Wednesday 18 June 2014
#เรื่องดีมาก #แม่อย่าบอกพ่อนะว่าผมเป็นเกย์ ขอแบ่งปันประสบการณ์ที่มีลูกเป็นเกย์ ซึ่งดิฉันและสามีรับได้ และใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขค่ะ
#เรื่องดีมาก #แม่อย่าบอกพ่อนะว่าผมเป็นเกย์
ขอแบ่งปันประสบการณ์ที่มีลูกเป็นเกย์
ซึ่งดิฉันและสามีรับได้ และใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขค่ะ
ดิฉันทราบมานาน 5 ปีแล้วว่าลูกชายของดิฉันเป็นเกย์
ก่อนอื่นต้องขอบอกถึงสาเหตุที่ดิฉันสงสัยในตัวลูกชายก่อนค่ะ นั่นเป็นเพราะ ดิฉันเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนเขา ไปเจอแฟลชไดรว์วางอยู่บนโต๊ะคอม ซึ่งดิฉันกำลังต้องการใช้อยู่พอดี ดิฉันเลยหยิบมาค่ะ ดิฉันรู้นะคะว่าควรขอลูกชายก่อน แต่ตอนนั้นลูกชายดิฉันอยู่โรงเรียนค่ะ เลยหยิบมาโดยไม่ได้ขอ โดยก่อนหน้านี้ถ้าดิฉันจะใช้หรือยืมอะไรของลูกชาย ดิฉันจะขอเขาก่อนเสมอ
ดิฉันเริ่มสงสัยจากตรงนี้แหละค่ะ ตอนที่ดิฉันเซฟงานจากแลปทอปใส่แฟลชไดรว์ ดิฉันได้สังเกตเห็นรูปภาพผู้ชายประมาณ 5 รูป ปะปนอยู่ในรูปการ์ตูนที่เขาชอบดู แต่ก็ไม่ใช่รูปเปลือยอนาจารอะไรนะคะ เป็นรูปนายแบบใส่ชุดว่ายน้ำค่ะ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ที่มุมของภาพมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า “gay….” อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ
ตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นรูปสำหรับทำงาน ลูกอาจจะแค่เสิร์ชในเน็ต
แล้วเซฟๆมา ไม่น่าจะมีอะไร แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
ตอนลูกชายกลับมาจากเรียนพิเศษ ดิฉันเลยถามค่ะ ก็ขึ้นต้นก่อนว่า
“รูปนายแบบในแฟลชไดรว์เอาไปทำงานหรอ” เขาก็ดูชะงักไปพักนึงค่ะ
แล้วก็ตอบว่า “ครับ”
ดิฉันจึงถามต่อไปว่าเป็นงานวิชาอะไร ทำอะไรบ้าง เขาก็หน้าแดง ดูลกลนอย่างเห็นได้ชัด และไม่สบตาดิฉัน ดิฉันเลยพูดไปว่า “ลูกเป็นเกย์หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ตอบว่าใช่ แม่ไม่ว่าอะไร” เขาจึงหันมาสบตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบกร็งๆ “ใช่ครับ ผมเป็นเกย์”
พอลูกตอบแบบนั้นคุณแม่ก็สบายใจ เพราะจะได้วางตัวกับเขาถูก
เขาก็จะได้ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป เพราะที่ผ่านมาดิฉันไม่รู้เลยจริงๆ
(ดิฉันขอเล่าสักนิด คือว่าลูกชายดิฉัน ถ้าดูผิวเผิน เขาไม่ได้ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไปเลย เขาชอบเล่นซอกเกอร์ และชอบดูการแข่งขันมากๆ บุคลิกของเขาก็เหมือนผู้ชายทุกอย่างค่ะ)
สักพักเขาก็พูดขึ้นมา “ผมขอโทษครับ ผมรู้ว่าผมทำให้แม่เสียใจ ผมขอโทษ ”
ดิฉันจึงบอกลูกไปว่า “ลูกจะเป็นอะไร แม่ไม่เสียใจหรอก ยังไงลูกก็เป็นลูกของแม่ ขอแค่เป็นคนดีของสังคมก็พอแล้ว” ซึ่งตอนนั้นที่ดิฉันพูดไป ดิฉันก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ดิฉันไม่ได้เสียใจหรือต้องทำใจยอมรับอะไรเลย ดิฉันรักลูกเหมือนเดิม ไม่ต่างจากก่อนหน้า และหลังจากนั้น เขาก็ได้ขอร้องดิฉันว่า “แม่อย่าบอกพ่อนะว่าผมเป็นเกย์”
