Tuesday, 27 November 2007

บันทึกนาทีหนีตาย บันทึกนาทีหนีตาย

บันทึกนาทีหนีตาย
ตึกเวิรลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่ม


ค่ำวันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2544 เรือเช่าเหมาลำขนาดสองชั้นที่หน่วยงานของฮ่องกงกำลังจัดเลี้ยงค็อกเทลเพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศของตน เคลื่อนตัวช้าๆออกจากท่า South Street Seaport ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก มุ่งหน้าไปวนในอ่าวฮัดสัน ท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากเป็นจังหวะที่มีพายุฝนพัดผ่านมาพอดี

บนเรือลำนั้น แขกรับเชิญทุกคนต้องพยามยามเบียดตัวหลบฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเข้ามาอยู่ในส่วนที่มีหลังคากั้น โดยมีบริกรเดินเบียดเสียดไปมาคอยประคองถาดเสริฟอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิด

หลังจากที่ตะเบ็งเสียงสนทนาสลับกับการเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจกับนักธุรกิจชาวฮ่องกงท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้อื่นผนวกกับเสียงฝนเม็ดใหญ่ที่สาดใส่ลงบนหลังคาในสภาพที่โคลงเคลงไปมาของเรือได้สักพัก ก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท่ามกลางความแออัดและอาการโคลงเคลงไปมาของเรือ จึงพยายามแทรกผู้คนออกไปหาที่ว่างด้านข้างเรือเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ เมื่อฝนเริ่มซาและหาที่เหมาะๆได้แล้วก็พยายามสูดหายใจลึกๆพร้อมกับทอดสายตามองออกไปไกลๆ

ในบรรยากาศยามพลบค่ำ มองเห็นรูปปั้นเทพีตัวสีเขียวถือคบเพลิงแสงเจิดจ้ายืนตระหง่านประกาศศักดาแห่งเสรีภาพ เมื่อเหลียวมองกลับเข้ามายังเกาะแมนฮัตตัน ก็ได้เห็นความสวยงามของทัศนียภาพอาคารสูงต่ำเรียงรายเบียดบังกันอย่างมีศิลปะ ล้อมรอบอาคารแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์สองแท่งสูงเสียดฟ้าที่ปักอยู่ตรงกลางดูงามสง่าและอลังการณ์ จนอดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้ที่มีโอกาสได้ทำงานอยู่ในอาคารอันทันสมัยแห่งนั้นของมหานครนิวยอร์กที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองหลวงของโลก" โดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาจะต้องตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอดจากอาคารหลังนั้นแทบไม่ทัน จากผลงานการก่อวินาศกรรมช็อคโลกของบุรุษที่อาศัยอยู่ในถ้ำของอีกซีกโลกหนึ่ง



11 กันยายน 2544 วันมหาวิปโยคของมหานครนิวยอร์ก

6.30 นาฬิกา
วันนี้ตื่นนอนตามเวลาปกติเพื่ออาบน้ำและแต่งตัว ก่อนจะปลุกให้บุตรชายคนโตและคนเล็กให้ตื่นเตรียมตัวไปโรงเรียนตามลำดับ เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาอีกประมาณ 20-30 นาทีตรวจหัวข้อข่าวเศรษฐกิจของประเทศไทยทางอินเตอร์เน็ท แล้วถึงจะไปจัดกระเป๋าก่อนออกเดินทางไปที่ทำงาน






7.58 นาฬิกา
ณ สนามบินเมืองบอสตัน ในมลรัฐแมสซาชูเซ็ทส์ เครื่องบินแบบโบอิ้ง 767-200 เที่ยวบินที่ 175 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ที่บรรทุกผู้โดยสาร 56 คนรวมกับลูกเรืออีก 9 คน กำลังเหินทะยานจากรันเวย์มุ่งหน้าสู่นครลอสแอนเจลีส ที่ตั้งอยู่อีกฟากฟ้าหนึ่งของประเทศทางทิศตะวันตก

...อีกหนึ่งนาทีถัดมา ณ สนามบินเดียวกันนี้ เครื่องบินแบบโบอิ้ง 767-200 เที่ยวบินที่ 11 ของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ บรรทุกผู้โดยสาร 81 คน พร้อมด้วยลูกเรือ 11 คน บินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปยังจุดหมายเดียวกัน...นครลอสแอนเจลีส


8.00 นาฬิกา
เมื่อตรวจดูความเรียบร้อยของบุตรทั้งสองก่อนไปโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งลงมองบุตรสักพัก พลันมีความรู้สึกประหลาดขึ้นมาว่าวันนี้อยากออกเดินทางไปทำงานเร็วกว่าปกติสัก 10 นาที จึงฉวยกระเป๋าทำงานออกจากบ้านไป

