเง้อดูด้วยความสนใจ คัดโดยพี่เปิ้ล แสดงบทบาทสมมติ
กำลังบันทึกภาพ เพื่อให้ทีมงานถ่ายทำคัดนักแสดงอีกครั้ง

เริ่มวันถ่ายทำแล้วกันนะครับ ที่ถ่ายมานั้นเป้นวันที่สองของการถ่ายทำ เช้าตรู่เลยครับ เด็กๆออกมาจากรีสอร์ทที่ทางทีมงานจองเอาไว้กว่า สามสิบหลังครับ ผู้ปกครองและนักแสดงเตรียมขึ้นรถไปยังสถานที่ถ่ายทำครับ
อลงกตรีสอร์ทกว่าสามสิบหลังถูกจองและพักโดยนักแสดงและทีมงาน พี่เปิ้ล ผจก กองถ่ายกำลังซักซ้อมกับนักแสดงรุ่นเยาว์ ก่อน น้องปันดา ถามจังเลย ออกเดินทางกันแล้วครับ ถึงโรงไฟฟ้าครับ ผู้ปกครองกำลังพูดคุยกันก่อนทานข้าวเช้า
อุปกรณ์เขาได้ติดตั้งเสร็จแล้ว พวกรางดอลลี่งทั้งหลายครับ

ไมค์บูมครับกับไวเลสไมค์ตัวนี้ ที่ติดกับตัวนักแสดง ตัวละ สองแสนบาท ย้ำ สองแสนบาท ให้สังเกตหนวดที่ชี้ขึ้นมา หนึ่งคู่ นั่นคือ หนึ่งอันครับ จอมอนิเตอร์ครับสำหรับผู้กำกับ นี่ครับอาหารกองถ่าย ข้าวหมกไก่ รถน้ำเคลื่อนที่ มีทั้งพ่วงหลังด้วย อร่อยเลยทีเดียว
เครนยก ของกล้อง ในมุมสูง กลับมาดูเขาทานกันต่อ หม่ำกันใหญ่เลย ตุนไว้ก่อน เดี๋ยวเหนื่อยขึ้นมา แตงกวา โอห์มชอบ ทานกันใหญ่เลย รถบรรทุกอุปกรณ์การถ่ายทำ ติดตั้งกล้องแล้วพร้อมถ่าย

เมื่อมาถึงตอนสุดท้ายของการถ่ายทำ ก็จบไปได้ด้วยดี ถ้าท่านได้ดูเวบไซต์ถึงตอนนี้หวังว่าท่านคงได้ดูโฆษณามาแล้ว ทำให้ท่านมีอัตถรสในการชมภาพยนตร์โฆษณามากขึ้น ถึงแม้จะออกมาแค่ สามสิบวินาทีก็ตามความยากลำบากมีแค่ไหน แต่เสียงตอบรับทั้งผู้ปกครองและนักเรียนชื่นชอบมากครับ

ปล. บุคคลที่แสดงเป็น ครูนำนักเรียนมา เป็นครูจริงๆนะครับ จาก บดินเดชา สิงหเสนี ได้ชมกับทางเวบมาสเตอร์ว่า นักเรียน English Program อ่านภาษาอังกฤษได้เยี่ยมมากๆ อ่านออกทุกคำ และได้รับคำชมจากทีมงานทุกๆคน

คำศัพท์จากงานนี้

casting = การคัดนักแสดง , fitting = การลองชุด , Blocking = การกำหนดตำแหน่งการยืน , movie camera = กล้องถ่ายทำภาพยนตร์ , crane = ปั้นจั่นยก (ทับศัพท์ เครน) , blue screen = ฉากสีฟ้า (ปัจจุบันใช้สีเขียวในการ ไดคัทในคอมตัดต่อ) , และ and action เด็ก ๆ จะจำคำนี้ไปอีก นาน






Monday, 13 August 2007

ส่งออก ผู้กำกับหนังโฆษณาบุกตลาดต่างประเทศ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หลังจากแบรนด์ "แม็ทชิ่ง สตูดิโอ" สร้างชื่อในฐานะผู้ผลิตหนังโฆษณามากกว่า 15 ปี และหนังโฆษณา"ไทย สไตล์" ที่โดดเด่นเรื่องอารมณ์ตลกขบขัน เป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีประกวดโฆษณาระดับโลก วันนี้ แม็ทชิ่ง สตูดิโอ ได้เดินหน้า "ส่งออก" ผู้กำกับหนังโฆษณาบุกตลาดต่างประเทศนับเป็นอีกย่างก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์โฆษณาของเมืองไทย
สมชาย ชีวสุทธานนท์ (ตี๋ แม็ทชิ่ง) กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัทแม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แม็ทชิ่งได้เริ่มบุกตลาดหนังโฆษณาต่างประเทศมากขึ้น หลังจากสร้างแบรนด์ "แม็ทชิ่ง" มากว่า 15 ปี ได้รับรางวัลผลงานโฆษณาด้านการผลิตทั้งในเวทีระดับประเทศ ภูมิภาคเอเชีย และระดับโลก กว่า 700 รางวัล
"ประเทศไทยยังไม่มีองค์กรที่มารองรับอาชีพ ผู้กำกับหนังโฆษณา หรือ บริษัทโปรดักชั่นส์ เฮ้าส์ การว่าจ้างงานจากต่างประเทศ จะดูจากบริษัทที่ได้รับรางวัลจากเวทีประกวดระดับนานาชาติ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม็ทชิ่ง มีผลงานอย่างชัดเจน ทำให้ขยายงานออกสู่ต่างประเทศได้ง่ายขึ้น " สมชาย ระบุ
ดันรายได้ต่างประเทศทะลุ50%
ปัจจุบันผู้กำกับหนังโฆษณาฝีมือดีของแม็ทชิ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ อย่าง สุธน เพ็ชรสุวรรณ (ม่ำ) ซึ่งติดอันดับท็อปเทนของโลก และ ท็อปทรีของเอเชีย ได้รับการติดต่อให้กำกับหนังโฆษณาทั้งจากเอเชีย สหรัฐ และยุโรป อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีหนังโฆษณาจากสหรัฐ และยุโรป เข้ามามากขึ้น เพิ่มจากตลาดเอเชีย ที่เป็นลูกค้าประจำ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งจะไปโรดโชว์ตลาดเวียดนามร่วมกับ 22 เอเยนซีในเดือน สิงหาคมนี้
ในปีที่ผ่านมารายได้จากต่างประเทศมีสัดส่วน 30% แต่ในครึ่งปีแรกนี้สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 40% แล้ว ดังนั้นถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 50% ซึ่งจะมาชดเชยรายได้จากการผลิตหนังโฆษณาในประเทศที่มีแนวโน้มลดลงในปีนี้
สมชาย กล่าวว่าในปีที่ผ่านมาแม็ทชิ่งทั้งกลุ่มมีรายได้ 1,000 ล้านบาท รายได้หลักมาจากแม็ทชิ่ง สตูดิโอ ซึ่งเป็นโปรดักชั่นส์ เฮ้าส์ ผลิตหนังโฆษณาประมาณ 500 ล้านบาท ในช่วงต้นปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้แม็ทชิ่ง สตูดิโอ ไว้จำนวน 600 ล้านบาท แต่หลังจากการดำเนินงานผ่านไปครึ่งปีและภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มขยับตัวเพิ่มขึ้น ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทได้ปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปีใหม่โดยลดลงเหลือ 480 ล้านบาท หรือลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมูลค่าการผลิตหนังโฆษณาต่อเรื่องลดลง จาก 2.5 ล้านบาทปีก่อน เหลือ 2 ล้านบาทปีนี้ และหนังโปรดักชั่นส์ใหญ่ระดับ 10 ล้านบาทลดลง
อย่างไรก็ตามเชื่อว่ารายได้รวมของกลุ่มแม็ทชิ่งปีนี้จะไม่ลดลงจากปีก่อน โดยยังคงเป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาทไว้ เนื่องจากรายได้จากกลุ่มรายการโทรทัศน์ แม้จะมีรายการเดียว คือ ปลดหนี้ ทางช่อง 7 แต่มีแนวโน้มเติบโตสูง จากการทำอีเวนท์ ร่วมกับรายการทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
"ปีนี้แม็ทชิ่ง ไม่ตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น เพราะเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง คงไม่ต่างจากครึ่งปีแรก และหากสามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายในปีนี้ กว่ารัฐบาลใหม่จะฟอร์มทีมงานเสร็จ เริ่มการทำงาน และส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส4 ปีหน้า"
ปั้นผู้กำกับใหม่รับเทรนด์โฆษณาไทยบูม
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแม็ทชิ่งได้เปิดรับผู้กำกับหน้าใหม่ที่มีพื้นฐานจาก ครีเอทีฟ ในเอเยนซี มาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีเพียง 6 คน ปัจจุบันมีผู้กำกับ 12 คน โดยทุกคนจะมีความโดดเด่นแตกต่างกัน นอกจากมีฝีมือด้านการกำกับหนังโฆษณาที่มีความตลกขบขัน มีไอเดียตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งเป็นสไตล์ที่โดดเด่นของผู้กำกับไทยในเวทีโลกแล้ว ทุกคนยังมีความสามารถกำกับหนังโฆษณาด้วยแนวที่หลากหลาย เช่น มนชนก สมใจเพ็ง ผู้กำกับหนังโฆษณาแนวสวยงาม ทวีพล ธีระวิชิตชัยนันท์ เชี่ยวชาญแนวเล่าเรื่อง หรือ รฐกร อภิชาติโยธิน ที่โดดเด่นหนังวัยรุ่น โดยผู้กำกับทุกคนของแม็ทชิ่ง สามารถส่งออกไปกำกับหนังโฆษณาต่างประเทศได้ทุกคน
สุธน เพ็ชรสุวรรณ ผู้กำกับ บริษัทแม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่หนังโฆษณาไทยได้รับความสนใจ และได้รับรางวัลจากเวทีประกวดโฆษณาระดับโลก ทำให้ทั้งโลกรู้จักหนังโฆษณาแบบ "ไทย สไตล์" คือมีความตลกขบขัน ไม่เครียด เป็นหนังโฆษณาที่เข้าถึงคนผู้ชมได้ทั่วโลก ทำให้มีจุดเด่นแตกต่างจากหนังโฆษณาประเทศอื่นๆ ผู้กำกับไทยจึงได้รับความสนใจจากต่างประเทศมากขึ้น
"แต่สิ่งสำคัญของการกำกับหนังโฆษณาอันดับแรก ไม่ใช่การกำกับหนังให้ตลกขบขัน เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ชมเท่านั้น แต่จะต้องตอบโจทย์การขายสินค้าให้ลูกค้าได้ทุกด้าน ด้วยไอเดียที่เข้าถึงผู้ชม"
ปัจจุบันการทำงานของผู้กำกับถูกบีบคั้นด้วยงบประมาณที่ลดลง บนความคาดหวังเรื่องคุณภาพเท่าเดิม ทำให้ไม่สามารถที่จะทำงานแบบเดิมได้อีก สิ่งที่ต้องทำคือต้องพูดคุยกับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด
สำหรับผลงานของผู้กำกับหนังโฆษณาจากแม็ทชิ่ง ที่ได้รับรางวัลประกวดโฆษณาในต่างประเทศล่าสุด คือ ผลงานของ ธน เพ็ชรสุวรรณ ได้รับ CANNES LIONS 2007 รางวัล Silver Awards ผลิตภัณฑ์ แผ่นฝ้าเฌอร่า ชุด“จิ้งจก” และ ทวีพล ธีระวิชิตชัยนันท์ ได้รับ Phoenix Awards 2007 ประเทศสิงคโปร์ รางวัล Silver ผลิตภัณฑ์ นมตราหมี ชุด “COW”

Link: http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/03/WW14_1413_news.php?newsid=82127