และดิฉันก็สัญญากับเขาค่ะว่าจะไม่บอกสามี
แต่ดิฉันก็รู้สึกไม่สบายใจมาตลอดที่ต้องปิดบังสามีค่ะ
ดิฉันจึงตัดสินใจคุยกับสามีเมื่อ 8-9 เดือนก่อนที่ผ่านมานี่เอง
ดิฉันบอกเขาว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับลูกจะคุยด้วย ซึ่งตอนนั้นหน้าตาดิฉันดูค่อนข้างเครียด เพราะความกดดันด้วยส่วนหนึ่ง ตอนแรกเขาก็ทำท่าทางจริงจัง เพราะดิฉันไม่เคยคุยเรื่องลูกด้วยหน้าตาเคร่งเครียดมาก่อน
ดิฉันพูดไปก่อนว่า “เธอจะเสียใจที่สุดลูกทำอะไร”
สามีดิฉันตอบว่า “ถ้าจะเสียใจที่สุด ก็เพราะลูกกลายเป็นคนเลวนี่แหละ”
ดิฉันจึงถามต่อ “แล้วถ้าลูกเราเป็นเกย์ เธอจะเสียใจไหม”
เขาถามกลับมาว่า “ถามทำไม” ดิฉันจึงตั้งสติพักหนึ่ง แล้วตอบ
“น้อง A เป็นเกย์นะ เรารู้มานานแล้ว เราคุยกับลูก แต่เราไม่ได้บอกเธอ”
แล้วเขาก็ยิ้มค่ะ ดิฉันก็สงสัยนะคะตอนแรก ว่าเขายิ้ม หรือเขากัดฟันไม่ให้ร้องไห้
แต่เขาก็ยิ้มจริงๆค่ะ เขาตอบดิฉันว่า “เรารู้มานานแล้ว เราเคยเห็นลูกดูหนังโป๊ผู้ชายมีอะไรกับผู้ชาย เราเห็นแต่เราไม่พูด และที่เราไม่บอกเธอ เพราะเรากลัวเธอรับไม่ได้” ตอนนั้นดิฉันโล่งอกมากๆค่ะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ดิฉันก็ถามสามีต่อต่อนะคะ “เธอเสียใจหรือเปล่า เธอรับได้ไหมที่ลูกเป็นแบบนี้”
และดิฉันก็ประทับใจกับคำตอบของเขามากๆ มันทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเราได้เลือกคู่ชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้วจริงๆ เขาตอบดิฉันว่า “ก็รู้สึกใจหายในตอนแรก แต่เราก็ไม่ได้เสียใจที่ลูกเป็นแบบนั้น เรารับได้ทั้งนั้นไม่ว่าลูกจะเป็นเพศอะไร แต่อย่าเป็นคนเลวแบบที่เราพยายามสอนเขาทุกวันเพื่อไม่ให้เป็น ถ้าเขาเป็นแบบนั้น เราถึงจะเสียใจที่สุด ” มันเป็นคำตอบที่ทำให้ดิฉันน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันก็เรียกลูกมาค่ะ และสามีดิฉันก็บอกกับลูกว่า “พ่อรู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นเกย์ ไม่ต้องปิดพ่อแล้วนะ” ลูกดิฉันตกใจมากค่ะ เขาเข่าทรุดลงไปนั่ง และสามีดิฉันก็เดินเข้าไปกอดลูกค่ะ เขาไม่ได้พูดอะไรกับลูก แต่ลูกดิฉันก็น้ำตาไหลและบอกกับสามีดิฉันว่า “ผมขอโทษครับพ่อ ผมขอโทษ”
สามีดิฉันก็บอกลูกค่ะ “ไม่ต้องขอโทษพ่อ ลูกไม่ได้ผิด ถ้าลูกจะถือว่าเรื่องนี้ผิดก็ต้องโทษพ่อกับแม่ที่สอนลูกมาให้เป็นแบบนี้ และพ่อกับแม่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษลูกแทน” หลังจากสามีดิฉันพูดจบ เขาก็กราบเท้าดิฉันและสามีค่ะ วันนั้นถือเป็นวันที่ลูกไม่ต้องปิดบังอะไร ไม่ต้องคอยทุกข์กับการปกปิดอีกแล้ว มันทำให้ดิฉันสุขใจมากค่ะ สุขอะไรจะเท่ากับการที่ได้เห็นลูกเป็นสุข
ปัจจุบันลูกของดิฉันก็สอบติดคณะแพทย์สถาบันหนึ่งที่คะแนนสูงที่สุด
วันประกาศผล เขามาบอกดิฉันและสามีว่า
“ผมสอบติดแพทย์แล้วนะครับ อย่างน้อยผมก็ทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ ถึงแม้ว่ามันจะเล็กน้อยถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง”