จากบ้านพักในเมืองเจอร์ซีซิตี้ที่อยู่ทางตะวันตกของเกาะแมนฮัตตันที่ห่างกันเพียงแม่น้ำฮัดสันกั้นกลาง ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาทีจะไปถึงที่ทำงานในตึกเวิรลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นได้จากระเบียงบ้าน โดยการเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน PATH (Port Authority of Trans Hudson) ที่บริการรับส่งผู้โดยสารระหว่างนิวเจอร์ซีและนิวยอร์ก ที่สถานี Exchange Place ซึ่งเป็นสถานทีสุดท้ายของฝั่งนิวเจอร์ซีก่อนจะลอดใต้แม่น้ำฮัดสันไปอีกเพียงป้ายเดียวก็จะไปสิ้นสุดที่ชุมทางใหญ่ใต้ถุนของตึกเวิลด์เทรด แล้วเดินผ่านร้านค้าต่างๆไปที่โถงชั้นล่างของอาคารเวิรลด์เทรดด้านเหนือ (North Tower) ขึ้นลิฟต์ต่อจนถึงสำนักงานบนชั้น 37

08.25 นาฬิกา
แวะเก็บหนังสือพิมพ์ที่มาส่งบริเวณหน้าลิฟท์ ก่อนไขกุญแจเข้าห้องสำนักงานเลขที่ 3729 ตรวจดูเอกสารที่ส่งเข้ามาทางเครื่องโทรสารว่ามีราชการด่วนประจำวันเข้ามาหรือไม่ ก่อนจะวางกลับไว้ให้เจ้าหน้าที่มาทำการลงรับต่อไป

...เดินไปวางกระเป๋าเอกสารที่โต๊ะทำงาน พร้อมกับเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเวลาผ่านไปสัก 15 นาที รู้สึกกระหายน้ำมากขึ้นเรื่อยๆจนทนไม่ไหว จึงเดินไปชงกาแฟที่ห้อง pantry แต่วันนี้นึกอย่างไรไม่ทราบ เปลี่ยนจากกาแฟที่เคยดื่มทุกวันมาเป็นชงชาดื่มแทน เสร็จแล้วก็ถือกลับมาที่โต๊ะทำงาน…

…นับจากวินาทีนั้น คือจุดเริ่มต้นของกาลอวสานอาคารเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์

8.46 นาฬิกา
เที่ยวบินที่ 11 ของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ ที่บินออกนอกเส้นทางหักหัวลงด้านทิศใต้สู่มลรัฐนิวยอร์กโดยมีเกาะแมนฮัตตันเป็นเป้าหมาย เริ่มลดระดับเพดานบินต่ำลงขณะที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วเกือบ 500 ไมล์ต่อชั่วโมง..พุ่งเข้าชนอาคารแฝดเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศเหนือขนาด 110 ชั้น เครื่องบินทั้งลำซึมหายเข้าไปในตัวตึกในระดับชั้นที่ 94-99 เสียงดังกัมปนาทกึกก้องไปไกลราวกับฟ้าผ่า

ความแรงจากการถูกเครื่องบินชนดันเอาเปลวเพลิงและควันไฟจากการระเบิดพวยพุ่งออกรอบทิศทาง พนักงานหลายร้อยชีวิตในชั้นที่ถูกชนตายทันทีไปพร้อมกับทุกชีวิตบนเครื่องบินโดยไม่มีโอกาสแม้แต่สงสัยว่าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติอะไรขึ้น วัตถุสิ่งของภายในอาคารไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นน้อยปะปนกับชิ้นส่วนเครื่องบินถูกกวาดออกไปในทิศตรงข้ามของตัวตึกจากฝั่งที่เข้าชนลงมาทับผู้คนบริสุทธิ์ด้านล่าง เศษกระจกปลิวกระจายลงมาตัดร่างกายของผู้เคราะห์ร้าย เศษอวัยวะกระจายเกลื่อนพื้นถนน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยกระดาษเอกสารของสำนักงานต่างๆปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ


…ภายในสำนักงานบนชั้นที่ 37 มีแต่เพียงเสียงร้าวดังแอ๊ดดดด… ผู้เขียนรู้สึกว่าอาคารทั้งหลังมันโยกอย่างแรงจนตัวเซอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความกลัวตายวาบสู่จุดสูงสุดของสมองสวนทางกับจิตใจที่ลงไปกองที่เบื้องล่าง ในบรรยากาศที่วังเวงอย่างยิ่ง แต่โชคยังดีที่แสงสว่างภายในอาคารยังทำงานเป็นปกติ ไม่มีเสียงไซเรนหรือการประกาศเตือนภัย เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใครอื่นใดอยู่ในสำนักงานฯด้วยเลย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือปลอบใจตัวเองว่ามันน่าจะเป็นเพราะแรงพายพัดุมาแน่ เพราะปกติเวลามีลมพายุพัดมาแรงๆ อาคารก็มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆบ้างเป็นประจำอยู่แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งภายในใจที่รู้สึกว่าตึกมันเคลื่อนไหวแรงกว่าปกติเริ่มมีน้ำหนักเหนือกว่าความคิดในแง่ดี พาลคิดไปว่าด้วยความแรงขนาดนี้มันน่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวเสียมากกว่ากระมัง เพราะไม่ได้ยินเสียงระเบิดหรือเสียงผิดปกติใดใดทั้งสิ้น ขณะเดียวกันขาก็เริ่มเดินวนไปวนมาโดยไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ พร้อมกับความกระวนกระวายว่าจะมีโอกาสลงไปสัมผัสพื้นดินอีกหรือไม่ อึดใจนั้น สายตามองออกไปด้านนอกเห็นเศษวัสดุและซากปรักหักพังร่วงครืนใหญ่ลงมาจากด้านบน พร้อมกับเสียงเศษกรวดทรายร่วงกรูอยู่บนเพดานของสำนักงานฯ ทำให้หัวใจเริ่มเต้นแรงและหวาดกลัวยิ่งขึ้น อีกเสี้ยววินาทีถัดมา เห็นเศษวัตถุชิ้นน้อยใหญ่ร่วงกระจายลงมาเป็นวงกว้างยิ่งขึ้นอีกระลอกแล้วระรอกเล่า กระดาษเอกสารสีขาวปลิวกระจายคลุมท้องฟ้าทั่วทั้งบริเวณ ณ วินาทีนั้นรู้แล้วว่าตัวอาคารได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากเหตุร้ายอะไรสักอย่าง กลัวว่าอาคารกำลังจะพังลงมาทั้งหลัง..


…ลวดสลิงที่ใช้ชักรอกลิฟต์ขึ้นลงภายในอาคารจำนวนหลายสิบตัวถูกลำตัวเครื่องบินตัดขาดสะบั้น ปล่อยให้ตู้ลิฟต์เหล่านั้นเป็นอิสระจากสายยึดโยงและถูกกระชากลงด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกพร้อมทั้งอุ้มเอาน้ำมันเชื้อเพลิงจากเครื่องบินที่เติมมาจนเต็มลำ เนื่องจากเพิ่งออกเดินทางจากต้นทางได้ไม่นาน เชื้อเพลิงชั้นดีไหลพรวดลงตามช่องลิฟต์พร้อมเปลวเพลิงและประกายไฟ ผู้คนที่กำลังอยู่ในลิฟท์เสียชีวิตในทันทีเป็นส่วนมาก เมื่อตู้ลิฟท์แต่ละตัวกระแทกลงสู่เบื้องล่างก็คือระเบิดเพลิงมหาประลัยที่เผาผลาญทำลายชีวิตและสิ่งของทุกอย่างชั้นล่างในพริบตา แรงระเบิดและเปลวเพลิงด้วยระดับความร้อนกว่า 1,000 องศาฟาเรนไฮท์จากแรงอัดดันล้นทะลักกระแทกเอากระจกบานใหญ่รอบด้านแตกกระจาย มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากไฟไหม้เกลื่อนกลาดรอบอาคาร บางคนมีเปลวไฟลุกติดบนร่างกายดิ้นทุรนทุรายด้วยความทุกข์ทรมาน

พนักงานที่ยังมีชีวิตอยู่บนชั้นเหนือขึ้นไปพยายามหนีความร้อนจากไฟที่กำลังโหมกระพือขึ้นสู่ชั้นสูงขึ้น หลายคนถอดเสื้อยื่นหน้าออกมาพร้อมโบกสะบัดผ้าขอความช่วยเหลือ แต่ในที่สุดก็ทนสภาพความร้อนไม่ไหว ต้องกระโดดลงสู่เบื้องล่างเสมือนถูกผลักลอยละลิ่วลงมาชีวิตแล้วชีวิตเล่าอย่างไม่มีทางเลือก ร่างกายกระแทกพื้นแหลกเหลวเสมือนแตงโมแตกกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณ บางรายลงมาทับผู้คนด้านล่างเสียชีวิตตามไปด้วยก็มี เป็นที่น่าสมเพชเวทนาและน่าสะอิดสะเอียนแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก



ความรู้สึกสับสนระคนกับความกลัวความกระจายไปทั่วสรรพางค์จนเย็นเยียบไปทั่วทุกขุมขน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดให้หวลนึกไปถึงคำแนะนำที่เคยได้ยินว่าหากเกิดแผ่นดินไหวให้หาที่หลบภัยจากการที่เพดานหรือวัสดุก่อสร้างจากด้านบนจะถล่มลงมาทับ สายตาสอดส่ายหาที่ปลอดภัยบริเวณเสาอาคารใหญ่ๆ จิตใจเริ่มสับสนยิ่งขึ้นขณะที่ขาก็พล่านวิ่งไปวนมาหลายรอบตัดสินใจไม่ได้ว่าจะหลบตรงไหนดี มองไปมองมาก็หาเสาใหญ่ไม่เจอเลยสักต้น จึงย่อตัวลงหลบอยู่ใต้วงกบประตูทางเข้าห้องประชุม สมองตื้อสับสนคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว พุ่งตัว ลุกวิ่งไปเปิดประตูทางเข้าสำนักงานฯมองปราดไปเห็นพนักงานของสำนักงานอื่นที่อยู่บนชั้นเดียวกันวิ่งกรูไปที่ประตูบันไดหนีไฟ ซึ่งอยู่เป็นทางตรงกับทางเดินเข้าสำนักงานฯ ซึ่งไม่เคยทราบและให้ความสนใจมาก่อนเลยว่าบันไดหนีไฟของอาคารอยู่ที่ไหน ทั้งๆที่ร่วมฝึกซ้อมกรณีฉุกเฉินหากเกิดเพลิงไหม้หลายต่อหลายครั้ง จึงตัดสินใจวิ่งตามคนอื่นๆเข้าไปในช่องบันไดหนีไฟ ภายในใจก็คิดว่าหากเหตุการณ์สงบแล้วจะมาเก็บทรัพย์สินส่วนตัวในภายหลังก็แล้วกัน

เห็นคนยืนออกันอยู่ข้างในจำนวนมากเนื่องจากผู้คนจากทุกๆชั้นก็วิ่งมาที่ทางหนีไฟพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ทำให้การเคลื่อนตัวติดขัดทันที บรรยากาศในนั้นเต็มไปด้วยละอองฝุ่นบางๆและฉุนกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงจนแสบจมูกและคอ ท่ามกลางความคิดที่สับสนของผู้คนว่ามันเกิดเหตุการณ์ผิดปกติอะไรขึ้น ไม่มีการแก่งแย่งกันลง เมื่อการจราจรติดขัดทุกคนก็ยืนนิ่งรอการขยับตัวของคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความอดทนอย่างเป็นระเบียบ

หลายๆคนพลางคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพยายามติดต่อกับภายนอก ปรากฎว่าสัญญาณโทรศัพท์บอดสนิท!!! แต่ก็ยังพยายามโทรกันไปเรื่อยๆ บางคนเริ่มควักผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูขึ้นมาปิดจมูกกันสำลักจากกลิ่นน้ำมัน ผู้เขียนได้แต่ยกแขนเสื้อขึ้นขึ้นปิดจมูกเป็นระยะๆ พร้อมทั้งภาวนาขอให้อย่ามีผู้ใดเครียดจัดจนควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบก็แล้วกัน


9.02 นาฬิกา
เที่ยวบินที่ 175 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ที่บินย้อนกลับมาทางทิศตะวันออกแทนที่จะบินไปสู่จุดมุ่งหมายยังนครลอสแอนเจลีส หันหัวสู่มลรัฐนิวยอร์กอ้อมไปตั้งหลักจากทางด้านทิศใต้ก่อนจะตั้งลำบินขึ้นทิศเหนืออย่างเต็มเหนี่ยวด้วยความเร็วเกือบ 600 ไมล์ต่อชั่วโมง พุ่งเข้าชนอาคารแฝดเวิร์ลดเทรดด้านทิศใต้ได้อย่างเหมาะเหม็งในระดับชั้นที่ 78-84 ซ้ำซ้อนกับเหตุการณ์ทีเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่านาทีที่ผ่านมา ต่อหน้าต่อหน้าของผู้คนและกล้องโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดสดเหตุการณ์เพลิงไหม้ของอาคารหลังแรกไปทั่วโลก การชนครั้งนี้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงกว่าครั้งแรก ด้วยเพดานบินที่ต่ำกว่าแต่มาด้วยความเร็วสูงกว่า เศษวัสดุจากความเสียหายกระจายไปในรัศมีไกลกว่าเดิม หล่นใส่ผู้คนที่กำลังมุงดูเหตุการณ์และผุ้ที่กำลังลี้ภัยออกจากอาคารแรก..