Individual Style Production House The Film Factory

พงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู The Film Factory
Individual Style Production House The Film Factory จัดเป็น Production House ที่ยืนระยะมากว่า 15 ปี แต่มีการเติบโตแบบพิเศษเฉพาะตัว ...ผู้กำกับซึ่งเปรียบเสมือน Product ของ Production House แห่งนี้จะมี Individual Style ของตัวเองที่แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่า Brand Film Factory เองเสียอีก คอลัมน์ Ad & Pr. Inc. ในฉบับนี้จึงเข้าไปพูดคุยกับคุณพงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู หรือที่ในวงการเรียกกันว่า พี่หนังŽ ผู้ก่อตั้ง Production House แห่งนี้ขึ้นมาพร้อมกับทิศทางทางด้านธุรกิจ Production House ที่จะเป็นไปในอนาคต...
Film Factory ก่อนที่จะมาเป็นบริษัท Film Factory นั้น คุณพงศ์ไพบูลย์ จัดได้ว่าเป็น ครีเอทีฟคนแรกๆ ในวงการที่กระโดดมาเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา ด้วยการเริ่มเป็นครีเอทีฟในเอเยนซี แคนยอน ต่อมาก็มาเป็นครีเอทีฟที่ เจ.วอลเตอร์ ธอมสัน ก่อนที่จะจับพลัดจับผลูมาเป็นผู้กำกับนั้นคุณพงศ์ไพบูลย์กล่าวว่า ในยุคหนึ่งเมื่อสมัยที่ผมเป็นครีเอทีฟ การทำหนังหรือถ่ายหนังโปรโมชั่นแถมของซึ่งเป็นหนังที่มีงบประมาณน้อย คือใช้กันแค่ 3-4 เดือนแล้วก็ทิ้ง ไม่ได้มีงบประมาณเยอะ ก็จะถ่ายด้วยวิดีโอกัน สมัยนั้นมันมี VPC ก็เป็นแค่ Post Production House อยู่ และเราก็ใช้สำหรับถ่ายพวกวิดีโอ โปรดักชั่นทั้งหลาย... ผมด้วยความที่ ไม่ได้คิดอะไรคิดเพียงว่า หนังเล็กๆ แบบนี้เราไม่อยากให้เขากำกับ ผมก็กำกับเอง และพอดีคุณแดง (ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ฟิล์มแฟคฯ) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ที่เจฯ ก็เป็นตากล้องมาก่อน รู้เรื่องถ่ายหนังรู้จักเรื่องไลท์ติ้ง ส่วนผมมากำกับแล้วกัน ก็กำกับงานตัวเองนั่นแหละ ทำแล้วก็สนุกดีไม่ได้มีอะไรยากเย็น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากคือ เราก็ได้อย่างใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้นโปรดักชั่นของหนังโปรโมชั่นมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในช่วงนั้น แล้วก็พอดีผมมาทำแคมเปญลักส์ จะ Relaunce แคมเปญใหญ่จะใช้ดารา 3 คนมาประกบกัน มีคุณจินตรา คุณใหม่ คุณจารุณี เราก็มองหาผู้กำกับอะไรที่มันฉีกแหวกแนวไปจากเดิมๆ เผอิญได้ไปเห็นหนังสือ 4A ของฮ่องกงที่ลงผลงานของผู้กำกับโฆษณาเห็นงานหลายชิ้นของผู้กำกับ Louis Ng (หลุยส์ อึง) แห่งบริษัท Film Factory ที่ฮ่องกงก็จ้างเขามากำกับและก็เริ่มสนิทกัน พอเขามากำกับหนังเรื่องที่ 2 ก็เริ่มสนิทมากขึ้นแล้วก็ให้เขาวิจารณ์หนังที่เรากำกับ เวลาทำหนังโปรโมชั่นเรื่องต่อไปเราจะได้แก้ไข...เขาเอากลับไปดูที่ฮ่องกงก็บอกว่าคุณทำได้เลยนะคุณมีเซนส์ของผู้กำกับ น่าจะเปิดบริษัททำโปรดักชั่นเฮ้าส์ นั่นคือการเริ่มต้นธุรกิจ ก็เลยมาเปิดเป็น Film Factory ประเทศไทยŽ ในยุคนั้นจะมี Production House ดังๆ อยู่หลายเจ้าไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่คือ สยามสตูดิโอ, P&C, AV Craft, Gray Scale โดย Film Factory ก็เริ่มดำเนินงานซึ่งในช่วงแรกๆ ที่เปิดนั้นคุณพงศ์ไพบูลย์ เล่าว่า ผมไม่ใช่นักธุรกิจ ช่วงแรกที่เปิดจะถ่าย Pack Shot ก็ต้องเอากระโจมมากางเต็นท์ เพราะไม่มีโรงถ่าย ร้อนก็ร้อน แอร์ก็ไม่มี มุดกันอยู่ในนั้น ไฟถ่ายหนังก็ร้อน มีพนักงานอยู่ 7 คน เริ่มแรกๆ ก็ไปสิงสถิตอยู่ที่แมคโดนัลด์ อัมรินทร์ พลาซ่า นั่งแล้วก็โทรศัพท์ติดต่อเอเยนซีและคนที่รู้จักแล้วก็เริ่มของานเขามาทำ ก็โชคดีที่มีคนที่รู้จักกันเก่าๆ โยนงานมาให้ทำ เช่น บางกอกโพสต์เรื่องแรกก่อนชุดภุชงค์ ฟิล์มสีฟูจิ ชุดเด็กนักเรียนจะลาจากกันแล้วมาถ่ายรูปที่ระลึก งานพอออกไป 2-3 เรื่องแรกแล้วมีคนถามถึงติดกัน 3 เรื่องมันก็เริ่มติดตลาด คนก็เริ่มหา ช่วงปีแรกๆเราก็ทำเต็มที่เรียกศรัทธาก่อน ไม่ค่อยได้กำไรหรอก ช่วงสร้างชื่อเราก็ยอมที่จะทำให้ ปีแรกๆก็ค่อนข้างเหนื่อยŽ Frameอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Film Factory เติบโตมาได้อย่างมั่นคงก็อาจเป็นเพราะวิธีคิดงาน เพราะเริ่มต้นกันมาจากสายครีเอทีฟโฆษณา ... สมัยก่อนมันยังไม่มีการตีโจทย์ สมัยผมเป็นครีเอทีฟไปหาโปรดักชั่นเฮ้าส์ในยุคนั้น ยกเว้นสยามสตูดิโอที่คุณคฑา สุทัศน์ ณ อยุธยา แกช่วยคิดซึ่งเป็นที่เดียว แต่เฮ้าส์ อื่นๆ คุณต้องไปแบบมีเฟรมซึ่งต้องแม่นมากๆ เพราะเขาจะถ่ายตามเฟรมเลย Storyboard นี่คือ Blue Print เลยนะ เขาแปะ Storyboard คุณข้างฝาเลย ถ่ายเฟรมนี้เสร็จก็ขีดกาเลย...เพราะฉะนั้นมันถึงได้ว่าเฮ้าส์สมัยก่อนจึงเหมือนกับว่ามีราคาประมูล เพราะเขาตีราคาเหมือนว่าต้องใช้เสาเข็มกี่ต้นต้องใช้ปูนกี่ถุง เพราะทุกเฮ้าส์จะตีราคาตาม Storyboard หมดเลย ลูกค้าก็จะเลือกเอาเจ้าไหนถูกกว่ากัน ไม่มีการเอาบอร์ดมาตีโจทย์เพื่อทำเรื่องให้มันดีขึ้น มันจะไม่มีขั้นตอนแบบนั้น พอมาเป็นผมซึ่งว่าไปแล้ว Film Factory เป็นเจ้าแรกๆ เลยที่นำ Shooting Board มาให้กับลูกค้า ซึ่งแต่ก่อนจะงงกันมากเลยเพราะเขาไม่เคยเห็นกันสำหรับ Shooting Board จากโปรดักชั่นเฮ้าส์ ซึ่งสิ่งนี้ผมคิดว่าการที่เป็นผู้กำกับ และก็ได้มาจากสายครีเอทีฟมันก็ทำให้รู้จักวิธีคิดพื้นฐานแบบโฆษณา...แต่อย่างไรก็ตามครีเอทีฟเจ้าของความคิดงานก็ยังต้องเป็นผู้ควบคุม Concept แต่ผู้กำกับ ยังไงก็ยังเป็นแค่คนทำ Execution ตราบใดที่เรายังไม่ได้แตกคอนเซ็ปต์ของครีเอทีฟที่เขาวางไว้ ... แต่ถ้าคอนเซ็ปต์แน่น คอนเซ็ปต์ดี ถึงแม้เนื้อเรื่องมาไม่ค่อยดีไม่สนุก มันก็สามารถทำให้สนุกได้ง่ายเพราะมันมีโจทย์และวัตถุประสงค์ที่พูดชัดเจน แต่คอนเซ็ปต์มาหลวมมันอาจจะคิดยากแล้ว... การกำกับหนังมันก็ไม่ยากหรอก ผมไม่ได้เรียน Film School มา เรียนแต่กราฟิกดีไซน์ และผู้กำกับที่นี่ส่วนมากก็ไม่เคยเรียน Film School ตอนแรกอาจดูยากมีหลายแผนกวุ่นวายแต่พอลงมาทำจริงๆ มันไม่ยาก มันยากอยู่ที่คิด ตอนคิดน่ะยาก คิดอย่างไรให้หนังมัน Out Standing นั่นอันดับหนึ่งของการคิดความคิดสร้างสรรค์ ทีนี้พอเราเป็นครีเอทีฟของเอเยนซีมาก่อนมันทำให้ได้เปรียบตรงนี้เพราะเรารู้วิธีคิด...วิธีคิดแบบคนโฆษณาเขาคิด... การที่ผมได้รู้จักกับคุณ Louis ทำให้เราได้ทัศนคติอย่างหนึ่งก็คือเราไม่ได้คิดว่าบิลลิ่งเราจะเป็นเท่าไหร่ ผู้กำกับแต่ละคนเราจะพูดเสมอ คนเราถ้าจะทำอะไรมันต้องสนุกเมื่อสนุกงานก็จะออกมาดี แล้วคุณทำไปซักพักหนึ่งคุณก็จะถูกจัดอยู่ใน แคทิกอรีประเภทหนึ่ง เช่นหนังสบู่ หนังแชมพู ก็อาจจะรวยเร็วแต่ถ้าคุณไม่ได้ชอบมันมันก็จะได้อยู่แค่ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ผิดนะ บางคนอาจจะชอบกำกับหนังแชมพู ทำแล้วออกมาได้ดี ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบ ซึ่งผมก็ทำไม่ได้อย่างเขาเพราะผมไม่ได้ชอบ ...เพราะฉะนั้นระบบที่นี่จะไม่มีการโยนงานให้ ผู้กำกับคนนี้ไม่ว่างเอาคนอื่นไหม ที่นี่จะไม่มี ผู้กำกับแต่ละคนก็จะมีความสามารถความถนัดไม่เหมือนกันIndividual ผู้กำกับแต่ละท่านใน Film Factory ล้วนแล้วแต่สร้างชื่อจนแข็งแกร่งกลายเป็น Individual Style ที่แข็งแกร่งในวงการและของแต่ละคนไปแล้ว เริ่มจากคุณหนัง พงศ์ไพบูลย์เองก็จะเก่งในเรื่องหนัง Emotional คุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ก็จะเก่งในหนังแนวเหมือนกับหนังใหญ่เรื่อง ฟ้าทะลายโจรŽ หรือแนวสุกี้เอ็มเคก็ทำได้ ส่วนคุณต้อม เป็นเอก รัตนเรือง (ผู้กำกับหนังใหญ่เรื่องตลก 69) ก็จะเป็นแนวโมเดิร์นหน่อย คุณไมเคิล วอร์ ก็จะมีสไตล์ของตัวเองมายาวนานในวงการโฆษณาไทย และยังมีอีก 2 ท่านที่แยกออกไปสร้าง Individual Style ของตัวเองที่บริษัทใหม่ คือคุณป๋อง มงคล นิรันดร์พงศ์ และคุณเปา ธนพงษ์ ทรัพย์เหลือหลาย Individual Style Production House คือทุกคนมีสไตล์ของตัวเอง มีรูปโฉมที่ชัดเจนใน Film Factory เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็รับผิดชอบในคุณภาพของงานของตัวเองเพราะรักแล้วก็จะทำมันออกมาได้อย่างดีที่สุดอยู่แล้ว โปรดิวเซอร์มีสิทธิ์เอางานมาให้ผู้กำกับคนนั้นดูแต่โปรดิวเซอร์ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับให้ผู้กำกับคนนั้นทำงานได้ ถ้า ผู้กำกับคนนั้นบอกว่างานนั้นไม่ใช่ทิศทางของเขา ที่นี่ลูกค้ามาก็จะตรงไปหาผู้กำกับนั้นๆ เลย ไม่ได้มาหาเซ็นเตอร์แล้วแจกงาน เรียกว่าถ้าเอาชื่อ Film Factory ออกก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย..เป็นเพราะ Film Factory แข็งขึ้นมาด้วย Individual Brand ของผู้กำกับเองในแต่ละคน พอมีใครเข้ามาเสริมในรั้วชายคานี้มันก็ต้องมาจาก Individual Brand ของตัวเองซึ่งแข็งมากๆ ดังนั้นถ้าจะเกิดก็ต้องไปสร้าง Individual Brand ของตัวเองมาก่อนซึ่งเขามีโอกาสมากกว่าจะสร้างที่ Film Factory คือผู้กำกับถ้าเขาเก่งจริงได้รับการทำงานซัก 2-3 เรื่องเดี๋ยวมันก็ไหลมาแล้ว...เอเยนซีเขาเดินมาหาเราเพราะเขาอยากใช้เรามากกว่า...ผู้กำกับต้องสร้างตัวเองเพื่อให้เอเยนซีอยากมาใช้คุณ ถามว่ามันลำบากสำหรับผู้กำกับใหม่ในการให้เอเยนซีลองของใหม่ ... ไม่ลำบากผมพูดเสมอ เหมือนคุณเล่นปาเป้าเขาให้ลูกดอกคุณ 3 ดอก หมดแล้วหมดกัน ใน 3 ดอกนี่คุณต้องเข้าเป้าสักดอกหนึ่ง ใน 3 เรื่องต้องเห็นผลเพราะถ้าไม่เห็นผลมันจะมีผู้กำกับระดับเดียวกับคุณอีกเป็นร้อยเลยนะในตลาดตอนนี้เพราะฉะนั้นคุณต้องทำให้เห็นผลใน 3 ดอก คุณแน่จริง 3 เรื่องนี่ต้องเห็นผลได้Ž อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแรงของ Individual Style ที่ลูกค้าเลือกเป็นการเฉพาะเจาะจงทำให้ผู้กำกับใหม่ไฟแรงภายใต้ชายคาของ Film Factory จึงมีโอกาสน้อยที่จะได้พิสูจน์ฝีมือ Change จากความแข็งแรงของ Individual Style ของผู้กำกับ ประกอบกับการมองธุรกิจตามปรัชญาและการทำงานของคุณพงศ์ไพบูลย์จึงได้เกิดบริษัทอีกบริษัทแยกขาดออกไปต่างหากนั่นก็คือ Good Boy ซึ่งคุณพงศ์ไพบูลย์ให้เหตุผลว่า อันดับแรกผมคิดว่า เราใหญ่เกินไปหรือเปล่า 40 คนในความคิดผมถือว่าอืดอาดแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าอายุขัยของการทำอะไรสักอย่าง ความเชื่องช้าความอุ้ยอ้ายของบริษัทที่ใหญ่ขึ้นแล้วมันมีตัวอย่างให้เห็นให้ดูแล้วว่าพอบริษัทยิ่งใหญ่ขึ้นปั๊บ การตัดสินใจมาจากคนๆ เดียว ยังไม่มีคนไหนที่มารับการตัดสินใจปลีกย่อยได้ มันก็จะทำให้บริษัทเชื่องช้า แทนที่จะกระจายให้แต่ละฝ่ายได้ตัดสินใจ ผิดก็เป็นครู ไป แทนที่จะมารอฟังคำตอบและการตัดสินใจจากคนๆเดียวซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ ผมก็ว่ามันก็เริ่มมีปัญหา .. อันดับต่อมาการขยายธุรกิจหรือการจะทำอะไร ผมไม่ได้มองในแง่ของการไปจับตลาดล่าง Good Boy นี่ก็ไม่ใช่บริษัทลูก เพราะผมคิดว่ามันถึงเวลาที่แต่ละฝ่ายออกไปทำการตัดสินใจกันเอง ผมก็เริ่มเข้าสู่วงจรเหมือนเฮ้าส์สมัยก่อนแล้ว ผมเริ่มกลายเป็นปูชนียบุคคลแล้ว เด็กๆ ก็เริ่มจะไม่ค่อยมาคุยกับผมเท่าไหร่ เจเนอเรชั่นแก๊ปมันก็มากขึ้น เขามีความเกรงอกเกรงใจผมมากขึ้น ถ้าเราไม่รู้จักการปรับตัวเดี๋ยวมันไม่ทัน ผมไม่ทราบว่าเฮ้าส์อื่นเขาคิดอย่างไรในการที่เขามีบริษัทลูก แต่ผมคิดอีกแบบว่าการทำอะไรก็แล้วแต่ต้องมีการปรับตัว...แต่ไม่ใช่บริษัทลูกหรือบริษัทในเครือ รากอาจจะมาจากฟิล์มแฟคฯแต่การตัดสินใจต่างๆเขาทำเอง 100% มีสิทธิ์ขาด เหมือนการแบ่งตัวออกมาแต่ไม่ใช่การขยายตัวภายใต้ร่มธงฟิล์มแฟคฯ ...เพราะฟิล์มแฟคฯไม่ได้เข้าไปถือหุ้นไม่เกี่ยวข้องหรือมีบทบาทใน Good Boy ถ้าจะเข้าไปถือก็เป็นส่วนตัวส่วนบุคคลไป Good Boy เขาก็ Run งานของเขาไป ประเด็นต่อมาคือผู้กำกับ ผมมีผู้กำกับอยู่ส่วนหนึ่ง ผมเกรงว่าถ้าอยู่ Film Factory และถ้าเผื่อเราไปอีกซักระยะหนึ่งนั้น การได้งานสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ผมเพิ่งมาเปิดใหม่ๆ เพราะสมัยนั้นการลองผิดลองถูกมันยังไม่เท่าไหร่ ผู้กำกับสมัยนั้นมันก็ยังน้อยด้วย ทางเลือกใหม่ๆ ก็ยังน้อย อยากจะลองคนนั้นคนนี้ทำได้ง่ายกว่า แต่ตอนนี้ ผู้กำกับเกิดใหม่มันเยอะมาก อัตราการที่เขาจะเข้ามาหาผู้กำกับใหม่ๆ นั้นมันไม่มีใครกล้าเสี่ยง...ผมลองมาวิเคราะห์ว่าหรือชื่อ ฟิล์มแฟคฯ จะค้ำคอ ผู้กำกับใหม่หรือเปล่า เพราะผู้กำกับหลักๆ ของที่นี่ เป็น Individual Style ที่แข็งมากๆ คนลูกค้าเดิน เข้ามา ฟิล์มแฟคฯ เนี่ยเขาบอกได้ทันทีเลยว่า จะเลือกใคร ถ้าลูกค้าเกิดมาเจาะจงผม เกิดผมไม่มีคิวนั้น ขนาดเป็นคุณต้อม เป็นเอก หรือคุณวิศิษฏ์ เอง เขายังไม่เอาเลยนะ เขาไปเลย ประสาอะไรกับถ้าผมจะไปบอกว่าผมมีผู้กำกับใหม่ของผมว่าง ลูกค้าเขาจะมาสนใจ แล้วเราก็เลยคิดอีกไอเดียว่าลองดูถ้าเป็นคนเดิมแต่เปลี่ยนยี่ห้อล่ะมันจะช่วยไหม...เพราะผู้กำกับใหม่ๆ ไฟแรงถ้าขาดงานไปนานๆ มันจะเฉาเอาได้ แล้วเขาก็ได้งานกันจริงๆขนาดยังไม่ได้เปิดตัว Good Boy เป็นกิจจะลักษณะก็มีงานเข้ามาเยอะพอสมควรเลย ผมก็แปลกใจเหมือนกันผู้กำกับคนเดียวกันหน้าตานี้เลยพอเปลี่ยนยี่ห้อก็มีงานเข้าเลย อาจจะเป็นเพราะ Film Factory มันไปผูกกับ Individual ของผม Individual ของวิศิษฏ์ และ Individual ของเป็นเอก ไปหมดแล้ว แข็งเสียจนถ้าเป็นคนอื่นเขาไม่รับเลย พอออกมาเป็น Good Boy ลูกค้าเริ่มกล้ามาลองใช้ก่อนเพราะว่าพอมาฟิล์มแฟคฯนั้น อิมเมจของฟิล์มแฟคฯเห็นเขาว่ากันว่าแพง ผมก็ไม่ทราบว่าที่อื่นโค้ดราคากันเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าเขาว่ากันว่าแพง พอมันแพงลูกค้าก็เลยไม่คิดที่จะใช้ผู้กำกับใหม่ จะใช้แต่ Individual ที่แข็งแกร่งและมีชื่อ แต่พอมาเป็น Good Boy เขาไม่มีอิมเมจแพงไง เขาโค้ดราคาตามภาวะธุรกิจและการแข่งขันของเขาและอยู่ในช่วงแรกของการสร้างชื่อ ลูกค้าก็เลยกล้ามาลอง อย่างคุณป๋อง มงคล นิรันดร์พงศ์ นั้นพอเขากำกับหนังไปสัก 2-3 เรื่องมันได้รับผลตอบรับที่ดี คนก็อยากกลับมาใช้ใหม่ รวมไปจนถึงคุณเปา ธนพงษ์ ทรัพย์เหลือหลายŽ
Growth เมื่อมามองทางด้านอัตราการเติบโตของฟิล์มแฟคฯนั้นคุณพงศ์ไพบูลย์กลับไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่นัก ตอนนี้บริษัทก็มีอยู่ 40 คน แล้วก็มีเท่านี้มาหลายปีแล้ว ผมไม่คิดว่าจะทำให้มันใหญ่ไปกว่านี้แล้ว ผมไม่เคยเลย์ออฟพนักงานและก็จ้างพนักงานเพิ่มเฉลี่ยไปกว่านี้...ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมันก็มีผลกระทบบ้าง แต่ก็ไม่มากเช่นในปีแรกที่วิกฤต ก็อาจจะประหยัดกันหน่อย ไม่มีโบนัสหรือขึ้นเงินเดือน ก็แค่ปีเดียวเอง เรื่องอัตราการเติบโตของธุรกิจนั้น ไม่มีใครเถียงว่าไม่ชอบเงิน เปรียบเหมือนคนต้องกินข้าว ถ้าคุณหิวข้าวมาคุณอย่ากินเร็วคุณค่อยๆ กินอย่างประณีต แต่คุณจะกินได้นาน คุณกินเร็วเดี๋ยวคุณก็จุก คุณกินต่อไม่ได้แล้ว ... เราไปเรื่อยๆ ในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วมันจะเกิดการพัฒนา งานออกมาดี อย่างไรก็กินไม่หมด... คำจำกัดความของฟิล์มแฟคฯถ้าเป็นคนก็คือคนที่อยากทำงาน อยากทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วก็สนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำ บางครั้งคุณเลือก Storyboard ไม่ได้เป็น Bread & Butter เราก็ต้องทำแต่เราก็ควรจะต้องมันส์กับลูกค้าด้วย ลูกค้าถึงจะได้อรรถรสที่คุณมาใช้บริการผมอย่างดีที่สุดสมกับค่าบริการ แต่ผมก็ต้องสร้างอารมณ์ของผมให้ตอบสนองลูกค้าที่เขาจ่ายสตางค์Ž เรารับงานต่างประเทศบ้างแต่ไม่มากเพราะว่าเราไม่ได้มีคอนเน็กชั่น เราไม่ได้ดิ้นรนมากเพราะว่ามันเหนื่อยแล้วไม่มีความสุข มันเครียดนะผมว่า จะอยู่ไปอีกซักกี่ปี เอาสบายๆ ดีกว่า เครียดกับการคิดงานแล้วยังต้องมานั่งเครียดกับตัวเลขอีก ผมก็ไม่ไหวล่ะ ตอนนี้ Film Factory มีผู้กำกับอยู่ 4 คน แต่ชอบไปถ่ายหนังไทย เรารับทำให้กับไฟว์สตาร์บ้าง เราเป็นผู้ถูกว่าจ้างแต่ไม่ได้เป็นคนลงทุนเพราะมันไม่ได้ทำกำไรอะไรให้เท่าไหร่ เป็นส่วนหนึ่งในการปลดปล่อยและสร้างสรรค์งานของ ผู้กำกับเรามากกว่า หมุนวนกันอยู่ 4 คน อีก 2 คนเขาก็ไปสร้างบ้านใหม่กันเพิ่มเติม คือ Good Boy เพราะบ้านหลังนี้มันถูกตกแต่งมาเรียบร้อยหมดแล้วเฟอร์นิเจอร์เต็มไปหมด ยากที่เขาจะตบแต่งมันเพิ่มเติม ทางเดียวก็คือสร้างบ้านใหม่และตบแต่งบ้านและดูซิว่าลูกค้าจะมาบ้านเขาไหม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จที่ดี แค่ 2-3 เดือนกว่ามานี่เองŽ และนี่คือเส้นทางของ The Film Factory ในช่วงที่อุตสาหกรรม Production House ในบ้านเราที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่โตขึ้น....