สามีดิฉันก็บอกลูกค่ะว่า “ต่อให้ลูกไม่ได้สอบติดคณะแพทย์ หรือไม่ได้เรียนเก่ง พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกเสมอ ลูกไม่ต้องพยายามทำอะไรที่ดีเพื่อให้พ่อแม่หรือคนอื่นภูมิใจ แต่ทำเพื่อตัวลูกเอง เพื่ออนาคตลูกเอง และการที่ลูกเป็นเกย์ มันไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวังในตัวลูก อย่าไปเอาเรื่องนี้มาทำให้ตัวเองเครียด”
ดิฉัน สามี และลูก ต่างก็มีความสุขกันดีค่ะ ครอบครัวเราก็อบอุ่นเช่นเดิม การที่ลูกดิฉันเป็นเกย์ มันไม่ได้ทำให้ครอบครัวเรามีความสุขน้อยลงเลยค่ะ
ดิฉันอยากจะฝากถึงพ่อแม่หลายๆคนนะคะ ถ้าหากว่าลูกคุณเป็นเพศที่สาม อย่าอคติ
เกลียดลูก หรือบังคับลูก ให้เขาเลิกเป็นเพศที่สามเลย การที่เขาเป็นแบบนั้น
เขาเลือกไม่ได้หรอกค่ะ ว่าอยากจะเป็นหรือไม่เป็น เขาเป็นแบบนั้นเพราะเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไปบังคับขืนใจเขา คนที่ทุกข์ก็คือเราและลูกนะคะ และคนที่ทุกข์ที่สุดก็คือลูกค่ะ พยายามเข้าใจและใช้ชีวิตกับเขาให้มีความสุขดีกว่า แล้วคนที่สุขก็จะไม่ใช่แค่ลูกคนเดียว แต่เราก็จะสุขเช่นกันค่ะ
คำพูดข้างต้นที่ดิฉันได้เล่าไปนั้น มันอาจจะไม่ได้ตรงหรือถูกต้องตามที่พูดในสถานการณ์จริงทุกคำ แต่ดิฉันก็ไม่ได้ปรับแต่งให้ต่างจากเดิม ทุกคำพูดนั้นสื่อไปที่ความหมายเดียวกันค่ะ เพียงแค่อาจจะเรียบเรียงออกมาไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนที่เป็นเพศที่สามและมีลูกเป็นเพศที่สามค่ะ
http://pantip.com/topic/32209245
ขอแบ่งปันประสบการณ์ที่มีลูกเป็นเกย์
ซึ่งดิฉันและสามีรับได้ และใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขค่ะ
ดิฉันทราบมานาน 5 ปีแล้วว่าลูกชายของดิฉันเป็นเกย์
ก่อนอื่นต้องขอบอกถึงสาเหตุที่ดิฉันสงสัยในตัวลูกชายก่อนค่ะ นั่นเป็นเพราะ ดิฉันเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนเขา ไปเจอแฟลชไดรว์วางอยู่บนโต๊ะคอม ซึ่งดิฉันกำลังต้องการใช้อยู่พอดี ดิฉันเลยหยิบมาค่ะ ดิฉันรู้นะคะว่าควรขอลูกชายก่อน แต่ตอนนั้นลูกชายดิฉันอยู่โรงเรียนค่ะ เลยหยิบมาโดยไม่ได้ขอ โดยก่อนหน้านี้ถ้าดิฉันจะใช้หรือยืมอะไรของลูกชาย ดิฉันจะขอเขาก่อนเสมอ
ดิฉันเริ่มสงสัยจากตรงนี้แหละค่ะ ตอนที่ดิฉันเซฟงานจากแลปทอปใส่แฟลชไดรว์ ดิฉันได้สังเกตเห็นรูปภาพผู้ชายประมาณ 5 รูป ปะปนอยู่ในรูปการ์ตูนที่เขาชอบดู แต่ก็ไม่ใช่รูปเปลือยอนาจารอะไรนะคะ เป็นรูปนายแบบใส่ชุดว่ายน้ำค่ะ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ที่มุมของภาพมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า “gay….” อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ
ตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นรูปสำหรับทำงาน ลูกอาจจะแค่เสิร์ชในเน็ต
แล้วเซฟๆมา ไม่น่าจะมีอะไร แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