ภายในช่องบันไดหนีไฟยังคงไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นภายนอก…
เมื่อลงมาถึงประมาณชั้นที่ 27 เริ่มเห็นมีพนักงานดับเพลิงชุดแรกเดินสวนบันไดหนีไฟขึ้นมา พนักงานดับเพลิงทุกคนมีใบหน้าสีแดงก่ำ เนื่องจากสัมภาระหนักๆที่แบกมา ประกอบด้วยถังอ็อกซิเจนช่วยหายใจ ขวาน เหล็กแหลมและก้อนเหล็กหนักๆสำหรับใช้ทำลายประตูหรือสิ่งกีดขวางเพื่อเข้าไปดับเพลิงหรือช่วยชีวิตคน พนักงานบางคนก็แบกสายต่อสำหรับฉีดน้ำที่พับอย่างเป็นระเบียบนบ่า จากการสังเกตลำพังแต่ชุดปฏิบัติการที่เขาสวมใส่แล้วก็รู้สึกว่ามันหนาและหนักสาหัสพอดูอยู่แล้ว ไหนจะต้องสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกด้วยการไต่บันไดขึ้นมาทีละขั้นทีละขั้นกว่าจะมาถึงชั้นนี้

มีเจ้าหน้าที่หลายคนต้องยืนหยุดพักเป็นระยะๆพร้อมกับสูดหายใจยาวๆก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดต่อไปอย่างช้าๆ บางคนเดินต่อขึ้นไปได้อีกสองสามขั้นก็ต้องหยุดพักหายใจอีกแล้ว ทำให้ทราบได้ว่าเขามีอาการเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัสเพียงใด มีพนักงานคนหนึ่งตะโกนแจ้งให้คนด้านล่างช่วยบอกกับหัวหน้าทีมด้วยว่าเขาแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกและต้องการความช่วยเหลือ

ระหว่างนั้นได้ยินเสียงติดต่อกันของเจ้าหน้าที่ว่าจะต้องรีบรุดไปที่ชั้น 78 เนื่องจากมีเพลิงไหม้และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่บนนั้น พวกเราบางคนก็พยายามพูดจาให้กำลังใจแก่พวกเขา บางคนก็อำนวยความสะดวกโดยการช่วยตะโกนบอกให้คนที่อยู่ด้านบนพยายามเบียดหลบออกด้านขวาเพื่อเปิดทางให้ความสะดวกแก่พนักงานดับเพลิงที่กำลังเดินขึ้นมา สลับกับการส่งเสียงขอทางจากคนที่อยู่ด้านบนที่ขอให้คนได้รับบาดเจ็บผ่านไปก่อน สังเกตเห็นผู้หญิงบางคนเริ่มร้องไห้และแสดงอาการสั่นด้วยความหวาดกลัวจนก้าวขาเดินไม่ได้ บางคนก็ดูเหมือนหายใจไม่ค่อยออกมีอาการเหมือนคนเป็นหืดหอบ

มีคนหนึ่งพยายามแหวกฝูงชนลงมาพร้อมตะโกนขอทางให้ผู้ได้รับบาดเจ็บลงมาก่อน หันหลังไปมองพบคนๆหนึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผู้หญิงถูกไฟคลอกมาทั้งตัวจนผมหงิกงอติดหนังศรีษะ ผิวหนังไหม้เกรียมดำจนร่อนออกเป็นแผ่นๆทั่วทั้งตัว น่าสงสารเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องวิ่งลงบันไดมาเองด้วยอาการช็อคโดยที่ไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าตนเองมีสภาพหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรและไหนจะต้องคอยเดินสวนกับพนักงานดับเพลิงที่มีขนาดตัวใหญ่พร้อมอุปกรณ์พะรุงพะรังอีกต่างหาก จะไปหวังให้ผู้อื่นอุ้มลงมาก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากบันไดแคบและมีคนยืนรอแน่นไปหมด

ความสับสนในจิตใจของผู้คนเริ่มทวีคูณขึ้นเป็นลำดับ แต่ก็คงไม่มีผู้ใดคิดว่าอาคารทั้งหลังจะพังทลายลงมา เนื่องจากผู้คนยังคงอยู่ในระเบียบเป็นอย่างดีไม่แสดงการตระหนกตกใจหรือแตกตื่นจนเกินเหตุให้เห็น แต่มีบางคนดูลักษณะเป็นชาวอินเดียพยายามฉวยโอกาสวิ่งตามผู้บาดเจ็บผสมโรงลงไปด้วย เมื่อมองช่องว่างของบันไดขึ้นไปก็พบว่ามีคนยืนเข้าคิวอยู่ด้านบนเต็มทุกชั้นสุดลูกหูลูกตา หากมองลงมาก็พบแต่ผู้คนยืนรออยู่เต็มบันไดเช่นกัน