ในสิ่งตนเองถนัด

ในช่วงไปกี่ปีที่ผ่านมา ชื่อของ ตี๋ - แม็ทชิ่ง หรือ สมชาย ชีวสุทธานนท์ นั้น ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับธุรกิจ "แม็ทชิ่ง สตูดิโอ" ของเขาและหุ้นส่วน ซึ่งก็ได้เติบใหญ่จนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ผู้ร่วมทุน ได้พันธมิตรใหม่ ๆ ที่แข็งแกร่ง และธุรกิจของเขาก็ได้ขยายตัวออกไป จากที่เคยปักหลักอยู่ในธุรกิจ "ผลิตหนังโฆษณา" ก้าวสู่ "ธุรกิจภาพยนตร์ - สิ่งพิมพ์ - นำเข้าคอนเสิร์ต - จัดกิจกรรม - สื่อรูปแบบใหม่ ๆ ฯลฯ" ซึ่งผลประกอบการปรากฏในท้ายที่สุดว่าไม่ดีเลย ... คือขาดทุนอ่วม ถึงวินาทีนี้ แม็ทชิ่งได้นั่งทบทวนที่มาที่ไป ดูจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง และคงพอจะจับทิศทางเพื่อตั้งหลักใหม่ได้แล้วกระมัง ... แต่จะเป็นอย่างไรไว้ว่ากันตอนท้าย เราจะมาไล่เรียงความเป็นมาตามไปด้วยดีกว่า ในห้วงยามการเติบโตของเศรษฐกิจกลางทศวรรษ 2530 บริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาแห่งหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอุตสาหกรรมโฆษณากำลังบูม แล้วถึงเปิด (อย่างที่คนอื่น ๆ เขาทำกัน) หรอก แต่มันคือการลงหลักปักฐานความฝันอันบรรเจิดของสองหนุ่ม ตี๋ - สมชาย ชีวสุทธานนท์ ดอม - ฐนิสสพงศ์ ศศินมานพ พวกเขาปรารถนาจะสร้าง Production House สัญชาติไทย ที่มีฝีมือสุดยอดไม่แพ้ชาติใดในโลก "ผมต้องการสร้างสถาบันของผม ให้เป็นสถาบันของสุดยอดนักทำโฆษณา" ฝันและความตั้งใจของตี๋ ดอม และทีมงานได้ถูกแปลงออกมาเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง แม็ทชิ่งเริ่มสร้างชื่อเสียงในการเป็นบริษัทผลิตหนังโฆษณาที่เจ๋งที่สุดของเมืองไทย ไอ้ริดกินแบล็ค - มิสทินเต่าเรียกแม่ - ก๊อตซิล่า ปตท. - คาราบาวแดง - หนอนชาเขียวยูนิฟ ฯลฯ สารพัดโฆษณาระดับ Talk of The Town ได้ถูกผลิตออกจากแม็ทชิ่ง ตี๋พยายามดึงเอาครีเอทีฟจากเอเจนซี่ชั้นนำ ซึ่งมีใจอยากทำหนังโฆษณาให้มาชุมนุมกันที่นี่ ยอดบิลลิ่งของแม็ทชิ่งได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึง 600 กว่าล้านบาท (ก่อนเข้าตลาด) 10 กว่าปีให้หลัง Matching Studio คือเบอร์หนึ่งของเมืองไทย แต่ในโลก วันนี้แม็ทชิ่งไต่ขึ้นมาถึง TOP 5 ถามว่าผู้กำกับหนังโฆษณาที่เก่งที่สุดในโลก ได้รับรางวัลอันเป็นที่ยอมรับของวงการโฆษณาโลกมากที่สุด ทำงานอยู่ที่ประเทศไหน บริษัทอะไร คำตอบคืออยู่เมืองไทย ณ แม็ทชิ่ง สตูดิโอ "ปัจจุบันเราติด TOP 5 ของโลก ผู้กำกับของเรา คุณมั่ม - สุธน เพชรสุวรรณ เป็นผู้กำกับอันดับ 1 ของโลก" ตี๋เคยกล่าวอย่างภูมิใจในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร thaicoon หนึ่งทศวรรษผ่านไป แม็ทชิ่งถึงเวลาก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น โดยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม็ทชิ่งเข้าในตลาด MAI ก่อนที่ไม่นานก็ก้าวข้ามไปเข้าตลาด SET จากธุรกิจผลิตหนังโฆษณา ได้ขยายธุรกิจออกไปในหลายด้าน - ทั้งภาพยนตร์, เมืองหนัง, รายการโทรทัศน์, สื่อสิ่งพิมพ์, จัดคอนเสิร์ต มหรสพ และการแสดงจากต่างประเทศ, สวนสนุก ฯลฯ แต่ผลประกอบการจากธุรกิจอื่น ๆ ยังไม่เด่นชัด เท่ากับธุรกิจหลักคือการผลิตหนังโฆษณา ยิ่งในปี 48 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าขาดทุนมหาศาลหลายร้อยล้านบาท ... ไม่ว่าจะจากการจัดประกวดมิสยูนิเวอร์ส การสร้างหนังภาพยนตร์ การนำเข้าคอนเสิร์ต และธุรกิจสื่อหลายตัวที่ไม่น่าพอใจ "สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่าตอนนี้ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่มีเม็ดเงินเข้ามาทำให้รากฐานของเรามั่นคง" ตี๋พูดขึ้น หลังจากได้รับเม็ดเงินจากผู้ถือหุ้นใหม่ บริษัท BBTV ในเครือช่อง 7 (ถือหุ้นแม็ทชิ่งในสัดส่วน 27.8%) ได้ไม่นาน "แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด เรามีทีมเวิร์คที่ดีที่สุด เหล่านี้คือที่มาของผลงาน ที่มาของการเข้าตลาด ที่มาของการที่ประชาชนวางใจเอาเม็ดเงินมาลงทุนระดมกับเรา" เขาย้ำ แม้แม็ทชิ่งจะได้ขยายอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวาง แต่หัวใจในวันนี้ กับวันแรกที่ก่อตั้ง ไม่ต่างกันเลย คือการเป็นสุดยอด Production House "ถ้าใครถามผมว่าแม็ทชิ่งคืออะไร ผมก็จะบอกว่าเป็นศูนย์รวมของคนรักหนังที่ต้องการจะทำหนังจริงๆ เพราะจุดเริ่มต้นในการเปิดแม็ทชิ่ง คือ ผมต้องการทำหนังโฆษณาที่ดี" ในวันที่บริษัทจะเข้า (หรือเพิ่งเข้า) ตลาดใหม่ ๆ ตี๋และที่ปรึกษาของเขาอาจจะเชื่อว่าแม็ทชิ่งจำเป็นต้องมีธุรกิจในเครือที่หลากหลาย จึงจะประสบความสำเร็จ แต่ในวันนี้เขาคงผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกมาระยะหนึ่ง ก่อนจะตกผลึกได้คำตอบในใจว่าแม็ทชิ่งควรจะเป็นบริษัทอะไรกันแน่? ความเชี่ยวชาญเฉพาะของแม็ทชิ่งอยู่ที่ไหน? แม็ทชิ่งจะวางกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตไปในทิศทางใด? จะประสบความสำเร็จหรือไม่? บทวิเคราะห์ บริษัทที่สร้างตัวขึ้นมาจากคนๆเดียวหรือสองคนนั้น ปัญหาในระยะแรกไม่ใช่ปัญหาด้านการบริหารและการจัดการ แต่เป็นปัญหาเรื่องความอยู่รอด องค์กรเถ้าแก่นั้นในระยะเริ่มต้นมักจะเริ่มจากคนเพียงคน หรือถ้าอย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 2 คน(ไม่เช่นนั้นจะทะเลาะกันในภายหลัง) ทั้ง 2 คนก็มักจะเติมในสิ่งที่ตนเองขาด การก่อตั้งบริษัทนั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกบีบคั้นจากที่ทำงานเดิม อิ่มตัวในฐานะลูกจ้างและคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะมีกิจการเป็นของตนเอง หรืออาจจะเป็นเพราะเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีใครสนองตอบต่อโอกาสนั้น ก็กระโดดเข้ามาทำงาน สมชาย ชีวสุธานนท์ หรือตี๋ แม็ทชิ่ง เห็นโอกาสและอิ่มตัวอีกทั้งเซ็งจากการเป็นลูกจ้าง จึงออกมาตั้งบริษัทและได้คู่หูซึ่งเป็นช่างภาพมือหนึ่งของประเทศ เมื่อองค์ประกอบลงตัว ธุรกิจก็เกิดได้ไม่ยาก แม้จะเหนื่อยอย่างหนักหนาสาหัสในช่วงเริ่มต้นก็ตาม ความยากของการทำธุรกิจนั้น สาเหตุสำคัญอยู่ที่ทำอย่างไรนอกจากจะให้องค์กรอยู่รอดในช่วงตั้งตัวแล้ว ก็ยังต้องทำให้องค์กรเจริญเติบโตไปได้ด้วย ข้อต่อของการเปลี่ยนแปลงนี่แหละ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องการระบบการบริหารอย่างมืออาชีพเข้ามาถ่วงดุลด้วย แทนที่จะหาโอกาสทางธุรกิจแบบเถ้าแก่อย่างเดียวเท่านั้น ท่านประธานเหมา ก็มีนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลเป็นพาร์ทเนอร์ ขณะที่บิลล์ เกตส์ ก็มีสตีฟ บัลเมอร์ คอยบริหารบริษัทให้เช่นเดียวกับสุทธิชัย หยุ่น ก็ต้องมีธนาชัย ยังไงยังงั้น ส่วนผสมที่ลงตัวแบบนี้เท่านั้น จึงจะทำให้องค์กรเจริญเติบโต แม็ทชิ่ง ยังขาดตรงนี้อยู่ สมชายยังมีความเป็นเถ้าแก่ และศิลปิน เช่นเดียวกับดอม ผู้ร่วมก่อตั้ง เมื่อบริษัทเจริญเติบโตยิ่งขึ้น บริษัทจำเป็นต้องขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆเพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทใดก็ตามที่กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนจะยุ่งขิงเกี่ยวกับการขยายตัวไปทำโน่นทำนี่มากมาย เพื่อให้ผลประกอบประจำไตรมาสออกมาดูดี ส่วนหุ้นจะขึ้นหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อย หุ้นก็ไม่ตก หลายครั้งหลายหนที่ขยายออกไปเพื่อต้องการสร้างความเจริญเติบโตโดยไม่สอดคล้องกับจุดแข็งของบริษัทแม็ทชิ่ง สตูดิโอ นับตั้งแต่เข้าตลาดก็กำหนดตนเองว่าอยู่ในธุรกิจ Media & Entertainment อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสื่อและความบันเทิงนั้นกระโดดลงไปทำหมดเกือบทุกอย่าง ซึ่งแต่ละธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงสูง และไม่ได้ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ขาดทุนบานเบอะ ทั้งการสร้างภาพยนตร์ ประกวดนางงาม สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ สิ่งที่ตี๋ควรกระทำและได้กระทำแล้วในขณะนี้ก็คือ Focus ใน Core Competency นั่นคือสิ่งที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ คือการสร้างภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งแม็ทชิ่งติดอันดับหนึ่งใน 5 ของโลก ซึ่งก็หมายความว่าต้องบุกตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เพราะตลาดในประเทศตกต่ำก็จริง แต่ตลาดต่างประเทศยังบูมอยู่มาก ให้เอเยนซี่ระดับโลก outsourcing การสร้างหนังโฆษณามาที่ประเทศไทย เพราะต้นทุนบ้านเราถูกกว่าและฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น การสร้างหนังโฆษณานั้นต้องทักษะและศิลปะ ซึ่งไม่ใช่ทุกบริษัทและทุกประเทศจะทำได้ แม็ทชิ่งเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น Focus On Core Competency จึงเท่ากับสมชายเดินมาถูกทางแล้ว อีกเรื่องก็คือต้องหามืออาชีพมาดูแลด้านบริหาร ไม่เช่นนั้น วิญญาณเถ้าแก่ที่คุโชนในใจตี๋ อาจจะทำให้เขาทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดอีก

ที่มา Link: http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=52306

Good Boy'z - Creative Branding Production House

Good Boy'z - Creative Branding Production House
ในฉบับนี้เรานำท่านผู้อ่านไปพบกับ Production House ดาวรุ่งที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ 7 เดือน แต่มีผลงานภาพยนตร์โฆษณา เด่นๆออกมามากมายกว่า 20 เรื่อง จากการเข้ามาร่วมมือกันของ 3 ประสาน คือ คุณสุรีย์ อิทธิสุรสิงห์ Producer มือดีจาก Film Factory , คุณอรรณพ ชั้นไพบูลย์ Creative Director จาก TBWA และคุณชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ Director of Photography จาก Film Factory มาร่วมกันก่อร่างสร้าง Production House ใหม่ที่ไม่ใช่ Fighting Brand ของ Film Factory ที่จัดเป็นระดับท็อปของวงการ Production House เพราะ Good Boy'z สามารถสร้างสรรค์งานได้อย่างอิสระ...
Good Boy'z แรกเริ่มของที่มาที่ไปในการเกิด Production House Good Boy'z ก็คือการที่ คุณพงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู หรือ "พี่หนัง" ชื่อที่คนในวงการเรียกกัน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Film Factory ในไทยมองว่าบริษัทเริ่มใหญ่เป็นระดับท็อปในเมืองไทย ถึงจุดหนึ่งสไตล์ของ Film Factory มันชัดเจนจน Film Factory ไม่สามารถเปลี่ยนสไตล์ได้ต้องหนังประเภทนั้นๆที่เป็นสไตล์แต่ละผู้กำกับของ Film Factory ที่ลูกค้าเจาะจงมาเท่านั้น ความเป็น Individual Style จึงมีสูงมาก การที่มี Good Boy'z นั้นก็เพื่อให้หนังเป็นสไตล์อีกสไตล์หนึ่งเป็นสไตล์แบบหลากหลายและตลาดต้องการได้ด้วย ซึ่ง Good Boy'z มีอิสระในการจัดการบริษัทเองได้ในทุกเรื่องคุณหนัง (พงศ์ไพบูลย์), คุณแดง (ชาญกิจ) คุณสุรีย์ แล้วก็คุณหมง (อรรณพ) จึงนั่งคุยกันโดย คุณหนังอยากให้คุณสุรีย์เปิดเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์ในสไตล์ของตัวเองที่แตกต่างไปจาก Film Factory เพราะคุณสุรีย์จะมีลูกค้าที่มาจากเอเยนซีมากเพราะเคยทำงานอยู่ที่ฟาร์อีสต์แอดเวอร์ไทซิ่งหลายปีก่อนจะออกมาทำฟรีแลนซ์ และมาช่วยที่ Film Factory อยู่ 3 ปีครึ่ง พอมาเจอคุณหมง (อรรณพ ชั้นไพบูลย์) ซึ่งก็เป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์มือรางวัลมากมาย ซึ่งคุณหนังก็เห็นว่า ตอนนี้ครีเอทีฟที่จะมาเป็นไดเร็กเตอร์แล้วน่าจะเป็นไดเร็กเตอร์ที่ดีในอนาคตพี่หนังมองเห็นคุณหมงอยู่คนเดียว จึงเรียกคุณสุรีย์และคุณหมงมานัดคุยกัน และลองทำงานด้วยกันก่อนประมาณ 6 เรื่องก่อนที่คุณหมงจะออกมาทำเป็นผู้กำกับเต็มตัว โดยคุณหมงเต็มไปด้วยไอเดียส่วนคุณสุรีย์เป็นโปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์มาก เริ่ม 6 เดือนแรกด้วยการปรับการทำงานจนเข้าขากันเป็นทีมเวิร์ค ทางด้านคุณแดง (ชาญกิจ) ก็ถ่ายภาพดีประสบการณ์สูงในระดับต้นๆของเมืองไทยอยู่แล้ว จึงเกิดเป็น Good Boy'z ขึ้นมาFighting Brand ?อาจจะมีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า Good Boy'z นั้นเป็น Fighting Brand ของฟิล์มแฟคฯในการรับหนังที่มีงบประมาณต่ำหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้คุณสุรีย์กล่าวยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอนโดยให้เหตุผลว่า "เราไม่ใช่ Fighting Brand ของ Film Factory เพราะเรามีสิทธิ์รับหนังในสเกลที่ใหญ่กว่าของ Film Factory ได้ ความตั้งใจที่คุยกันแล้วเราอยากมีเฮ้าส์ที่แตกต่างออกมาจาก Film Factory มากกว่า..เหมือน มีบ้านอยู่ข้างๆกันอยากจะตบแต่งอย่างไรใช้เฟอร์นิเจอร์แบบไหน ทาสีอะไรก็เป็นเรื่องของเราตัดสินใจเอาเอง จะรับหนังใหญ่กว่า เล็กกว่า หรือระดับกลางๆก็ได้ ราคาก็ปกติตามสเกลที่ลูกค้าวางมา" คุณหมง (อรรณพ) กล่าวเพิ่มเติมว่า " เราได้เปรียบในการเริ่มต้น จุดแตกต่างของ Good Boy'z กับเฮ้าส์ใหม่ๆที่กำลังจะเปิดคือเราเปิดมาเราอยู่บนบันไดก้าวที่ 5 อยู่ ขณะที่คนอื่นๆที่เปิดใหม่จะอยู่ก้าวที่ 1 เพราะว่าเรามีแบ็คอัพจาก Quality ของเฮ้าส์ใหญ่คือ Film Factory ต่อให้หนัง Hard sell เราก็ทำให้สวยได้ถ้ามีไอเดียที่ดี มีการคุมคุณภาพของกองถ่ายที่ดี ไปจนถึงตากล้องที่ดี ทีมงานการจัดการอะไรทั้งหลายแหล่เหมือนกับเฮ้าส์ใหญ่....เปรียบไปก็คือ การดึงมันสมองกับการจัดการออกมาเป็นความคิดที่อิสระอีกแบบหนึ่งแต่ในส่วนมดงานและการจัดการสามารถใช้ของเฮ้าส์ใหญ่คือ Film Factoryได้...แต่โดยหลักการแล้วก็พยายามค่อยๆแยกออกมาทั้งหมดเป็นเอกเทศ ตอนนี้เราก็เริ่มค่อยๆขยาย ค่อยๆเริ่มเช่นแคสติ้งของเราต่างหากแต่ค่อยๆเริ่มเพราะโดยความตั้งใจเราไม่อยากเป็นโปรดักชั่นเฮ้าส์ขนาดใหญ่ เราอยากเป็นแค่ขนาดกลางๆ เช่นเอเยนซีมีครีเอทีฟเฮ้าส์ เราก็อยากเป็นแค่ครีเอทีฟโปรดักชั่น...
Strange จากจุดเริ่มต้นที่ Production Hose ใหญ่ๆและผู้กำกับมักจะประสบความสำเร็จคือปัจจัยสำคัญที่มีอยู่ 3 ส่วน คือ 1.ตัวไดเร็กเตอร์เองต้องค้นหาตัวเองให้เจอ 2.โปรดิวเซอร์ต้องเก่ง เช่น คุณม่ำจะมีคุณตี๋ ที่แม็ทชิ่งในช่วงแรกผูกติดกันมาเลย 3.คือมี DP ( Director of Photographer ) ที่เป็นคนถ่ายภาพนั่นเอง เช่น คุณดอม ที่ แม็ทชิ่ง ซึ่งทาง Good Boy'z ก็มีสามประสานเช่นนี้ในการเริ่มต้น และสำหรับผู้กำกับที่เป็นตัวชูโรงนั้น คุณอรรณพ ชั้นไพบูลย์ หรือคุณหมง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มาจากสายครีเอทีฟและมาเมื่อสั่งสมประสบการณ์ในมุมมองของครีเอทีฟจนเป็น Creative Director ที่ได้รับรางวัลการันตีผลงานมากว่า 12 ปี ...ในขณะที่ผู้กำกับใหม่ๆที่เข้าวงการมากว่าจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้กำกับหนังต้องใช้เวลาสร้างฝีมือหรือสร้างชื่ออยู่ไม่ต่ำกว่า 3 เรื่อง แต่คุณหมงได้กำกับหนังที่ลูกค้าเจาะจงให้กำกับตั้งแต่ยังไม่ได้ออกมาเป็นผู้กำกับเต็มตัว เพราะขณะนั้นยังเป็นครีเอทีฟอยู่ เช่น หนังเรื่องอาม่ารับโทรศัพท์ ไปจนถึงเรื่องหนูแดงแต่งงานของ TRUE และอีกมากมายหลายเรื่อง และเมื่อมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวได้ 1 เดือน ขณะนี้กำกับหนังโฆษณาไปแล้ว 15 เรื่อง GoodBoy'z เกิดขึ้นมาในขณะที่คุณหมงยังอยู่ที่ TBWA ขณะที่คุณสุรีย์ยังอยู่ที่ Film Factory มีงานเข้ามาก่อนโดยเป็นงานจากลูกค้าที่คุณหมงเป็นครีเอทีฟให้อยู่ และลูกค้าก็ไว้ใจให้กำกับหนังด้วยเลย เริ่มจาก เทเลคอมเอเซีย ชุดอาม๊ารับโทรศัพท์ ล่าสุดคือ หมากฝรั่งชิเคล็ทส์ชุดนับแกะจุดเด่นของคุณหมง (อรรณพ) คือการสามารถดึงเอาอินไซด์ของกลุ่มเป้าหมายที่ดู มาเล่าเรื่องของ Branding นั้นๆหรือสิ่งที่สินค้าหรือบริการกำลังจะสื่อสารออกมาในหลายๆแนวไม่ว่าจะเป็น ตลก หรือสะเทือนอารมณ์ ได้ทุกสไตล์ เช่น ตลกแบบอาม๊า หรือสะเทือนอารมณ์ที่ไม่เหมือนใคร เช่น เรื่องหนูแดงแต่งงาน แสงคล้ายพี่หนังกำกับ แต่วิธีพูดก็เป็นอีกแบบหนึ่งทำให้ได้หนัง Emotional ที่ต่างออกมา คือมุมมองของเด็กในการเล่าเรื่องแบบผู้ใหญ่ และเก่งที่สามารถนำเอาอินไซด์ ของคนมาเล่าเรื่องด้วยวิธีแปลกใหม่ สามารถกำกับหนังได้หลายแนวด้วยมุมมองใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นแนวตลก แนวเศร้าซึ้งสะเทือนใจ แต่สามารถคงคอนเซ็ปต์บุคลิกของ Brand ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการใดๆโดยการทำงานเป็นทีมเวิร์คกับครีเอทีฟ คุณหมง กล่าวว่า "สิ่งที่ไดเร็กเตอร์ต้องทำคือเป็นคนที่สังเกตดีเทลของมนุษย์ได้อย่างถี่ถ้วน หยิบจับมาเล่าเรื่องได้ ลักษณะท่าทางของคนควรจะเป็นแบบไหน คือคิดว่าต้องเข้าใจมนุษย์และเล่าเรื่องที่มนุษย์อยากจะเข้าใจให้ดี ครีเอทีฟจะหยิบใจของมนุษย์ออกมาว่าครีเอทีฟอยากจะพูดถึงอะไร ประเด็นที่อยากจะพูด แต่ประเด็นที่อยากจะเล่าต้องให้ไดเร็กเตอร์เขาเล่าอีกที ใกล้เคียงกันแต่รายละเอียดย่อยลงไปอีกขั้นหนึ่ง""เราว่าเราเป็น Creative Branding Production House ผมว่าจุดขายเราผมทำงานเป็นครีเอทีฟมาก่อน ทำงานเกี่ยวกับทางด้าน Brand ด้วย ด้าน Strategy ด้วย พอมาเป็นไดเร็กเตอร์ผมอยากทำงานกำกับหนังแต่ละเรื่องให้ฟิตกับ Brand นั้นๆด้วย เราเป็นผู้กำกับที่ต้องเข้าใจใน Brand ด้วย ไม่ใช่ทำหนังตามสไตล์ของผู้กำกับ แต่การกำกับมันต้องไป Build Brand นั้นๆด้วยให้ได้ เอาเรื่องของครีเอทีฟมาเป็น Connection Part ให้ได้...ตอนนี้ที่ทำถ้าเราทำงานกับเอเยนซีสิ่งที่เราจะถามคือ Brand ของคุณมีคาแร็กเตอร์อะไรบ้างเราจะได้ไม่หลุดโทนทำให้เราทำงานกับเอเยนซีได้ฟิตขึ้นจะได้ไม่หลงผิดโจทย์ไป การเข้าใจตรงจุดนี้ก็น่าจะเป็นจุดที่เอเยนซีมองหาอยู่ หนังโฆษณาไม่เหมือนหนังใหญ่ 2 ชม. แต่หนังโฆษณามีเวลาจำกัดต้องเอาครีมของมันมาเล่าทั้งนั้นเลย เช่น ต้องทำให้ซึ้งใน 30 วินาที ก็ต้องทำให้ได้และสุดท้ายก็ต้องไปตอบโจทย์ของ Brand ให้ได้ด้วย ดังนั้นจึงต้องมีพื้นฐานมาจากการคิดแบบครีเอทีฟด้วย หนังโฆษณามันขึ้นอยู่กับหลายส่วน ทั้ง Product ลูกค้า เอเยนซีมาจนถึงผู้กำกับ" "การร่วมงานกับครีเอทีฟในขณะที่ผมเองก็มาจากครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มาก่อน ก็ไม่ง่ายนักเหมือนเป็นดาบสองคม เพราะครีเอทีฟเองก็อาจจะคิดว่าผู้กำกับอดีต CD คนนี้จะมาทำลายความคิดของเขาหรือเปล่า...ซึ่งจริงๆแล้วโดยส่วนตัวเมื่อผมมาเป็นผู้กำกับผมกลับไม่ได้คิดแบบนั้นเลย... ผมอยู่ในสถานะของผู้กำกับอยู่ในสถานะของการขัดเกลา หาวิธีในการเล่าเรื่อง ที่อยู่บนคอนเซ็ปต์เดิมที่ครีเอทีฟคิดมา เพราะเราต้องเคารพซึ่งกันและกัน ในส่วนของผู้กำกับและครีเอทีฟ ตอนผมเป็นครีเอทีฟก็เคารพซึ่งกันและกันกับผู้กำกับ... เช่นกันตอนนี้เราเป็นผู้กำกับก็เคารพคอนเซ็ปต์ที่ครีเอทีฟคิดมา แต่เราจะช่วยนำคอนเซ็ปต์นั้นมาขัดเกลาหาวิธีเล่าเรื่องไม่ให้หลุดคาแร็กเตอร์ของ Brand ที่ครีเอทีฟคิดมา ซึ่งน่าจะเป็นทีมเวิร์คที่ดีด้วยซ้ำไปเพราะเราคุยภาษาเดียวกับครีเอทีฟ"Growth สำหรับอัตราการเติบโตนั้นคุณสุรีย์ กล่าวว่า "บิลลิ่งเราไม่มีเป้าหรือใครมาบังคับว่าต้องเท่านั้นเท่านี้ไม่ได้มีโอเวอร์เฮดที่สูงจนต้องเร่งทำให้ทัน แต่สิ่งที่ทำและตั้งใจที่สุดคือทำหนังให้ดีพิสูจน์ฝีมือ กะว่าซัก 80 ล้านในปีนี้ก็พอแล้วเป็นความคาดหมายกลางๆของเฮ้าส์เปิดใหม่ นี่เรายังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กะว่าจะจัดงานเปิดตัวในวันเด็ก เพราะว่าเราคือ Good Boy'z เนื่องจากว่างานเราตอนนี้ก็เข้ามาเยอะพอสมควร ตอนนี้มี TA ORANGE, 7-Eleven, ชิเคร็ส์,และที่กำลังถ่ายทำอยู่อีกหลายเรื่อง...ตั้งเป้าปีหน้าจาก80ล้าน เราก็ไม่ได้มุ่งหวังอะไรมาก ก็โตตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยทั่วๆไป คือประมาณจาก 80 ล้าน มาเป็น 100 ล้านหรือ120 ล้าน โตเกินไปเราก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นเพราะเราต้องการรักษาคุณภาพที่ดีไว้ก่อนเราไม่เกี่ยงงาน แต่ขอให้มีทัศนคติที่ดีที่เราจะทำงานร่วมกัน ไม่เกี่ยงสไตล์ของหนังแต่ก็ไม่ใช่รับหมด...เรามีผู้กำกับตอนนี้ 3 คน คือ คุณเปา (ธนพงษ์ ทรัพย์เหลือหลาย) กับคุณป๋อง (มงคล นิรันดร์พงศ์) แล้วก็คุณหมง ทั้ง 3 คน ก็มีสไตล์และมีตลาดของเขา คุณเปานั้นจะแนวกราฟิกหน่อย เช่น หนังหมากฝรั่งล้อตเต้ ฮอนด้าแจ๊ซ ยูบีซี เพราะมาจากไลน์อาร์ตไดเร็กเตอร์ ส่วนคุณป๋องจะเป็นแนวชาวบ้านหน่อย ตลกก็เป็นอีกแนวอีกแก๊กนึงใครจะราคาแพงกว่ากันไม่ได้อยู่ที่ผู้กำกับแต่อยู่ที่เนื้องานเพราะต่างคนก็ต่างสไตล์ หนังมาเล็กงบไม่มากแต่ไอเดียดีมากก็ทำเพราะมีความสุขที่ได้ทำหนังไอเดียที่ดี เราเอางานเป็นหลัก มากกว่าเพราะเราไม่ได้มีปัญหาด้านการเงิน"และทั้งหมดนี้คือ Production House ดาวรุ่งดวงใหม่ที่น่าจับตาเพราะเป็นเฮ้าส์ขนาดกลางๆที่มีความคล่องตัวสูง มีแนวความคิดเป็นอิสระ มีประสบการณ์ในการสร้าง Brand และทีมเวิร์คที่ดีกับครีเอทีฟในขณะที่มีแบ็คอัพของการจัดการและกองถ่ายแบบ Production House ขนาดใหญ่....สุรีย์ ฮิทธิสุรสิงห์ : Managing Director and Executive Producer Good Boy'z Houseประวัติการทำงาน 2530 - 2535 Film Producer บริษัทฟาร์อีสท์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน)2535-2545 Producer ในบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์ 10 ปีชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์2522 ตำแหน่งผู้ช่วยช่างภาพ บริษัท ซาลอนฟิล์ม ไทยแลนด์ จำกัด2530 ตำแหน่งฟิล์มโปรดิวเซอร์ JWT ปัจจุบัน ตำแหน่ง Managing Director and Director of Photographer บริษัท The Film Factory อรรณพ ชั้นไพบูลย์ 2545-2547 Creative Director บริษัท TBWA ( THAILAND)ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Director Good Boy'z House