ตอนลูกชายกลับมาจากเรียนพิเศษ ดิฉันเลยถามค่ะ ก็ขึ้นต้นก่อนว่า
“รูปนายแบบในแฟลชไดรว์เอาไปทำงานหรอ” เขาก็ดูชะงักไปพักนึงค่ะ
แล้วก็ตอบว่า “ครับ”
ดิฉันจึงถามต่อไปว่าเป็นงานวิชาอะไร ทำอะไรบ้าง เขาก็หน้าแดง ดูลกลนอย่างเห็นได้ชัด และไม่สบตาดิฉัน ดิฉันเลยพูดไปว่า “ลูกเป็นเกย์หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ตอบว่าใช่ แม่ไม่ว่าอะไร” เขาจึงหันมาสบตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบกร็งๆ “ใช่ครับ ผมเป็นเกย์”
พอลูกตอบแบบนั้นคุณแม่ก็สบายใจ เพราะจะได้วางตัวกับเขาถูก
เขาก็จะได้ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป เพราะที่ผ่านมาดิฉันไม่รู้เลยจริงๆ
(ดิฉันขอเล่าสักนิด คือว่าลูกชายดิฉัน ถ้าดูผิวเผิน เขาไม่ได้ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไปเลย เขาชอบเล่นซอกเกอร์ และชอบดูการแข่งขันมากๆ บุคลิกของเขาก็เหมือนผู้ชายทุกอย่างค่ะ)
สักพักเขาก็พูดขึ้นมา “ผมขอโทษครับ ผมรู้ว่าผมทำให้แม่เสียใจ ผมขอโทษ ”
ดิฉันจึงบอกลูกไปว่า “ลูกจะเป็นอะไร แม่ไม่เสียใจหรอก ยังไงลูกก็เป็นลูกของแม่ ขอแค่เป็นคนดีของสังคมก็พอแล้ว” ซึ่งตอนนั้นที่ดิฉันพูดไป ดิฉันก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ดิฉันไม่ได้เสียใจหรือต้องทำใจยอมรับอะไรเลย ดิฉันรักลูกเหมือนเดิม ไม่ต่างจากก่อนหน้า และหลังจากนั้น เขาก็ได้ขอร้องดิฉันว่า “แม่อย่าบอกพ่อนะว่าผมเป็นเกย์”
และดิฉันก็สัญญากับเขาค่ะว่าจะไม่บอกสามี
แต่ดิฉันก็รู้สึกไม่สบายใจมาตลอดที่ต้องปิดบังสามีค่ะ
ดิฉันจึงตัดสินใจคุยกับสามีเมื่อ 8-9 เดือนก่อนที่ผ่านมานี่เอง
ดิฉันบอกเขาว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับลูกจะคุยด้วย ซึ่งตอนนั้นหน้าตาดิฉันดูค่อนข้างเครียด เพราะความกดดันด้วยส่วนหนึ่ง ตอนแรกเขาก็ทำท่าทางจริงจัง เพราะดิฉันไม่เคยคุยเรื่องลูกด้วยหน้าตาเคร่งเครียดมาก่อน
ดิฉันพูดไปก่อนว่า “เธอจะเสียใจที่สุดลูกทำอะไร”
สามีดิฉันตอบว่า “ถ้าจะเสียใจที่สุด ก็เพราะลูกกลายเป็นคนเลวนี่แหละ”
ดิฉันจึงถามต่อ “แล้วถ้าลูกเราเป็นเกย์ เธอจะเสียใจไหม”
เขาถามกลับมาว่า “ถามทำไม” ดิฉันจึงตั้งสติพักหนึ่ง แล้วตอบ
“น้อง A เป็นเกย์นะ เรารู้มานานแล้ว เราคุยกับลูก แต่เราไม่ได้บอกเธอ”
แล้วเขาก็ยิ้มค่ะ ดิฉันก็สงสัยนะคะตอนแรก ว่าเขายิ้ม หรือเขากัดฟันไม่ให้ร้องไห้
แต่เขาก็ยิ้มจริงๆค่ะ เขาตอบดิฉันว่า “เรารู้มานานแล้ว เราเคยเห็นลูกดูหนังโป๊ผู้ชายมีอะไรกับผู้ชาย เราเห็นแต่เราไม่พูด และที่เราไม่บอกเธอ เพราะเรากลัวเธอรับไม่ได้” ตอนนั้นดิฉันโล่งอกมากๆค่ะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ดิฉันก็ถามสามีต่อต่อนะคะ “เธอเสียใจหรือเปล่า เธอรับได้ไหมที่ลูกเป็นแบบนี้”