...ผ่านมาอีกสักพัก มีผู้ร่วมชะตากรรมที่ยืนอยู่ไม่ไกลสามารถรับข้อความจากเครื่องรับข้อความได้ พูดขึ้นว่า เครื่องบินบินชนตึก ความคิดแว่บขึ้นมาทันทีว่าสงสัยต้องเป็นนักบินสมัครเล่นระดับกระจอกที่ใช้เครื่องขนาดเล็กบินพลาดมาชนตึกเป็นแน่ แต่พอได้ยินว่ามีสองลำที่ชนตึก ก็ยิ่งทำให้คิดเตลิดปนตลกไปอีกว่าสงสัยจะขับเครื่องบินสมัครเล่นซิ่งแข่งกันมาเป็นแน่ จนป่านนี้ก็ยังไม่เคยมีความคิดในสมองเลยว่าจะเป็นการก่อวินาศกรรมใดใดทั้งสิ้น จึงอดใจรอกับการขยับไปข้างหน้าอย่างช้าช้าด้วยความอดทนต่อไป

เมื่อลงมาถึงชั้นที่ 14 หลายคนที่อึดอัดกับการยืนรอเริ่มทะยอยเดินสวนประตูทางออกของบันไดหนีไฟกลับเข้าไปในบริเวณอาคาร จึงตัดสินใจเดินตามออกไปบ้าง เพราะคิดว่าคงมีบันไดหนีไฟอยู่อีกทางเป็นแน่ เมื่อเดินตามไปก็เห็นพนักงานดับเพลิงเดินอยู่ประปราย แต่ไม่เห็นมีใครแนะนำว่าควรเดินไปทางนั้นหรือไม่ จึงเดินต่อไปเรื่อยๆเห็นคนยืนรอเข้าคิวเรียงหนึ่งอย่างเป็นระเบียบเพื่อจะผ่านประตูอะไรสักบานหนึ่ง จิตใจเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาอีกว่าควรจะตัดสินใจไปทางไหนดี บางคนเดินถอยกลับไปออกบันไดหนีไฟทางเดิม จึงตัดสินใจหันหลังกลับตามไปที่บันไดหนีไฟเดิมอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าทางอื่นจะมีบันไดหนีไฟอื่นอีกจริงหรือไม่ พอกลับมาถึงทางออกบันไดหนีไฟเดิม รู้สึกการจราจรไม่เคลื่อนตัวเลย และรู้สึกเสียดายที่เดินย้อนออกไปทางอื่น มิเช่นนั้นคงขยับตัวลงไปได้อีกสักชั้นหรือสองชั้นก็ยังดี จึงพยายามแทรกตัวกลับเข้าไปในกระแสจราจรตามเดิมในบันไดหนีไฟ

...เมื่อลงมาอีกไม่กี่ชั้นรู้สึกว่าการระบายคนเริ่มคล่องตัวขึ้น สามารถลงมาได้ที่ละหลายๆขั้นโดยไม่ติดขัดแล้ว แต่ก็ยังคงมีพนักงานดับเพลิงสวนขึ้นมาเป็นระลอกระลอก แถมยังพูดให้กำลังใจกับผู้หนีลงบันไดว่าให้ใจเย็นๆ พวกคุณกำลังจะถึงระดับพื้นดินและได้รับความปลอดภัยแล้ว ช่วงนี้ เริ่มเห็นพนักงานในชุดสูทดูน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอาคาร และแต่งชุดเหมือนหัวหน้าตำรวจหรือหัวหน้าพนักงานดับเพลิงปะปนเดินสวนขึ้นมาด้วย

ตั้งแต่ประมาณชั้นที่ 9 ลงมา เข้าใจว่าผู้คนที่ทำงานอยู่ชั้นต่ำกว่านั้นคงหนีลงไปได้หมดแล้ว เห็นมีพนักงานดับเพลิงพร้อมด้วยอุปกรณ์บางอย่างยืนโผล่อยู่ตามประตูทางออกหนีไฟของแต่ละชั้น เหมือนกับจะตั้งเป็นศูนย์บัญชาการของแต่ละชั้น

พอลงมาถึงชั้นที่ 4 พบว่ามีน้ำเจิ่งนองพื้นบันไดไหลออกมาจากพื้นอาคารลอดประตูทางออกหนีไฟออกมา ทุกคนจึงต้องลุยย่ำน้ำลงมา พร้อมทั้งพยายามทรงตัวไม่ให้ลื่น ใจก็พยายามลุยน้ำโดยไม่ให้น้ำเข้าไปในรองเท้า เขย่งยักแย่ยักยันไปมา แต่ในที่สุดก็รู้สึกว่าน้ำกระฉอกเข้ามาในรองเท้าจนได้ แต่ก็ไม่สนใจแล้วรีบวิ่งลงให้เร็วที่สุด

ก่อนถึงระดับพื้นดินเล็กน้อย พบพนักงานดับเพลิงสวนขึ้นมาอีกระลอก พร้อมกับพูดให้กำลังใจเราว่าพวกคุณลงมาถึงระดับพื้นดินแล้ว รู้สึกดีใจเป็นที่สุดที่ใกล้จะถึงทางออกแล้ว

