Monday, 5 November 2007
พระเนตรขวาของในหลวง เรื่องที่่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้
พระเนตรขวาของ ในหลวง ;... เรื่องที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้
>
>
>
> พระองค์ทรงประสบอุบัติเหตุทาง รถยนต์
>
>
> ขณะทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่ง
>
>
> ไปชนกับรถ บรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้า
>
>
> พระเนตรข้างขวา พระอาการ สาหัส เมื่อตอนที่พระชนมายุ
>
>
> ครบ 20 พรรษา
>
>
>
>
> " ข่าวพาดหัวหนังสือ พิมพ์ใหญ่ๆ ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายใน
>
>
> กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ มีเนื้อข่าว
>
>
> ด่วนจากวิทยุ B.B.C. เมื่อ เวลา ๑๓.๐๐ น. แจ้งว่า
>
>
>
> " สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบ อุบัติ
>
>
> เหตุด้วยรถยนต์ ณ ที่แห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองโลซานน์ เมื่อ
>
>
> ค่ำวัน ที่ ๓ เดือนนี้ พระอาการค่อนข้างสาหัส "
>
>
>
> และหลังจากนั้นเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม มีรายงานข่าวจากการ
>
>
> ออกประกาศล่า ที่สุดของสถานีวิทยุบี.บี.ซี. เวลา ๑๔.๔๗ น.
>
>
> แจ้งว่า
>
>
>
> " พระอาการสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ้นอันตรายแล้ว
>
>
> อย่างไรก็ดีราชเลขานุการแถลงว่าพระเนตรข้าง
>
>
> ขวาถูกเศษกระจกเข้าและยังไม่ทราบ ว่าอีกหลายวันสมเด็จ
>
>
> พระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงใช้พระเนตรข้างขวาได้หรือ ไม่ "
>
>
>
>
> หนังสือพิมพ์สยามนิกรฉบับวัน ที่ ๘ ตุลาคม ๒๔๙๑
>
>
> ลงพาดข่าวขนาดใหญ่ว่า
>
>
>
> " อาจ เสียพระนตร ใกล้พระเนตรขวาสาหัสที่สุด "
>
>
>
> หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรง มีพระอาการแทรกซ้อนเรื่อง
>
>
> พระเนตรขวา ซึ่งแพทย์ถวายการรักษาอีกหลายครั้งก็ ไม่
>
>
> ดีขึ้น จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตร
>
>
> ปลอมในที่ สุด
>
>
>
> "... อาจจะเป็นเพราะว่าพระองค์ไม่อยากให้คนไทยเป็น
>
>
> ห่วงและวิตกใน พระองค์มากและบ้านเมืองขณะนั้นก็ไม่สู้
>
>
> จะเรียบร้อยนักทั้งปัญหาการเมืองใน ประเทศเองก็มาก
>
>
> เหมือนกัน ทรงเก็บความทุกข์ส่วนพระองค์ไว้ จากนั้นก็
>
>
> ทรง ใช้พระเนตรเพียงข้างเดียว ทรงศึกษาค้นคว้า อ่าน
>
>
> หนังสือต่างๆมากมาย เพื่อทรง งานของบ้านเมือง บำบัด
>
>
> ทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์มาตลอดระยะ เวลา
>
>
> 60 ปี "
>
>
>
>
> จากหนังสือ " บันทึกของพ่อ "
>
>
>
> ลองใช้มือข้าง หนึ่งยกขึ้นปิดตา แล้วจะรู้ว่ายากเพียงใดที่
>
>
> จะทำงาน
>
>
>
> นั่นคือความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของในหลวง
>
>
> เพื่อราษฎรที่ รักยิ่งของพระองค์
>
>
>
> ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืน นาน
>
>
>
> เมื่อทุกท่านได้อ่านแล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
>
> ท่านลองหลับตาข้างขวา แล้วทำ งานดู
>
> จะรู้ ว่ามันยากลำบากสักเพียงไหน
>
>
> ไม่ใช่อะไร .... ที่ส่งบทความนี้มา
>
> เพียงเพื่ออยากเตือนสติ ทุก ๆ คนว่า
>
> ที่เราพูดกันปาว ปาว ว่ารักในหลวงนั้น
>
> เรารู้สึกกันจากใจ หรือไม่
>
> ที่เราใส่เสื้อเหลืองกันนั้น
>
> เพื่ออยากถวายความจงรักภักดี ต่อในหลวง
>
> จริง หรือไม่
>
>
> ตอนนี้ใน สังคม มีคนหลายกลุ่ม
>
> ต่างก็อ้างสิทธิ์อันชอบธรรม
>
> แก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น
>
> รบรา ฆ่าฟัน
>
>
> ลองถามใจตัวเองดู
>
> ว่าสิ่งนั้น คุณทำเพื่อชาติ หรือเพื่อตัวเอง กันแน่...
