Wednesday 10 September 2008

"หยาบช้า และ สามานย์"

"หยาบช้า และ สามานย์"

คำถามแรกที่แทบทุกคนในประเทศนี้กำลังถามอยู่ในใจน่าจะเป็น "เมื่อไหร่มันจะจบลงเสียที?"

และคำถามต่อไปก็คือ "แล้วมันจะจบอย่างไร?"

เพราะวันนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ผู้แพ้ที่แท้จริงก็คือคนไทยทั้งประเทศ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

เราโกรธแค้นชิงชังกันมาแต่ไหน หรือเพียงแค่ความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกันก็ทำให้เราลงมือทำร้ายฆ่าฟันกันได้แล้ว ในเวลาช่วงสั้นๆ เพียงไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยด้วยกันแตกแยกแตกร้าวกันได้ถึงเพียงนี้หรือ?

ประวัติศาสตร์ คำสอนของพระ พ่อแม่ และครูบาอาจารย์ ดูเหมือนจะถูกลืมกันไปหมดแล้ว เรามี "ข้ออ้าง" และ "เหตุผล" ร้อยแปดพันเก้าในการสร้างความบาดหมางให้รุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น

นายกรัฐมนตรี ซึ่งถึงจะมาจากการแต่งตั้งโดยวิถีแห่งประชาธิปไตยเอง ก็ทำให้คำว่า "ประชาธิปไตย" ดูไร้ค่าลง โทสะจริตและโมหะจริต มุ่งหวังแต่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ดูถูกก้าวร้าว หยาบคาย ไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี ทำให้คนไทยด้วยกันต้องอับอายและโกรธแค้น ทุกครั้งที่ท่านเอ่ยปากออกมา ไม่เคยเลยที่จะทำให้คนไทยด้วยกันจะรู้สึกดีขึ้นมาได้ มีแต่ทำให้เสื่อมศรัทธาในระบบการปกครอง และตัวบุคคลมากขึ้นทุกที

ทุกคำที่ออกจากปาก ทุกปฏิกิริยาที่มีต่อสื่อ ต่อฝ่ายค้าน และต่อคนไทยด้วยกันที่ไม่ได้มองไปในทางเดียวกัน ดูช่างจะหยาบช้าเหมือนว่าเป็นคนที่แตะต้องไม่ได้ ไม่เคยทำอะไรผิดและไม่สนใจในเสียงร้องคร่ำครวญของคนที่เดือดร้อน

8 เดือนของการทำงาน อาจจะเป็นระยะเวลาน้อยเกินไปที่จะวัดประสิทธิภาพการทำงานของคนๆ หนึ่ง
แต่ 8 เดือนของการทำงานของคนบางคน ก็นานเกินไปที่จะปล่อยให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้ให้กับประเทศ
แต่ก็ใช่ว่าฝ่ายพันธมิตรจะดีไปกว่ากัน

"มือถือสาก ปากถือศีล" น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดสำหรับฝ่ายพันธมิตรในวันนี้ การทุ่มเท ทุ่นทุน และมีสื่อในมือ ประกอบกับเจตนาบางอย่างที่ลึกซึ้ง ได้ถูกเคลือบไว้อย่างชาญฉลาดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์
แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย ผสานกับอีกกลุ่มซึ่งชอบและเชื่อในการใช้กำลังเข้าแก้ปัญหา แล้วจากนั้น การประท้วงโดยสันติวิธี โดยวิถีแห่งประชาธิปไตย ก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกกันอย่างภูมิใจว่าเป็น "การปฏิวัติประชาชน" โดยไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายสูงสุดของแกนนำพันธมิตรคืออะไรกันแน่ การเข้ายึดสถานีโทรทัศน์และทําเนียบรัฐบาล การแสดงออกว่าเป็นผู้นำการปกครองรูปแบบใหม่ซึ่งไม่ตรงต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับไหนเลยในประเทศไทย การตะโกนก้องว่าเป็นนักสู้และยอมตายเพื่อความถูกต้อง การสร้างกฎหมู่ให้เหนือกฎหมาย แต่ในขณะเดียกันก็เอาพระ ผู้หญิง เด็ก และคนแก่มาทำเป็นกำแพงมนุษย์กันไม่ให้ถูกฝ่ายกฎหมายบ้านเมืองเข้ามาจับกุมตัวได้นั้น มันสามานย์เกินไป ไม่มีวีรบุรุษของประชาชนคนไหนในโลกจะเคยทำอย่างนี้ มันขี้ขลาดเกินไป

แล้วมันจะจบอย่างไร?

มันคงจะสายไปแล้วที่จะบอกให้ "หันหน้าเข้าหากัน" เพื่อหาทางออกร่วมกัน ในเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างเอาทิฐิและความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง ต่อให้ทุกอย่างจะจบสิ้นลงไปในวันนี้ ก็คงอีกนานกว่าเราจะมองหน้ากันติด
และคงจะอีกนานกว่านั้นที่ประเทศของเราจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ทั้งด้านเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นในสายตาของโลก

วันนี้ ต่างชาติชะลอการลงทุนและการท่องเที่ยวในประเทศที่เคยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่สวยงามและอบอุ่นด้วยมิตรภาพที่สุด ในขฌะที่เพื่อนบ้านของเรากำลังตักตวงผลประโยชน์ที่เกิดจากความสูญเสียของเรา – ความสูญเสียซึ่งเกิดขึ้นด้วยมือของคนไทยด้วยกันเอง
ครั้งสุดท้ายที่คนไทยด้วยกันต้องมาแตกแยกรุนแรงขนาดนี้คือ เมื่อ 241 ปีที่ผ่านมา เมื่อเราเสียอิสรภาพและเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 ไม่ใช่ว่าพม่าจะเก่งกว่าเราสักเท่าไหร่ หากแต่เป็นไทยเราเองที่ต่อสู้กันและเปิดทางให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามายึดครองได้โดยง่าย

ถ้าเราคิดถึงอนาคตของประเทศชาติ ของตัวเอง ของลูกหลานของเราจริงๆ แล้วละก็ สิ่งเดียวที่จะช่วยเราได้คือ "สติ" เพราะถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่เกิด วันนี้ "LAW & ORDER" หรือ กฎหมายและระเบียบสังคมเป็นสิ่งที่ต้องเคารพและพึงปฏิบัติ

เพราะไม่อย่างนั้น เราก็จะเสียกรุงอีกเป็นครั้งที่ 3 ในเร็ววันนี้