โปรดักชั่นเฮาส์-ซีจีไทยเฟื่อง

โปรดักชั่นเฮาส์-ซีจีไทยเฟื่อง มะกันผุดสตูดิโอไฮเทค500ล.ธุรกิจโปรดักชั่นเฮาส์ไทยเฟื่องฟู ค่ายยักษ์ปรับแผนรับ ฟาก "ครีเอทีฟ คิงดอม" ยักษ์ผู้ผลิต แอนิเมชั่นจากสหรัฐ เกาะกระแสเดินเครื่องขอ บีโอไอลงทุน 500 ล‰าน สร้างสตูดิโอด้านคอมพิว เตอร์กราฟิก ที่จังหวัดเชียงใหม่ รองรับอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ทั่วโลก จากที่ "ประชาชาติธุรกิจ" เสนอข่าวบริษัท ครีเอทีฟ คิงดอม แอนิเมชั่น เชียงใหม่ จำกัด ในเครือครีเอทีฟ คิงดอม ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมแอนิเมชั่นที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริการะบุว่า จะใช้เงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ในการก่อสร้างสตูดิโอที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก (ซีจี) สร้างฉากเสมือนจริงรองรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ล่าสุดมีการเตรียมการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วในพื้นที่ประมาณ 15-20 ไร่ บนถนนวงแหวนรอบนอก อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ กำหนดก่อสร้างเสร็จและเริ่มใช้งานในปี 2551 โครงการดังกล่าวใช้ชื่อว่า Creative Kingdom Studio City ประกอบด้วยโรงถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดใหญ่ 2 โรง พื้นที่โรงละประมาณ 1,500-2,000 ตร.ม. พื้นที่สำนักงานประมาณ 4,000 ตร.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมพื้นที่เพื่อเริ่มก่อสร้าง นายพีรพันธ์ โกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ครีเอทีฟ คิงดอม แอนิเมชั่น เชียงใหม่ จำกัด เปิดเผยว่า โรงถ่ายทำภาพยนตร์แห่งนี้มีลักษณะเป็นเมืองภาพยนตร์ (movie town) โดยใช้อุปกรณ์ในการถ่ายทำและตัดต่อฉากและเครื่องประกอบฉาก การบริหารจัดการมาตรฐานเดียวกับฮอลลีวูด รองรับการถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดใหญ่ได้ทั้งระบบ และมุ่งรองรับกองถ่ายจากทั่วโลกที่ต้องการใช้สถานที่ถ่ายทำในเอเชีย ทั้งการถ่ายทำในและนอกสถานที่ รวมทั้งบริษัทภาพยนตร์หรือโฆษณาของไทยด้วย โครงการนี้จะได้รับความสนใจจากบุคลากรในวงการภาพยนตร์ เพราะกลุ่มบริษัทครีเอทีฟ คิงดอม มีสายสัมพันธ์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เคยร่วมงานกับบริษัทขนาดใหญ่อย่างเครือ MGM นอกจากนั้นเชียงใหม่ยังมีความพร้อมทั้งสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ต้นทุนด้านบุคลากรในประเทศไทยต่ำกว่าแม้จะยังสูงกว่าหลายประเทศในเอเชีย แต่เชื่อว่าศักยภาพของพื้นที่และบุคลากรจะเป็นจุดแข็งโดยครีเอทีฟ คิงดอม ได้เปิดสำนักงานสาขาที่เชียงใหม่ประมาณ 2 ปี มีพนักงานประมาณ 80 คน รองรับการพัฒนาด้านการ์ตูนแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกป้อนให้กับบริษัทแม่ขณะที่นางศิริพร นุรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุน (บีโอไอ) ภาคเหนือ 1 กล่าวว่า ผู้บริหารของบริษัทครีเอทีฟ คิงดอมฯ ได้สอบถามข้อมูลเพื่อขอรับส่งเสริมการลงทุน เนื่องจากมีเครื่องจักร อุปกรณ์ทันสมัยที่ต้องใช้ในการถ่ายทำและตัดต่อต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมากและมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับคือการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ทั้งหมด คาดว่าผู้บริหารจะยื่นเรื่องขอรับการส่งเสริมการลงทุนในเร็วๆ นี้ หลังเตรียมการเรื่องเอกสารครบถ้วน ด้าน น.พ.ภาณุทัต เตชะเสน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ ดิจิตอล เวิร์คส จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และแอนิเมชั่น กล่าวว่า อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และแอนิเมชั่นในเชียงใหม่ยังมีปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่เป็นมืออาชีพ อ่อนการฝึกฝนเมื่อเทียบกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศอื่น ทั้งที่ยังมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก ที่ผ่านมาผลงานของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยได้รับการยอมรับสูง โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือ หากรัฐบาลให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจะร่วมพัฒนาให้เชียงใหม่เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า กันตนาเป็นแบรนด์หนึ่งที่ให้บริการและบุกเบิกตลาดโพสต์โปรดักชั่นมานานกว่า 10 ปี ภายใต้บริษัท โอเรียลทัล โพสต์ จำกัด โดยให้บริการทั้งงานในด้านบริการลงเสียง, ตัดต่อ, แล็บดิจิทัล ฯลฯ ซึ่งทุกส่วนงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ และผลงานที่ผลิตก็มีทั้งภาพยนตร์โฆษณาและภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศโดยปีนี้บริษัทมีแผนขยายธุรกิจด้านภาพยนตร์ในกลุ่มโพสต์โปรดักชั่นเป็นหลัก พร้อมโครงการใหญ่ที่ร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศ 3 ราย ด้วยงบฯลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้จากผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และคาดว่าน่าจะสร้างรายได้จากงานโพสต์โปรดักชั่นได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท/ปี ขณะที่บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) ยังมุ่งขยายธุรกิจในส่วนของแม็ทชิ่ง สตูดิโอ ซึ่งเป็นบริษัทดูแลงานด้านโปรดักชั่นเฮาส์และการผลิตภาพยนตร์โฆษณา โดยจะโฟกัสตลาดต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียและยุโรปเป็นหลัก เพื่อผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชีย จากเป็นที่ยอมรับในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้วในขณะนี้ ซึ่งที่ผ่านมาแม็ทชิ่งฯได้เข้าไปขยายตลาดต่างประเทศด้วยการตั้งสำนักงานสาขาในประเทศญี่ปุ่นและเซี่ยงไฮ้เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกับนายสาธิต กาลวันตาวานิช ประธานกรรมการและผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด บริษัทโปรดักชั่นเฮาส์อันดับ 1 ของไทยกล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีการขยายธุรกิจด้านโปรดักชั่นเฮาส์ โดยจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อแบ่งเซ็กเมนต์ของงานอย่างชัดเจน อาทิ โปรโมโฟเปีย, ต้องตาฟิล์ม สำหรับรับงานที่มีงบประมาณต่ำกว่า ฟีโนมีน่า หรือบริษัท ชูโด เอฟเฟ็คซ์ จำกัด ทำงานในด้านคอมพิวเตอร์ กราฟิก, โมชั่น กราฟิก, แอนิเมชั่น และเอฟเฟ็กต์ เป็นต้นทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นแนวโน้มว่าต่างประเทศหันมาใช้บริการโปรดักชั่นเฮาส์ในประเทศไทยในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกรายงานข่าวจากกลุ่มผู้ผลิตงานด้านคอมพิว เตอร์กราฟิกและแอนิเมชั่นเพื่อรองรับงานโฆษณาและสื่อต่างๆ ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทขนาดเล็กที่เป็นกลุ่มคนไทยที่มีฝีมือเกิดขึ้นหลายบริษัท แต่ส่วนใหญ่จะรับงานด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก หรือแอนิเมชั่นที่ใช้ร่วมกับภาพยนตร์และภาพยนตร์โฆษณา ทั้งนี้มีบางกลุ่มที่แตกตัวมาจากบริษัทใหญ่อย่างกันตนาฯ ก็เริ่มมีผลงานเป็นที่รู้จักด้วยการสร้างภาพประกอบจากคอมพิวเตอร์กราฟิกในโฆษณาที่เป็นที่รู้จักหลายๆ ชิ้น เช่น โฆษณาเหล้าเรด เลเบิ้ล เป็นต้น

