Wednesday 23 January 2008

รำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ

“เราเป็น…เจ้านายบ้านนอก”
นงนาท สนธิสุวรรณ

ชื่อเรื่องข้างต้นนี้ คือบทสัมภาษณ์พิเศษที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงประทานแก่นิตยสารรายสัปดาห์ “ สู่อนาคต ” ฉบับที่ ๑๙๐ ของวันที่ ๒๕–๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๗ เนื่องในพระวโรกาสช่วงเฉลิมฉลองคล้ายวันประสูติครบ ๘๔ ชันษาของสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนีฯ ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าชื่นชมและประทับใจในพระจริยาวัตรแห่ง “ สมเด็จย่า” ที่ได้สะท้อนวิธีการที่ทรงอบรมเลี้ยงดู พระธิดาและพระโอรสตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดังที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯทรงเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า ได้ทรงปลูกฝัง “ ให้มีความผูกพันกับเมืองไทย กับคนไทย และคิดว่า น่าจะช่วยอย่างไร ถึงอย่างไร ท่านก็เกิดมาในครอบครัวที่จน ท่านก็ทราบว่ามีคนจน ที่จะต้องช่วยอะไร อย่างไร…ให้รู้สึกว่าจะต้องช่วยคน ให้รู้สึกต่อประเทศและคนอื่นๆ …”

ในวาระแห่งการร่วมกันฟื้นเรื่องราวเล่าขาน ความทรงจำเพื่อน้อมรำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ผู้เป็นที่รักและเทอดทูนยิ่งของเหล่าพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง ข้าพเจ้าใคร่ขออัญเชิญบางตอนของบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ ให้ปรากฎเป็นบันทึกอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ของพระองค์ท่านที่ควรค่าแก่การจดจำไปชั่วกาลนาน…

สู่อนาคต : สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงถ่ายทอดทัศนคติ และการดำรงพระชนม์ชีพของสมเด็จพระ
บรมราชชนกให้กับพระโอรส และ พระธิดาอย่างไร?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ถ่ายทอดทัศนคติของทูลหม่อมพ่ออีกละนะ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แม่ก็เล่าวิธีว่าทูลหม่อมพ่อ
ท่านทำอย่างไร ทรงคิดอย่างนั้น ท่านทำอย่างนั้น ทรงตอบอย่างนั้น อย่างนี้ ก็เพื่อเป็นการ
เล่าให้ทราบว่าเป็นอย่างไร

สู่อนาคต : ทราบเกล้าฯจากการอ่านเรื่องราวของสมเด็จพระบรมราชชนก ที่มีคนเขียนไว้ตามที่ต่างๆ คุณ
ลักษณะเด่นของพระองค์คือ ทรงทำอะไรก็มักจะระลึกถึงผู้อื่นอยู่เสมอ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ก็เห็นจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไปอันนี้ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก็ไปอ่านมาว่า บาง
ทีท่านก็รักษาตำแหน่งของท่าน เธอก็อาจจะได้เคยอ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนกันว่า ท่านจะไป
ไหนท่านก็ไปของท่านเงียบๆ แต่ท่านก็บอกว่าท่านทำไม่ได้ เพราะคนเขาอาจจะเสียใจ ที่ไม่
ได้รับเสด็จอะไรอย่างนี้ ที่จริงมันก็ไม่ได้นึกถึงตัวหรอก มันก็คิดถึงคนอื่นเหมือนกันที่ถูก
ต้องน่ะ แต่ท่านก็ต้องรักษาพระเกียรติเหมือนกัน

สู่อนาคต : เนื่องจากพระโอรสทั้งสองพระองค์ เสด็จขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความวิกฤต และสถาบัน
พระมหากษัตริย์อยู่ในสภาวะที่ตกต่ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมเด็จพระบรม
ราชชนนีทรงวางพระองค์อย่างไรในการทรงเป็นกำลังพระทัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัวทั้งสองพระองค์ ให้สามารถปฎิบัติพระราชภารกิจ ในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้
ระบอบประชาธิปไตย ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และนำมาซึ่งประโยชน์สูขของประเทศชาติ
และประชาชนโดยตลอดมา