>
>
> พอเถอะนะ... มองขึ้นไปยังเบื้องสูงบ้าง
>
> ว่า ณ เวลานี้
>
> พ่อหลวงของเรา จะรู้สึกอย่างไร
>
> ที่เห็นลูก ๆ ของท่าน รบราฆ่าฟันกันเอง เยี่ยงนี้
>
>
> หรือถ้าหากคุณคิดไม่ได้ จริง ๆ
>
> ก่อน กระทำการใด ๆ
>
> กรุณาถอดเสื้อเหลือง ออกซะก่อน เถิด นะ
>
> คิดซะว่า ประเทศชาติและคนหมู่มาก ที่ รักพ่อหลวง ขอร้อง
>
>
>
> พระองค์ทรงประสบอุบัติเหตุทาง รถยนต์
>
>
> ขณะทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่ง
>
>
> ไปชนกับรถ บรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้า
>
>
> พระเนตรข้างขวา พระอาการ สาหัส เมื่อตอนที่พระชนมายุ
>
>
> ครบ 20 พรรษา
>
>
>
>
> " ข่าวพาดหัวหนังสือ พิมพ์ใหญ่ๆ ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายใน
>
>
> กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ มีเนื้อข่าว
>
>
> ด่วนจากวิทยุ B.B.C. เมื่อ เวลา ๑๓.๐๐ น. แจ้งว่า
>
>
>
> " สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบ อุบัติ
>
>
> เหตุด้วยรถยนต์ ณ ที่แห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองโลซานน์ เมื่อ
>
>
> ค่ำวัน ที่ ๓ เดือนนี้ พระอาการค่อนข้างสาหัส "
>
>
>
> และหลังจากนั้นเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม มีรายงานข่าวจากการ
>
>
> ออกประกาศล่า ที่สุดของสถานีวิทยุบี.บี.ซี. เวลา ๑๔.๔๗ น.
>
>
> แจ้งว่า
>
>
>
> " พระอาการสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ้นอันตรายแล้ว
>
>
> อย่างไรก็ดีราชเลขานุการแถลงว่าพระเนตรข้าง
>
>
> ขวาถูกเศษกระจกเข้าและยังไม่ทราบ ว่าอีกหลายวันสมเด็จ
>
>
> พระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงใช้พระเนตรข้างขวาได้หรือ ไม่ "
>
>
>
>
> หนังสือพิมพ์สยามนิกรฉบับวัน ที่ ๘ ตุลาคม ๒๔๙๑
>
>
> ลงพาดข่าวขนาดใหญ่ว่า
>
>
>
> " อาจ เสียพระนตร ใกล้พระเนตรขวาสาหัสที่สุด "
>
>
>
> หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรง มีพระอาการแทรกซ้อนเรื่อง
>
>
> พระเนตรขวา ซึ่งแพทย์ถวายการรักษาอีกหลายครั้งก็ ไม่
>
>
> ดีขึ้น จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตร
>
>
> ปลอมในที่ สุด
>
>
>
> "... อาจจะเป็นเพราะว่าพระองค์ไม่อยากให้คนไทยเป็น
>
>
> ห่วงและวิตกใน พระองค์มากและบ้านเมืองขณะนั้นก็ไม่สู้
>
>
> จะเรียบร้อยนักทั้งปัญหาการเมืองใน ประเทศเองก็มาก
>
>
> เหมือนกัน ทรงเก็บความทุกข์ส่วนพระองค์ไว้ จากนั้นก็
>
>
> ทรง ใช้พระเนตรเพียงข้างเดียว ทรงศึกษาค้นคว้า อ่าน
>
>
> หนังสือต่างๆมากมาย เพื่อทรง งานของบ้านเมือง บำบัด
>
>
> ทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรของพระองค์มาตลอดระยะ เวลา
>
>
> 60 ปี "
>
>
>
>
> จากหนังสือ " บันทึกของพ่อ "
>
>
>
> ลองใช้มือข้าง หนึ่งยกขึ้นปิดตา แล้วจะรู้ว่ายากเพียงใดที่
>
>
> จะทำงาน
>
>
>
> นั่นคือความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของในหลวง
>
>
> เพื่อราษฎรที่ รักยิ่งของพระองค์
>
>
>
> ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืน นาน
>
>
>
> เมื่อทุกท่านได้อ่านแล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
>
> ท่านลองหลับตาข้างขวา แล้วทำ งานดู
>
> จะรู้ ว่ามันยากลำบากสักเพียงไหน
>
>
> ไม่ใช่อะไร .... ที่ส่งบทความนี้มา
>
> เพียงเพื่ออยากเตือนสติ ทุก ๆ คนว่า
>
> ที่เราพูดกันปาว ปาว ว่ารักในหลวงนั้น
>
> เรารู้สึกกันจากใจ หรือไม่
>
> ที่เราใส่เสื้อเหลืองกันนั้น
>
> เพื่ออยากถวายความจงรักภักดี ต่อในหลวง
>
> จริง หรือไม่
>
>
> ตอนนี้ใน สังคม มีคนหลายกลุ่ม
>
> ต่างก็อ้างสิทธิ์อันชอบธรรม
>
> แก่งแย่ง ชิงดี ชิงเด่น
>
> รบรา ฆ่าฟัน
>
>
> ลองถามใจตัวเองดู
>
> ว่าสิ่งนั้น คุณทำเพื่อชาติ หรือเพื่อตัวเอง กันแน่...
>
>
> พอเถอะนะ... มองขึ้นไปยังเบื้องสูงบ้าง
>
> ว่า ณ เวลานี้
>
> พ่อหลวงของเรา จะรู้สึกอย่างไร
>
> ที่เห็นลูก ๆ ของท่าน รบราฆ่าฟันกันเอง เยี่ยงนี้
>
>
> หรือถ้าหากคุณคิดไม่ได้ จริง ๆ
>
> ก่อน กระทำการใด ๆ
>
> กรุณาถอดเสื้อเหลือง ออกซะก่อน เถิด นะ
>
> คิดซะว่า ประเทศชาติและคนหมู่มาก ที่ รักพ่อหลวง ขอร้อง