ถ้าจะพูดถึงวงการภาพยนตร์โฆษณา หรือ Production House

พงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู
ถ้าจะพูดถึงวงการภาพยนตร์โฆษณา หรือ Production House ก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักคุณพงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู หรือคุณหนัง ด้วยประสบการณ์ในแวดวงโฆษณากว่า 13 ปี ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา และเป็นผู้เก่อตั้งบริษัท The Film Factory วันนี้เราจะมาลองฟังเศษเสี้ยวแห่งแง่คิดและแนวความคิดในการทำงานของผู้ชายคนนี้กัน@ ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์โฆษณาได้อย่างไร ??พอดีผมจบ Fine Art จาก Indiana แล้วก็ไปเรียนต่อด้าน Communication Design ที่ New York หลังจากนั้นก็เริ่มมาทำงานโฆษณาอยู่ที่เอเยนซี่ได้ 2 แห่ง เป็นเวลาประมาณ 5 - 6 ปี โดยขณะที่ทำงานอยู่ที่ J. WALTER THOMPSON นั้นก็บังเอิญได้พบกับเพื่อนผู้กำกับฯชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ผมก็เลยดึงเขามาถ่ายหนังโฆษณาให้ แล้วพอคุยกันไปคุยกันมาเกิดถูกคอ ก็เลยชวนกันร่วมหุ้นตั้งเป็นบริษัท The Film Factory ขึ้น เมื่อ 13 ปีที่แล้ว มีผมเป็นผู้กำกับฯที่นี่ ผมก็เลยเริ่มทำงานทางด้านนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยชื่อ The Film Factory นั้นก็มาจากชื่อของบริษัท The Film Factory ที่มีอยู่แล้วที่ฮ่องกง@ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่องแรกของ Film Factory ??โฆษณาตัวแรกที่ผมทำให้ก็จะเป็น บางกอกโพสต์ ต่อมาก็จะเป็น Fuji Graduate@ ลักษณะงานของ Film Factory ??ส่วนใหญ่จะเป็นงาน Emotional งานเล่าเรื่อง งานที่เกี่ยวกับคน อย่างเช่นผลงานชิ้นล่าสุดก็คือ "คาราบาวแดง นายขนมต้ม" และเร็วๆนี้ก็กำลังจะมีโฆษณา "คาราบาวแดง" ตัวใหม่ออกมาอีก 2 ชิ้น@ สไตล์ของ Film Factory ??จริงๆแล้วสไตล์หนังโฆษณาของ Film Factory นั้นก็มีหลากหลายแนว ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแบบใดแบบหนึ่ง เพราะที่นี่เราเองก็มีผู้กำกับหลายคน สไตล์ของผมเองก็แบบหนึ่ง สไตล์ของคุณต้อม (เป็นเอก รัตนเรือง) ก็แบบหนึ่ง ส่วนของคุณศิษฏ์ (วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง) ก็อีกแบบหนึ่ง สไตล์ใครสไตล์มัน@ ขั้นตอนการทำงาน ??ที่นี่เราไม่มีขั้นตอนการทำงาน ถ้าถูกใจก็ทำ ไม่ถูกใจก็ไม่ทำ นโยบายของที่นี่สั้นๆงายๆก็คือ "ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ" ซึ่งหมายความว่า ถ้าลูกค้าชอบไอเดียของผม ผมก็ทำ แต่ถ้าเกิดเขาไม่ชอบ ก็ไม่ทำก็เท่านั้นเอง โดยงานส่วนใหญ่จะทำให้กับคนที่รู้จักกันสนิทกัน เพราะคุยกันถูกคอ จะพยายามไม่ฝืนใจตัวเองไปทำไปทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะที่นี่เราไม่ได้เน้นที่ Marketing ซึ่งถ้าเทียบที่นี่กับที่ Matching แล้ว มันก็เหมือนคนละขั้ว โดยที่ Film Factory นี้จะไม่มีการเช็ค Rating ว่าผลงานดีหรือไม่ มีคนชอบเยอะมั้ย และก็ไม่สนใจว่าจะได้รับรางวัลรึเปล่า ผมจะทำงานตามความชอบของตนเอง และพยายามทำให้ดีที่สุด แค่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คนอื่นจะชอบหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะถ้าเกิดเราไปทำในสิ่งที่คนอื่นเขาชอบกัน แต่เราไม่ชอบ มันก็เท่ากับว่าเราไม่เป็นตัวของตัวเอง@ ภาพยนตร์โฆษณา กับ ภาพยนตร์แตกต่างจากกันมั้ย ??แตกต่างครับ เพราะหนังโฆษณานั้นจะต้องเล่าเรื่องภายใน 1 นาที ส่วนหนังใหญ่นั้นมีเวลาให้เล่าเรื่องตั้งชั่วโมงครึ่ง แต่จริงๆแล้วผมเองคิดว่า การทำหนังโฆษณานั้นค่อนข้างง่ายกว่าหนังใหญ่ เพราะหนังโฆษณานั้น ถ้ารู้วิธีทำ มันก็ง่าย นอกจากนี้ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วงบประมาณของหนังโฆษณาก็มีมากกว่าเยอะ@ แล้วทำไมภาพยนตร์โฆษณาถึงมีงบประมาณมากว่า ??เพราะว่าหนังโฆษณานั้นทำเพื่อไปขายของ กำไรตั้งปีละสามร้อยสี่ร้อยล้าน มันจึงมีงบประมาณสนับสนุนเยอะ ส่วนหนังใหญ่นั้นมันจะต้องรอการสนับสนุนจากคนดู ทำออกมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนดูมากน้อยแค่ไหน มันก็เลยมีงบประมาณน้อยกว่า@ หน้าที่ของผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา ??หน้าที่หลักๆก็คือ เราจะต้องตีโจทย์ของเอเยนซี่ให้ออก เล่าเป็นเรื่องแล้วจะต้องตอบโจทย์ของเอเยนซี่ให้ได้ แล้วก็ต้องดูสนุกด้วย@ การจัดตกแต่งสถานที่ ??อย่างแรกต้องขอบอกก่อนว่าที่นี่เราเป็นบริษัทที่ไม่มีเปลือก!!! แล้วเราเองก็ไม่ได้มีการออกแบบ หรือมีไอเดียตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ที่นี่เราก็ทำกันไปเรื่อย อยากทำนู้นก็ทำ อยากต่อเติมนี่ก็ต่อเติม ไม่ได้มีอะไรมากมาย อยากทำอะไรก็ทำตามความพอใจและความสบายใจของคนที่เขาทำงานที่นี่ ซึ่งทุกคนเขาก็มีความสุขกันดี @ แล้วน้องๆที่สนใจอยากจะเป็นผู้กำกับฯจะต้องทำยังไงบ้าง ??อย่างแรกจะต้องถามตัวเองก่อนว่า สนใจจริงรึเปล่า? อยากทำจริงรึเปล่า? แล้วก็ต้องดูหนังเยอะๆ สุดท้ายก็จะต้องทำผลงานใส่ Show reel เก็บเป็น Portfolio ของตัวเองเอาไว้ ใช้ต้นทุนถูกๆ ถ่ายด้วยกล้อง Handy Cam ก็ได้ ไม่ต้องลงทุนมากมายอะไร เพราะเขาดูกับที่ Idea ไม่ได้ดูที่ Production