และดิฉันก็ประทับใจกับคำตอบของเขามากๆ มันทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเราได้เลือกคู่ชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้วจริงๆ เขาตอบดิฉันว่า “ก็รู้สึกใจหายในตอนแรก แต่เราก็ไม่ได้เสียใจที่ลูกเป็นแบบนั้น เรารับได้ทั้งนั้นไม่ว่าลูกจะเป็นเพศอะไร แต่อย่าเป็นคนเลวแบบที่เราพยายามสอนเขาทุกวันเพื่อไม่ให้เป็น ถ้าเขาเป็นแบบนั้น เราถึงจะเสียใจที่สุด ” มันเป็นคำตอบที่ทำให้ดิฉันน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันก็เรียกลูกมาค่ะ และสามีดิฉันก็บอกกับลูกว่า “พ่อรู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นเกย์ ไม่ต้องปิดพ่อแล้วนะ” ลูกดิฉันตกใจมากค่ะ เขาเข่าทรุดลงไปนั่ง และสามีดิฉันก็เดินเข้าไปกอดลูกค่ะ เขาไม่ได้พูดอะไรกับลูก แต่ลูกดิฉันก็น้ำตาไหลและบอกกับสามีดิฉันว่า “ผมขอโทษครับพ่อ ผมขอโทษ”
สามีดิฉันก็บอกลูกค่ะ “ไม่ต้องขอโทษพ่อ ลูกไม่ได้ผิด ถ้าลูกจะถือว่าเรื่องนี้ผิดก็ต้องโทษพ่อกับแม่ที่สอนลูกมาให้เป็นแบบนี้ และพ่อกับแม่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษลูกแทน” หลังจากสามีดิฉันพูดจบ เขาก็กราบเท้าดิฉันและสามีค่ะ วันนั้นถือเป็นวันที่ลูกไม่ต้องปิดบังอะไร ไม่ต้องคอยทุกข์กับการปกปิดอีกแล้ว มันทำให้ดิฉันสุขใจมากค่ะ สุขอะไรจะเท่ากับการที่ได้เห็นลูกเป็นสุข
ปัจจุบันลูกของดิฉันก็สอบติดคณะแพทย์สถาบันหนึ่งที่คะแนนสูงที่สุด
วันประกาศผล เขามาบอกดิฉันและสามีว่า
“ผมสอบติดแพทย์แล้วนะครับ อย่างน้อยผมก็ทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ ถึงแม้ว่ามันจะเล็กน้อยถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง”
สามีดิฉันก็บอกลูกค่ะว่า “ต่อให้ลูกไม่ได้สอบติดคณะแพทย์ หรือไม่ได้เรียนเก่ง พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกเสมอ ลูกไม่ต้องพยายามทำอะไรที่ดีเพื่อให้พ่อแม่หรือคนอื่นภูมิใจ แต่ทำเพื่อตัวลูกเอง เพื่ออนาคตลูกเอง และการที่ลูกเป็นเกย์ มันไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวังในตัวลูก อย่าไปเอาเรื่องนี้มาทำให้ตัวเองเครียด”
ดิฉัน สามี และลูก ต่างก็มีความสุขกันดีค่ะ ครอบครัวเราก็อบอุ่นเช่นเดิม การที่ลูกดิฉันเป็นเกย์ มันไม่ได้ทำให้ครอบครัวเรามีความสุขน้อยลงเลยค่ะ
ดิฉันอยากจะฝากถึงพ่อแม่หลายๆคนนะคะ ถ้าหากว่าลูกคุณเป็นเพศที่สาม อย่าอคติ
เกลียดลูก หรือบังคับลูก ให้เขาเลิกเป็นเพศที่สามเลย การที่เขาเป็นแบบนั้น
เขาเลือกไม่ได้หรอกค่ะ ว่าอยากจะเป็นหรือไม่เป็น เขาเป็นแบบนั้นเพราะเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไปบังคับขืนใจเขา คนที่ทุกข์ก็คือเราและลูกนะคะ และคนที่ทุกข์ที่สุดก็คือลูกค่ะ พยายามเข้าใจและใช้ชีวิตกับเขาให้มีความสุขดีกว่า แล้วคนที่สุขก็จะไม่ใช่แค่ลูกคนเดียว แต่เราก็จะสุขเช่นกันค่ะ
คำพูดข้างต้นที่ดิฉันได้เล่าไปนั้น มันอาจจะไม่ได้ตรงหรือถูกต้องตามที่พูดในสถานการณ์จริงทุกคำ แต่ดิฉันก็ไม่ได้ปรับแต่งให้ต่างจากเดิม ทุกคำพูดนั้นสื่อไปที่ความหมายเดียวกันค่ะ เพียงแค่อาจจะเรียบเรียงออกมาไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนที่เป็นเพศที่สามและมีลูกเป็นเพศที่สามค่ะ
http://pantip.com/topic/32209245