ในขณะที่เท้าแตะพื้นชั้นล่าง สมองเริ่มคิดว่าขณะนี้กำลังอยู่ที่ส่วนไหนของอาคาร พร้อมทั้งก้าวเดินตามคนที่อยู่ข้างหน้ามาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณโถงถางเดินก่อนขึ้นลิฟท์ที่เคยใช้เป็นประจำทุกวัน รุ้สึกตกใจกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จำไม่ได้ว่าที่นี่คืนส่วนไหนของอาคาร ห้องโถงลิฟท์ที่เคยปูด้วยหินสีขาวบนพื้นและผนังภายใต้เพดานสูงที่เคยสวยสง่างาม บัดนี้มีสภาพแปรเปลี่ยนไป เหมือนความเสียหายช่วงหลังสงครามสงบลง แต่ก็ไม่มีเวลามองสำรวจมากนัก

เดินมาใกล้ทางออกจากโถงทางเดิน เครื่องฉีดน้ำดับเพลิงอัตโนมัติบนเพดานฉีดน้ำกระเซ็นกระสายลงมาเป็นฝอยจนแว่นตาเปียกไปหมด ขณะนี้รู้สึกมั่นใจแล้วว่ารอดชีวิตแน่ และนึกว่าช่างโชคดีจริงที่ขณะนั้นมีเราเพียงคนเดียวที่มาถึงสำนักงาน ไม่ต้องห่วงว่าจะมีเพื่อนร่วมงานอื่นๆติดอยู่ในอาคารอีก ส่วนขาก็รีบเดินตามไปในทิศทางที่เจ้าหน้าที่คอยต้อนผู้คนออกจากอาคารอยู่ทุกระยะ

มองลงที่พื้นเห็นรอยคราบเลือดแดงสดๆหยดเป็นทาง จนกระทั่งมาโผล่ที่ทางออกของอาคารเลขที่ห้าของเวิร์ลดเทรดเซ็นเตอร์ ที่ติดกับร้านหนังสือ Borders จึงรีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาโทรอีกครั้ง ก็มีเจ้าหน้าที่บอกให้ปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใด คิดว่าคงกลัวว่าจะไปรบกวนสัญญาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็จะเสียเวลาสาละวนอยู่กับการกดปุ่มต่างๆ

ขณะที่เท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆและพยายามหันหลังไปมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพื่อสนองความอยากรู้ที่เก็บอั้นไว้กว่า 40 นาที เห็นมีรถดับเพลิงขนาดใหญ่จอดอยู่เต็มถนน Church ที่อยู่ด้านหน้า ระคนด้วยเสียงไซเรนตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่ก็เตือนว่าอย่ามัวหันกลับไปมองให้รีบก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังมีคนเดินตามหลังออกมา เกรงว่าจะไปทำให้การเคลื่อนย้ายผู้คนล่าช้า

เมื่อออกมาถึงถนน Church ตัดสินใจเลือกเดินไปตามถนน Fulton ข้างสุสานของโบสถ์เซนต์พอล เมื่อเห็นกลุ่มคนเริ่มบางตา ก็หันกลับไปมองอาคาร เห็นอาคารกำลังมีไฟลุกท่วมทั้งสองอาคาร อาคารด้านทิศใต้ ตกอยู่ในสภาพสาหัสกว่าอาคารด้านทิศเหนือ ควันสีดำคลุ้งเต็มท้องฟ้า แต่ก็มั่นใจว่าอีกสักพักคงจะดับไฟได้
...หยุดยืนดูอยู่ได้ไม่นาน มีเจ้าหน้าที่มาคอยเตือนให้เดินขยับออกไปเรื่อยๆ จึงเดินขึ้นไปถึงถนน Broadway แล้วเลี้ยวออกไปทางซ้ายทางทิศเหนือ ข้ามถนนไปยืนบนเกาะกลางถนนระหว่าง Broadway กับ Park Row หันกลับไปมองอาคารอีกครั้ง เห็นเพลิงยังคงลุกโชน เจ้าหน้าที่เริ่มมาเตือนอีกครั้งว่าให้เดินออกไปจากบริเวณแถวนั้น จึงเดินเลียบสวนสาธารณะข้าง City Hall ไปเรื่อยๆ พร้อมหยุดดูเป็นระยะๆ จนพ้นถนนหลัง City Hall เห็นกลุ่มคนยืนหยุดมอง ก็เลยหยุดดูบ้าง