หมุนเวียนมานำเสนอเรื่องราวของบริษัททางด้าน Production House

หมุนเวียนมานำเสนอเรื่องราวของบริษัททางด้าน Production House กันบ้าง
โดยทางนิตยสาร BrandAge ได้เข้าไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับ Production House ชั้นแนวหน้าในเมืองไทย นั่นก็คือ PHENOMENA ซึ่งเฉพาะในปีที่ผ่านมาผลิตภาพยนตร์โฆษณาไปถึง 100 เรื่อง....ยิ่งไปกว่านั้นทาง The GUNN Report ที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Creative Review ประเทศอังกฤษ ยังได้จัดอันดับให้ผู้กำกับคนดังของ PHENOMENA คือคุณธนญชัย ศรศรีวิชัย เป็นอันดับ 1 ของโลกในแง่ปริมาณรางวัลที่ได้รับ และ PHENOMENA เป็น Production House อันดับที่ 3 ทางนิตยสารของเราได้รับเกียรติให้พูดคุยกับคุณยอดเพชร สุดสวาท Managing Director ของ PHENOMENA ถึงความเป็นมาและที่จะเป็นไปในอนาคต PHENOMENA คุณยอดเพชร สุดสวาท เล่าถึงแรกเริ่ม ที่ก่อกำเนิด PHENOMENA ว่า “...ตอนแรกก็มี คุณสาธิต กาลวันตวานิช ซึ่งเป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งและก็เป็นประธานบริษัท เริ่มแรกคุณสาธิต เป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์อยู่ที่บริษัทลีโอ เบอร์เนทท์ และดิฉันก็ทำงานอยู่ที่ลีโอ เบอร์เนทท์ ต่อจากนั้นคุณสาธิตก็ไปทำงานที่บริษัทสามหน่อเป็นกราฟิกดีไซน์และดิฉันก็มาทำรายการทีวีและโปรดิวเซอร์ ที่ครีเอเทียในเครือสามหน่อ คุณสาธิตก็มาช่วยกำกับ เพื่อนๆ ด้วยกันก็ชวนกันมาทำหนังโฆษณา ... ก็เลยลองดูเพราะเราก็อยู่วงการโฆษณา คุณสาธิตก็ไปกำกับหนังโฆษณาที่อังกฤษและ ดิฉันก็เป็นโปรดิวเซอร์ เราก็ไปอังกฤษเป็นการทำหนังโฆษณาเรื่องแรกก็ไปอยู่อังกฤษสองเดือน ตอนนั้นเป็นหนังโฆษณาสก๊อตซุปไก่เมื่อ 13 ปีก่อน พอกลับมาก็เลยคุยกับคุณสาธิตว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเราเปิดโปรดักชั่นเฮ้าส์กันดีไหม ก็เลยเปิดและลงมือทำเลยในปี 2534 ได้รับงานมา สองงาน งานแรกที่ทำก็คือกระเบื้องโอฬาร และ โนเบิ้ล เป็นหนังของโนเบิ้ลที่เปิดตัวเรื่องแรก และก็มีน้ำยาดับกลิ่นกาย มัม ...เริ่มแรกที่ออฟฟิศปัจจุบันนี้ก็มาเช่า ต่อมาก็ซื้อแล้วก็ซื้อขยายไปเรื่อยๆยังไม่ย้ายไปไหน ตอนนี้เรากำลังสร้างตึก อยู่ แต่ยังใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ที่ที่เราอยู่ตรงนี้เราก็ทำธุรกิจดีรุ่งเรืองมาเรื่อยๆ ก็เลยทำมา ตอนนี้ก็มีดิฉัน คุณสาธิต และก็คุณบุญเกียรติ กอสนาน ซึ่งจะดูทางด้านการเงิน ในช่วงครึ่งปีแรก ดิฉัน ออกมาเต็มตัวคนเดียว อีก 2 คนคือคุณสาธิตและ คุณบุญเกียรติยังไม่เต็มตัว” หลังจากนั้นมา PHENOMENA ก็เจริญเติบโตมาเรื่อยๆ เริ่มมีงานได้รับรางวัล มีผู้กำกับคือคุณธนญชัย ศรศรีวิชัย เข้ามาร่วมงานด้วยในปีที่ 2 ถัดมาก่อตั้งบริษัทในเครือทางด้าน Design Firm คือ PROPAGANDA จนถึงปัจจุบันมีผู้กำกับระดับคุณภาพคับแก้วอยู่ถึง 10 คน มี Production House ในเครือของบริษัทเพิ่มเติมในการรองรับงานอีก 2 บริษัท คือ PROMOPHOBIA และ ต้องตาฟิล์ม ไปจนถึง PHENOMENA MOTION PICTURE ที่ร่วมทุนกับทาง GMM Picture ในการสร้างภาพยนตร์ไทย (ดูแผนผัง PHENOMENA GROUP) DIRECTORในธุรกิจ Production House ทีมงานและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กำกับนั้นเปรียบเสมือนโปรดักต์ขององค์กรเลยทีเดียว จากการเริ่มต้นที่ 1 คน คือคุณสาธิต กาลวันตวานิช มาถึง คุณธนญชัย ศรศรีวิชัย และเพิ่มเติมมาจนมีถึง 10 คนในปัจจุบันนั้น ผ่านการสร้างและฝึกหัดมาด้วยความพากเพียรในการสร้างบุคลากรจนทาง PHENOMENA เปรียบเสมือนโรงเรียนที่ผลิต ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาและภาพยนตร์เพื่อ ความบันเทิงโดยมีกระบวนการสร้างที่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง คุณยอดเพชรเล่าให้ฟังว่า “วิธีเทรนนิ่งก็เริ่มจากผู้ช่วยผู้กำกับซึ่งผู้กำกับจะสอนให้คิดงานแบบผู้กำกับ เพราะผู้กำกับก็จะมอบหมายให้ไปหาข้อมูลหาสิ่งต่างๆ มา ดังนั้นพวกผู้ช่วยหรือแม้แต่กระทั่งอาร์ตไดหรือทีมงานอื่นๆ ก็จะคิดในแนวของผู้กำกับเป็น... ปลูกฝังครีเอทิวิตี้มาตั้งแต่เริ่มทำงานและคนพวกนี้ต่อไปก็จะขึ้นมาเป็นผู้กำกับที่มีคุณภาพ มีวิธีคิดและเข้าใจครีเอทิวิตี้ของลูกค้า นี่เป็นวิธีการเทรนของเรา และยังมีวิธีการเทรนเรื่องการออกกองถ่ายเพราะทุกๆ ครั้งที่ออกกองถ่ายมันก็เหมือนเผาแบงก์ 500 ทุกๆ นาที เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรู้ว่าทำอย่างไรให้มันกระชับให้ไวบริหารกองอย่างไร จะซึมซับจากหน้างานจริงในการแก้ปัญหา ก่อนที่เราจะสกรีนขึ้นมาเป็นผู้กำกับ มีการตั้งเป้า 1234 ว่าถ้าได้แบบนี้ก็จะขึ้นมาเป็น ผู้กำกับได้ถ้าผ่านเทสต์ของเราได้ก็จึงขึ้นมาเป็น ผู้กำกับเพราะงานที่ออกไปเป็นของ PHENOMENA ซึ่งต้องมีมาตรฐาน คุณสาธิต และคุณธนญชัยจะคอยเช็คคุณภาพตลอด ต้องทำงานที่ดีออกมาได้โดยที่ต้องก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ เช่น งบประมาณ หรือเวลา ฯลฯ ให้ได้ เป็นวิธีเทรนนิ่งที่เข้มข้นมาก” ผู้กำกับอื่นๆ นอกจากทั้งสองท่านที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีอีกคือ คุณน้ำทอง ทองใหญ่ ณ อยุธยา ผลงานเด่นๆ ก็เช่น ซิตร้า บอดี้โลชั่น, ซันซิล, เบียร์สิงห์ และเทสโต้ คุณเขตชัย ประพนศิลป์ กับงาน เช่น Dprompt, โอโม, ใกล้ชิด และ Exit คุณธัญรักษญ์ พรรณวิไล กับงาน เช่น Mistine Pink Magic, เครื่องซักผ้าซัมซุง และเขาช่อง คอฟฟี่มิกซ์ คุณประเสริฐสุข ถวิลเวชกุล กับงาน เช่น เปา ซอฟต์, OLAY, Sofe, Clairol Herbal Essence คุณคณิณ จันทรสมา กับงานเช่น ทีเอ เอ็กซ์เพรส, เทสโก้ โลตัส คุณนวจุล บุญพรรคนาวิน กับงานเช่น อี-โฟน คุณบิน กิจขจรพงศ์ กับงานเช่น ไดสตาร์, มาม่า, โอโมพลัส, การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และสุดท้ายคุณกฤตินนท์ นพคุณ กับงานเช่น ลักส์ บิวตี้ คุณยอดเพชรเสริมว่า “สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ได้กับผู้กำกับทั้ง 10 คนคือ โปรดักต์มันไม่ใช่นาย 1 ถึงนาย 10 เท่านั้นแต่มันจะเป็นตัวทีมงาน และ Reliability (ความไว้วางใจ, ความน่าเชื่อถือ) ของบริษัทด้วย คือถ้าเราบอกว่าคุณภาพจะออกมาแบบนี้หรือวันนั้นวันนี้เราจะพรีโปรดักชั่น อะไรก็ตามที่เราสัญญาไปคือได้ ..ลูกค้าจะเข้าใจบางกรณีถ้าลูกค้าบางสตอรี่บอร์ดเจาะจงมาหา คุณเอ คุณบี เราก็จะบอกว่าคุณซีหรือคุณดี ก็ทำได้นะและเดี๋ยวคุณเอคุณบีก็จะลงมาดูด้วยเพราะเราทำงานเป็นทีม คือผู้กำกับทุกคนไม่ใช่ว่าได้งานแล้วไปทำคนเดียวเราก็จะมีผู้กำกับคุณเอคุณบีเหมือนเป็น Tools ของผู้กำกับคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นลูกค้าจะเห็นเลยว่าเวลาเขาเข้าไปดู เวลาตัดหนังนั้นเหมือนซื้อ 1 ได้ 2 เลยเพราะจะมีผู้กำกับคนอื่นเข้ามาดูด้วยมีการแชร์ไอเดียกัน และพองานเสร็จออกมามันก็ได้งานและคุณภาพในระดับที่ลูกค้าอยากได้จริงๆ เพราะสินค้าบางอย่างโทนของหนังอาจจะเหมาะกับผู้กำกับไม่เหมือนกันเป็นเรื่องของบอร์ดเข้าทางของผู้กำกับคนไหน” “สำหรับเรา 10 คน เราว่ามีมากแล้วเพราะเราก็ต้องมีโครงสร้างรองรับที่ดี ถามว่าในอนาคตจะเพิ่มไหมเราก็ต้องเพิ่มผู้กำกับ เรามีแพลนว่าจะต้องเพิ่มเท่าไหร่ในปีถัดๆ ไปแต่เราก็ต้องแน่ใจว่าคนที่อยู่หรือตัวโปรดักต์ที่มีเนี่ยเขาต้องเติบโตคือตัวเขาเองต้องเติบโต งานคุณภาพต้องดีขึ้นลูกค้าติดตลาดมากขึ้น มีตลาดของตัวเอง มีลูกค้าของตัวเองในกลุ่มที่ขยายกว้างขึ้นในขณะเดียวกันงานต้องดีขึ้นไม่ใช่นิ่งอยู่เฉยๆ ดังนั้นเราจะต้องดูแลทั้งโปรดักต์ที่อยู่ข้างใน เพราะที่นี่มันเหมือนโรงเรียน ไม่ได้ซื้อตัว เป็นเหมือนครอบครัวที่เราจะเป็นลักษณะซื้อใจ ก็เลยทำตัวเหมือนกับเป็นโรงเรียนมากกว่า เป็นที่เทรนนิ่ง เพราะว่าถ้าเราเป็นคนเทรนให้คุณแล้วทีนี้สัญญาอะไรก็จะไม่มีแล้ว เทรนให้แล้วทุกคนแฮปปี้ เพราะคนที่อยู่กันได้นานๆ ก็จะต้องเป็นน้ำเดียวกันและเขาก็จะรู้สึกเป็นสุขที่จะได้อยู่ตรงนี้ เพราะมันจะต้องทำงานกันอยู่กับทีมงานของเขามากกว่า 8 ชม.ต่อวัน ดังนั้นถ้าทำงานแล้วรู้สึกมีความสุขที่จะอยู่อันนี้จะเป็นหลักยึด และความสุขอย่างเดียวก็ไม่ได้ต้องมีสตางค์ด้วยต้องมีความก้าวหน้าของคุณภาพชีวิตต้องสมดุลให้ได้ “เรตราคาจะมาจากขนาดของโปรดักชั่นซึ่งราคาพวกนี้เป็นราคาฟิกซ์ แต่ราคาที่ไม่ฟิกซ์คือค่าตัวผู้กำกับ กับเซอร์วิสชาร์จของบริษัทที่จะให้ไป เพราะว่าตัว PHENOMENA นั้นมีเครือบริษัทเล็กบริษัทน้อยซึ่งมีผู้กำกับทำงานอยู่ในบริษัทที่เล็กลงไป คือ PROMOPHOBIA กับ ต้องตา อยู่ที่ว่าลูกค้าจะต้องการสร้างหนังแบบไหนขนาดไหน คือหนังที่ได้รางวัลหรือสร้างสรรค์มากๆนั้นมักจะเป็นหนังเอาท์สแตนดิ้ง แต่ก็ยังมีหนังอีกประเภทของ คอนซูเมอร์โปรดักต์ที่ลูกค้าต้องการจะขายของและก็เน้นที่มาร์เก็ตติ้ง มีไบเบิ้ลมาว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ตายตัวแต่คุณภาพต้องได้ ซึ่งหนังประมาณนี้ผู้กำกับของเราทุกคนทำได้หมด แต่หนังพวกนี้จะไม่ได้รับรางวัลในเวทีครีเอทีฟ ....จุดแข็งของเรานอกจากที่จะมีไดเร็กเตอร์คุณภาพแล้ว เรายังมีจุดแข็งในเรื่องของอาร์ตไดเร็กชั่น ไม่ว่าลูกค้าจะนำบอร์ดอะไรมาให้ทำ ไม่ว่าจะบอร์ดแบบพื้นๆ ไอเดียเรียบหรือแบบไหนๆ รับรองว่าจะออกมาสวยและมีคลาส ไม่ว่าจะใช้ผู้กำกับคนไหน เราจะทำออกมาให้สวยให้ได้ตามมาตรฐาน” QUALITYคุณภาพของภาพยนตร์โฆษณาที่ออกสู่สายตาทางสื่อโทรทัศน์นั้นเป็นสิ่งที่ทาง PHENOMENA ให้ความสำคัญมากซึ่งคุณภาพของงานนั้นมีส่วนมาจากคุณภาพของบุคลากรเป็นสำคัญ คุณยอดเพชรกล่าวว่า “ผลิตผู้กำกับมันผลิตยาก เป็นธรรมชาติของโปรดักชั่นเฮ้าส์ เพราะโปรดักชั่นเฮ้าส์นั้น แก่นแกนที่แข็งมันจะอยู่ที่คน ผู้กำกับคือโปรดักต์ เราก็ต้องคิวซีโปรดักต์ คือผู้กำกับ และไม่ใช่แค่ตัว ผู้กำกับเท่านั้นตัวทีมงานต้องพร้อมทุกอย่างให้เขาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสามารถที่จะ Push คุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้นตัวทีมก็สำคัญแต่ละส่วนจะเป็นนอตที่ขันแต่ละยูนิตของการทำงานซึ่งฮิวเมนรีสอร์ซจะเป็นเรื่องสำคัญมาก บางทีคุณมีแบรนด์แข็งแต่คุณไม่มีคนที่จะรองรับ มันก็ไม่ได้แล้วเพราะมันจะส่งผลกระทบกับแบรนด์ของคุณทันที...ถ้าจะเพิ่มคนไปเรื่อยๆแต่โครงสร้างภายในหรือแบ็คออฟฟิศไม่มี มันก็จบ ตอนนี้ที่เรามองคือการสร้างและพัฒนาในเรื่องของ Quality ทางด้านโปรดักชั่น เนื่องจากว่าในเมืองไทยขณะนี้เรามีความเก่งมากทางด้าน Creativity โปรดักชั่นเฮ้าส์แค่ทำตาม Creativity ให้มันดีขึ้น แต่ไทยเราจะอ่อนในเรื่องคุณภาพของรายละเอียดและดีเทล ในคุณภาพของงานที่เราจะไปสู้กับฝรั่ง ตรงนี้คือสิ่งที่เราอยากจะขยายให้มันสู้กับฝรั่งได้ แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการไปซื้อเครื่องไม้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีล้ำยุคแพงมหาศาลแต่มันอยู่ที่คนที่ใช้เครื่องมือนั้น เช่นต่อให้ซื้อรถเฟอร์รารี่ให้คนที่ขับรถไม่ดีมันก็ไม่ได้ทำให้การขับรถดีขึ้นมาได้ สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ คนที่จะสามารถทำงานได้ สร้างงานได้แบบมีคุณภาพ เวลาน้อย ใช้เงินน้อย แต่ได้ผลงานที่ดีตามมาตรฐานเป็นประโยชน์กับลูกค้าในการขายสินค้าให้ลูกค้า นี่เป็นโจทย์ที่เราจะต้องพัฒนาทำต่อไป เพื่อวงการโปรดักชั่นในบ้านเราและรอบๆ บ้านเราให้เขาทึ่งว่าเราทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ นี่คือการขยายในแบบของเราไม่ใช่งานเราเยอะเพิ่มผู้กำกับอีก 5 คน 10 คนเพื่อจะได้บิลลิ่งมากขึ้นแบบนี้ไม่ใช่โตในลักษณะแบบยั่งยืนไปข้างหน้า” Growthจากมาตรฐานการผลิตผลงานที่ดีออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท ทำให้อัตราการเติบโตของ PHENOMENA เติบโตขึ้นโดยตลอดแม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งคุณยอดเพชรเล่าว่า “ช่วงที่ฟองสบู่แตกเราแทบไม่กระทบเลยเพราะเป็นแค่ปีเดียวที่การเติบโตนั้นคงที่ ค่ายคอนซูเมอร์ ยักษ์ๆ ใช้เป็นโอกาสในการใช้โฆษณามากในการทำตลาดทำให้เราไม่ตกและหลังจากนั้นพอเศรษฐกิจนิ่งและโตเราก็โตขึ้นมามาก ช่วงฟองสบู่มีการล้มไปของโปรดักชั่นเฮ้าส์ค่อนข้างสูงแต่ทางเรายืนอยู่ได้เพราะเรามีผลงานที่มีคุณภาพ ลูกค้าเวลาต้องใช้เงินอย่างมีคุณค่าและชัวร์นั้น ลูกค้าก็ต้องเลือกใช้โปรดักชั่นที่ควอลิตี้แน่นอน เราจึงยืนอยู่ได้เพราะเราคือของจริง เนื้อในมันแข็ง อัตราการเติบโตของเรา ตกประมาณ 20% ต่อปี แม้ว่าปีนี้อุตสาหกรรมโฆษณาจะโตขึ้นตามเศรษฐกิจแต่ว่าทางด้าน ผู้กำกับหรือโปรดักต์ของเรามันมีแค่ 10 คน มันยังผลิตผู้กำกับออกมาทีละมากๆ ไม่ได้ มันก็ต้องล้นไปที่อื่นคือไม่ได้มาโตที่เรามากๆ แต่ไปโตในอุตสาหกรรมโปรดักชั่นเฮ้าส์อื่นๆ แต่เราก็ไม่ได้โลภ เราต้องกลับมายึดหลักการ รักษาคุณภาพเอาไว้ให้ได้ ไม่ใช่โลภเอาแต่จะตักน้ำเวลาน้ำขึ้น เราก็จะขยายแต่ก็จะขยายในสิ่งที่เราเอื้อมถึงและเราบริหารมันได้ โครงสร้างภายในมันต้องขยายตามทัน ...ไปขยายในไลน์อื่นๆเช่นการร่วมทุนกับ GMM ทางด้านหนังใหญ่ ส่วนของหนังใหญ่จะออกฉายปีนี้เป็นปีแรกและปลายปีก็จะทำโปรดักชั่นอีก 2 เรื่องพร้อมกันและปีถัดไปก็น่าจะเป็น 3 เรื่อง ผู้กำกับก็เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับอยู่ที่ PHENOMENA และก็ลองให้ทำหนังสั้น และก็ได้รางวัลมา เช่น ที่กรีซ ที่ลอนดอน ฯลฯ เป็นผู้กำกับดูโอคือ 2 คน เขียนบทได้แน่นเราก็เลยทำเลย คุณสาธิต กับ คุณธนญชัย ก็จะเข้ามาดูคอยแนะนำด้วยและมี ส่วนของโค-โปรดักชั่นของหนังต่างประเทศที่เราไม่ต้องใช้ผู้กำกับใช้แค่ทีมงานถ่ายทำ....เราอยากโตทางสูงไม่ได้โตตามกว้าง คนอยู่มีความสุข มีเงิน และมีงานดี เป็นหลักการที่เรายึด ต้องรักษาสมดุลทั้ง 3 สิ่งนี้ให้ลงตัว ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ดี” และที่ท่านผู้อ่านได้อ่านผ่านตามาทั้งหมดนั้นคือภาพรวมของ Production House ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย “PHENOMENA” ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่จะคว้าอันดับ 3 ของโลกมาได้ด้วยการยึดมั่นในคุณภาพของงานและคุณภาพของคนเพื่อการเติบโตไปแบบยั่งยืน ส่งผลให้แวดวง Production House บ้านเราไม่น้อยหน้าใครในโลกนี้...