...อีกไม่นาน เริ่มมีเสียงคนตะโกนมาจากระยะไกลว่าอาคารด้านทิศใต้กำลังจะถล่มลงมา รู้สึกไม่เชื่อว่าตึกอาคารสุงตั้ง 100 กว่าชั้นจะถล่มลงมาอย่างง่ายๆ แต่ก็ไม่ทันได้ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ กลุ่มคลื่นมนุษย์บริเวณนั้นนับพันนับหมื่นคนหันหลังกลับวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตโดยมิได้นัดหมาย มีการวิ่งชนและกระแทกกันสับสนอลหม่าน เนื่องจากเกรงว่าอาคารจะล้มฟาดลงมาทางทิศไหนไม่มีใครคาดเดาได้ จึงต้องหันหลังกลับแล้วออกวิ่งบ้าง โดยพยายามรักษาระดับความเร็วให้กลมกลืนกับกระแสผู้คนที่เคลื่อนไป เพราะเกรงว่าหากหกล้มลงแล้วจะโดนเหยียบตาย เมื่อวิ่งขึ้นทางทิศเหนือมาข้ามถนน Chamber มาได้สักพัก รู้สึกว่าคลื่นมหาชนเริ่มเคลื่อนตัวช้าลงแล้ว จึงค่อยๆหันหลังเหลือบไปดู เห็นกลุ่มควันสีขาวกระจายคลุ้งแผ่กระจายออกไปเป็นบริเวณกว้างอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่เดาได้ว่าอาคารแฝดด้านทิศใต้ถล่มลงเรียบร้อยแล้ว รู้สึกช็อคและหดหู่ใจเป็นที่สุด มองดูผู้คนรอบๆตัวยังคงเคลื่อนขึ้นไปทางเหนือ ก็เลยก้าวตามกระแสขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายปลายทางสลับกับการคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขที่บ้าน ซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จในการโทรออกเลยสักครั้ง จนกระทั่งเดินข้ามถนน Houston มา เห็นกลุ่มคนจับกลุ่มกันมองอาคารแฝดด้านทิศเหนือที่ยังเหลืออยู่ผ่านซอกตึกบริเวณนั้น เห็นเปลวเพลิงและควันไฟไหม้อยู่บนยอดตึก ในใจก็คิดว่าอีกสักพักไฟคงมอดดับลงได้ ไม่น่าจะเสียหายมากนัก ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็ลุกโหมกระพือสีแดงฉานโชติช่วงขึ้นมาพร้อมทั้งควันไฟสีดำหนาตัวขึ้น ไหนไหนก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้วในช่วงนี้จึงยืนดูไปเรื่อยๆ หากอาคารแฝดด้านทิศเหนือ จะพังทลายลงจริงๆก็ขอให้ได้เห็นกับตาตัวเองเถิด

...อีกไม่นานนัก ตอนบนสุดของอาคารทรุดตัวลงอย่างช้าช้า รูดถล่มชั้นล่างลงมาเรื่อยๆต่อหน้าต่อตา สิ้นสุดตำนานอาคารแฝดที่สวยงามและทันสมัยที่สุดของโลก พลันน้ำตาเอ่อร่วมไปกับผู้คนรอบข้างที่ยกมือปิดหน้าร้องไห้กันระงม ในใจได้แต่นึกถึงหน้าพนักงานดับเพลิงระลอกแล้วระลอกเล่าที่เดินผ่านหน้าไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ...จะมีสักกี่คนที่รอดชีวิตออกมาจากอาคารถล่ม?

อาคารแฝดทีมีชื่อเสียงที่สุดของโลก เสมือนพี่น้องฝาแฝดที่คลานตามกันมาด้วยความผูกพันตั้งแต่เกิดภายใต้ดวงชะตาเดียวกัน ต้องมาจบชีวิตไปพร้อมๆกัน โดยไม่สามารถทอดทิ้งให้คนใดคนหนึ่งต้องอยู่แต่เพียงเดียวดาย

เหตุการณ์ที่ผ่านมามันเหมือนภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นเรื่องจริง ทุกๆคนพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันขณะชมข่าวทางโทรทัศน์ขณะเห็นภาพเครื่องบินพุ่งเข้าชนอาคารเวิร์ลดเทรดเซ็นเตอร์รอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ

บัดนี้ ดินแดนแห่งเสรีภาพที่ปรนเปรอให้ประชาชนของตนมีความเป็นอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เหนือชาติใดใดในโลกได้สูญเสียพรหมจรรย์แล้ว ด้วยไม่เคยใช้เป็นสนามรบหรือต้องมีมลทินแปดเปื้อนรอยเลือดบนผืนแผ่นดินตนเองด้วยฝีมือคนต่างชาติมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา และฤาจะต้องดำรงชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความหวาดกลัวตามคำสาปแช่งของกลุ่มชนที่มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นในอีกซีกโลกหนึ่งก็เป็นได้


ผู้เขียน: กิตตินันท์ ยิ่งเจริญ พ.ศ. 2544