เพียงพออย่างพอเพียง หลักคิดชีวิต

ท่ามกลางความหลงใหลในวัตถุนิยมและความฟุ้งเฟ้อในค่านิยมของผู้คนในปัจจุบัน เมื่อเปิดทีวีมาดูรายการใดๆ ย่อมไม่พ้นต้องเห็นรายการที่มุ่งให้คนนิยมวัตถุ ฟุ้งเฟ้อ หรือแม้แต่โฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ประชาชนติดเป็นทาส แต่ผู้กำกับภาพยนตร์และโฆษณาชื่อดัง ดาว-นิดา สุทัศน์กลับมุ่งมั่นทำงานตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงให้กับสารคดีอันสูงค่า"ที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสครองราชย์ครบ ๖๐ ปี โดย กกต.
ช่วงชีวิตกว่า 20 ปี ที่คลุกคลีกับการทำภาพยนตร์และโฆษณาของผู้กำกับฝีมือดีคนนี้ มีผลงานภาพยนตร์โฆษณานับ 1000 เรื่อง โดยเฉพาะโฆษณาชีวาส ที่มีไมเคิล หว่อง เล่นเป็นโฆษณาที่มีความยาวที่สุดครั้งแรกในประเทศไทย ที่ใช้เวลากว่า 3 นาที ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้กับกำคนนี้มากที่สุด นอกจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องซีอุย ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเธอ ก็สร้างกระแสฮือฮาให้กับให้กับผู้ชมภาพยนตร์ชาวไทยมาแล้ว
นิดา จบการศึกษาจากมหาลัยธรรมศาสตร์ใช้ชีวิตเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดานหนังสือมากโดยเคยทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหน้าวรรณกรรมให้กับหนังสือผู้จัดการ และหนังสืออื่นๆ อีกหลายเล่ม และแล้วเส้นทางเข้ามาสู้ผู้กำกับหนังก็เริ่มขึ้นเมื่อต้องเข้าไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับจำเป็นเมื่อ 20 ปี ก่อน”พอดีรู้จักกับพี่หง่าว-ยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับหนังที่ตอนนั้นกำกับหนังเรื่อง เทพธิดาบาร์ 21 แต่ด้วยความ ที่พี่เขาใจร้ายกับกองถ่าย ผู้ช่วยก็ทิ้งกลางคัน เขาก็เลยมาชวนให้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับก็เข้าไปช่วยไม่ถึง 20 คิว ตอนนั้นเหมือนไปเริ่มต้นงานใหม่เพราะไม่ได้รู้เรื่องในกองถ่ายเลย แต่รู้ว่างานเละมากๆ ก็ไปเดาๆ เอาเสร็จแล้วก็ไปเข้าทำงานที่สยามสตูดิโอ”
หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าร่วมงานกับสตูดิโอตั่งแต่ครั้งยังมีพนักงาน 12 คน และเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างสยามสตูดิโอให้รุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้ ด้วยจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นจนถึง 100 คน และกลายเป็น Production House ซึ่งออกเป็นบริษัทในเครือกว่า 10 บริษัท
นอกจากประสบความสำเร็จในแวดวงภาพยนตร์และโฆษณาแล้ว ผู้กำกับคนดังคนนี้ยังมีความสุขกับการทำธุรกิจร้านอาหาร To Die For และการเปิดบริษัท อินทีเรีย Star Light ด้วย
แม้จะทำอะไรหลายๆอย่าง แต่สิ่งที่นิดาชอบที่สุดคือการตัดต่อภาพยนตร์ “ตอนนี้คนทำหนังมีมุมมองใหม่ๆมามาก โดยเฉพาะยุคนี้มีคนทำหนังอินดี้เยอะขึ้น แค่พกกล้องวิดีโอเล็กๆ ก็เป็นหนังที่ดีได้ อย่างเรื่อง เด็กโต๋ ที่ “นก” ผู้กำกับเขาก็เอาชีวิตไปผังตัวอยู่ที่นั้น ก็เป็นการทำหนังแบบพอเพียง ”
เมื่อได้คลุกคลีอยู่กับวงการภาพยนตร์แล้ว ช่วงเวลาที่ประทับใจจากการทำงานในวงการนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ว่าจ้างให้บริษัทของเธอ ทำสารคดีเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มทำหนังโฆษณาแลองครบรอบ 50 ปีหลังจากนั้นก็มีหนังสารคดีที่ถ่ายทอดพระราชกรณียกิจของพระองค์มาตลอด ล่าสุดก็ได้ทำงานให้สารคดี “ชีวิตที่พอเพียง” ความยาว 2 นาที ของผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินชีวิตจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 10 ท่าน
“การทำงานสารคดีครั้งนี้รู้สึกภูมิใจมาก มีความรู้สึกใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น เห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์เมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว ก็ปลื้มใจ จึงได้ใช้การทำงานแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทุกคนช่วยกัน ดาวก็ไม่รับค่าตัว นักแสดงทุกคนก็ไม่รับค่าตัว ถือว่าเป็นการทำงานที่ช่วยกันจริงๆ” นิดากล่าว
เมื่อได้รับโจทย์จาก กกต. ผู้กำกับสาวและทีมงานก็รีบค้นหาผู้ที่ประสบผลสำเร็จจากแนวคิดนี้ ทุกอาชีพ ทั้งนักเขียน, แพทย์, คนทำเว็บไซต์ ฯลฯ
“ เราดูจากผู้ที่เคยถูกสัมภาษณ์มาแล้ว โดยยึดหลักความหลากหลาย มีความสนใจดูจากความพอใจและความเพียงพอของเขา หากถามว่าทุกคนประสบความสำเร็จหรือไม่ว่าทุกคนที่ยึดหลักนี้คงประสบความสำเร็จหรือไม่ก็คิดว่าทุกคนที่ยึดหลักนี้คงประสบความสำเร็จทุกคนเราดูถึงความพอใจในสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จนั้นๆด้วยว่า คืนอะไรต่อสังคมบ้าง”
แม้ผู้กำกับคนนี้จะควบคุมโปรเจกต์เฉยๆแต่การทำงานที่ต้องรวบรวมเรื่องราวที่เป็นไฮไลต์จากการถ่ายทำทั้งวัน ให้เหลือแค่ ๒ นาทีนั้น เป็นสิ่งที่ยากที่สุด “เราต้องดึงจุดที่สนใจของตนละคนออกมาให้ได้ เพราะบางคนก็พูดได้ใจความบางคนก็ยากมากกว่าจะพูดให้รู้เรื่องได้ กว่าจะเป็น ๒ นาทีได้ก็ยากพอสมควร เพราะเราบังคับให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนในภาพยนตร์ไม่ได้ ”
ความแตกต่างของการทำหนังสารคดีและหนังที่ใช้เอฟเฟกต์นั้น นอกจากความสนุกที่แตกต่างกันแล้ว การทำหนังสารคดีมันยังมีลุ้นว่า คนในเรื่องจะพูดได้ไหม จะเล่นได้ไหม พระอาทิตย์จะขึ้นไหม ฝนจะตกไหม กว่าจะเอามาตัดต่อได้ก็ใช้เวลานาน
นิดายอมรับว่า แม้หนังที่เน้นการทำง่ายๆ แต่นำเสนอความสมจริงจะได้รับความนิยม แต่หนังที่นิยมใช้เทคนิค หรือ เอฟเฟกต์เยอะๆ ก็ยังคงความนิยมอยู่เสมอ “ ทำงานตรงนี้มายอมรับว่า เกลียดเทคนิคมาก จริงๆและเมื่อก่อนเป็นคนชอบเทคนิคและชำนาญถึงขั้นสอนให้คนรุ่นหลังได้ แต่ที่ไม่ชอบคือมันมาล้มล้างความจริงใจของหนัง ที่ควรนำเสนอความเป็นธรรมชาติ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำหนังโดยไม่ใช้เทคนิคเพราะต้องใช้เวลานานในการแสดงอารมณ์ องค์ประกอบศิลป์ทั้งหมด แต่การทำหนังมันมีเวลาที่กำหนด”
หากย้อนกลับมาดูผู้ที่ดำเนินชีวิตแบบพอเพียงแล้วตัวผู้กำกับคนนี้ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่ยึดการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วยเช่นกัน
“ ในความคิดของพี่ คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นอยู่ที่ใจอยู่ที่ว่าเราต้องทำอย่างไรให้เรามีความสุขกับชีวิต ณ ตรงนี้โดยที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะรู้จักพออย่างเดียว แต่เราต้องรู้จักเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ให้ความสุขกับคนรอบข้างด้วย”
นิดา ยกตัวอย่างของผู้ที่ถ่ายทำมา อย่าง นพ.สภา ลิมพาณิชย์การ ที่เปิดคลินิกรักษาโรคในราคาเพียง ๕ – ๗๐ บาท ว่า คุณหมอดูมีความสุขในการรักษาชาวบ้าน แม้ว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลแค่ ๑๐ บาท แต่กลับมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้คนมากกว่าที่จะฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยไปกับความสุขทางโลก
“ สำหรับตัวเองแล้ว การทำงานกับธุรกิจที่ต้องทุ่มเม็ดเงินมหาศาล อย่างการทำโฆษณาที่เจ้าของสินค้าต้องลงทุนมากเพื่อให้สินค้าติดตาผู้บริโภค ดังนั้น เมื่อเขาทุ่มเงินจ้างเราอย่างเช่น ค่าจ้างทำโฆษณา ๒ แสน ก็ใช่ว่าเราต้องไปบอกเขาว่าขอรับค่าตัวแค่แสนเดียว เพราะถ้านายทุนเขามีกำลังทุ่มให้เราเท่าไหร่ เราก็ต้องทำให้ได้ดีให้คุ้มกับที่เขาเชื่อในฝีมือเราเราต้องซื่อสัตย์ในการทำหน้าที่ของเราให้มากที่สุด”
เมื่อได้รับค่าตอบแทนมาแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ได้จะเอาเงินไปทำอะไร ดาวยกตัวอย่างกรณีการใช้ชีวิตแบบพอเพียงของตัวเองว่า “ เมื่อเราได้ค่าตอบแทนสูง ส่วนใหญ่ก็ให้โอกาสลูกน้องเปิดบริษัทที่เขาอยากทำ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพพอในการทำธุรกิจ ทำบริษัทที่ดีได้ ซึ่งบริษัทที่ดีในความคิดคือ ต้องเป็นบริษัทที่ไม่เอาเปรียบลูกน้อง ไม่เอาเปรียบลูกค้า ให้เงินเดือนตามสมควรและมีโบนัสเป็นรางวัลให้ลูกน้อง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และที่สำคัญก็ควรทำสิ่งแวดล้อมในบริษัทหรือที่ทำงานให้สวยงามด้วย”
นิยามคำว่าพอเพียงของผู้กำกับมือโปรคนนี้มีอยู่ว่า “ คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงมันลวงตาเหมือนกัน แต่ในความคิดแล้วพอเพียงคือมีอย่างพอใจ ไม่ต้องมีเงินถึง ๒๐๐ หรือ ๓๐๐ ล้าน แต่เงินเพียงน้อยนิดหากเรารู้จักพอใจกับมัน รู้จักเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่นด้วยแล้ว ใจของเรานี่เองที่จะบอกว่าเรามีความสุขที่สุด”
แล้วคุณล่ะ เริ่มเข้าใจคำว่า “ เศรษฐกิจแบบพอเพียงหรือยัง ?


( นิดา สุทัศน์ ณ อยุธยา "เพียงพออย่างพอเพียง" หลักคิดชีวิตทำงาน.หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน น.31, วันที่ 10 ก.พ. พ.ศ.49)

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ที่ผ่านมา
สมัครเข้าร่วมรับการประเมินผลการดำเนินงาน
ขอเชิญร่วมชมงานมหกรรมนักอ่าน นิทรรศการ “เมืองห้องสมุดสมัยใหม่”
“จิรายุ“ไขพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันประเทศ
คนไทยร่วมมือฝังรากเศรษฐกิจพอเพียงสังคมไทยยั่งยืน
ดร.สุเมธชี้แนวดำเนินชีวิตภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
องคมนตรีแนะคนเชียงรายเศรษฐกิจพอเพียงช่วยให้อยู่อย่างมีความสุข
ยูเอ็นนำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเผยแพร่ 144 ประเทศทั่วโลก
“องคมนตรี”ระบุศก.พอเพียงไม่ได้ทำลายเศรษฐกิจประเทศอย่างบางคนกล่าวหา
"ดร.สุเมธ" สอนรัฐ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ต้องเดินสายแจงต่างชาติ
องคมนตรีย้ำ ศก.พอเพียงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ครอบครัวยันประเทศ
ข้าวคุณธรรม...ตามแนวพอเพียง : คอลัมน์หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน (ไทยรัฐ)
องคมนตรีขอคนไทยช่วยกันเผยแพร่เศรษฐกิจพอเพียง
เปิดตัวโครงการ "พ.ศ.พอเพียง" ขยายเครือข่ายการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง
นายกฯ เดินสายแจงนักลงทุน ย้ำปี 50 เร่งปฏิรูป ศก. -อ้าแขนรับต่างชาติ
“ดร.สุเมธ” แนะยึดทางสายกลางรับการเปลี่ยนแปลงของโลก
องคมนตรีแนะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางสร้างชีวิตมีสุข
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
สภาพัฒน์จัดเวทีระดับชาติสร้างความเข้าใจแนวทางการพัฒนาประเทศตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
วิชา สพ.700 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนา
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ปลุกมหาลัย "ไทยวิจัยเศรษฐกิจพอเพียง"
ตามรอยพระยุคลบาท ด้วย “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
ยูเอ็น ทูลเกล้าฯถวาย รางวัลสุดยอดแห่งการพัฒนามนุษย์(HIGH-LEVEL PANEL ON HIS MAJESTY THE KING AND HUMAN DEVELOPMENT)
ต่อต้าน Fast Food ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง
บทความพิเศษในมติชนสุดสัปดาห์ โดย ประสาร มฤคพิทักษ์
เหะหะพาที (เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง) โดย คุณซูม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