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ท่านก็ไม่ได้บอกว่า เป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็อบรมโดยทั่วๆไปให้
เป็นคนดีก่อน อันนี้คือสิ่งที่สำคัญมาก คือต้องเป็นคนดีที่รับผิดชอบ แล้วท่านก็เล่าถึงประ
เทศชาติ ท่านใช้คำว่าเมืองไทยมากกว่า ว่าเมืองไทยต้องการอะไร ต้องมีอะไร ช่วยได้อย่าง
ไร ท่านทำให้มีความผูกพันกับเมืองไทย กับคนไทย และคิดว่าน่าจะช่วยได้อย่างไร ถึงอย่าง
ไรท่านก็เกิดมาในครอบครัวที่จน ท่านก็ทราบว่ามีคนจนที่จะต้องช่วยอะไร อย่างไร ท่านก็
จะพูดในแนวนี้ให้สงสารคน ให้รู้สึกว่าจะต้องช่วยคน ให้มีความรู้สึกต่อประเทศและคนอื่น

สู่อนาคต : สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงสนพระทัยในกิจการใดที่สุด โปรดทรงพระอักษรชนิดใด ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ก็แล้วแต่อะไร เพราะมีหลายอย่าง จะบอกว่าอันไหนมากที่สุดก็ลำบาก ชอบถามจริงนะ
อะไรมากที่สุด ประทับใจมากที่สุด ชอบอะไรมากที่สุด มันแล้วแต่โอกาส แล้วแต่เวลา
แล้วแต่ว่าจะเป็นตอนไหน ที่ว่าโปรดทรงพระอักษรชนิดใดนี่ ก็หลายอย่างอีกล่ะ คือเมื่อ
ก่อนนี้ โปรดปรัชญามาก ส่วนอักษรศาสตร์ ก็ในทางที่เขียนทางความคิดมากกว่ากวีนิพนธ์
จะมีอยู่สักอันที่ท่านบอกว่าโปรด เพราะเป็นอันแรกๆในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งท่านว่า เพราะดี
แต่ตามปกติท่านก็โปรดทางด้านปรัชญามากกว่า ทางด้านความคิด ไม่เคยอ่านหนังสือ
ของฉันเรื่อง “ แม่เล่าให้ฟัง ” หรือ ?

สู่อนาคต : เคยเพคะ แต่กำลังสนุกก็จบ อยากทราบเรื่องราวในช่วงหลังต่อจากนั้นด้วยเพคะ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : แต่ช่วงหลังนี่คนรู้โดยทั่วไปแล้ว ที่ฉันถามนี่ไม่ใช่เรื่องประวัติแม่ ฉันถามถึงภาคสอง
เกี่ยวกับว่าทรงอ่านเรื่องอะไร อ่านภาคสองหรือเปล่า ?

สู่อนาคต : เป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาที่ทรงสนพระทัย แต่ในตอนหลังนี้ทราบเกล้าฯว่า ทรงสน
พระทัยพุทธศาสนามากกว่า

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ใช่ เกี่ยวกับพุทธศาสนา ท่านสนพระทัยมาก แต่ที่ไม่ได้ใส่ว่า โปรดอะไรตรงไหนนั้น
มันยาก เพราะมากเหลือเกิน ท่านทรงอ่านหมดเลย

สู่อนาคต : ดูเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงได้รับอิทธิพลในแนวความคิดของสมเด็จ
พระบรมราชชนนีมากใช่ไหมเพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ก็อาจจะเป็นได้ เพราะความคิดอะไรต่างๆของเรานี่ เหมือนอยู่ในครอบครัว เพราะทูล
หม่อมพ่อ เวลาอยู่เมืองนอก ท่านก็คิดถึงแต่จะช่วยคนไทยอย่างไร มีแต่คิดเช่นนี้ แม่อยู่
ด้วยก็คิดแต่ว่าเราจะกลับเมืองไทย ก็คิดว่าจะทำอะไร นี่คือสิ่งสำคัญมาก แล้วเวลาที่
ท่านเลี้ยงลูกก็เหมือนกัน ก็อย่างที่ฉันเล่าไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ คือจะทำอย่างไร จะช่วยอย่าง
ไร เป็นอย่างนี้มากที่สุด
นี่เราออกมานอกเรื่องหนังสือแล้วนะนี่ ที่ว่าท่านโปรดหนังสือประเภทใด ที่ฉันไม่ได้
เขียนถึงหนังสือพุทธศาสนาในภาคสองนั้น เพราะท่านจะอ่านเรื่องพระพุทธศาสนาหมด
แต่อย่าไปคิดว่า ท่านเลื่อมใสพระพุทธศาสนาอย่างงมงาย คือท่านจะเอาไปคิดก่อน ท่านก็
อาจจะคิดอะไรบางอย่างของท่านไว้แล้ว ที่ฉันเขียนเอาไว้แต่คนไม่ค่อยสนใจว่า ตอนที่
เด็กๆนี่ ท่านก็มีความคิดของท่านอยู่แล้วที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ท่านถึงได้นึกว่า เอ๊ะ !
เห็นฉันจะผิด ก็คนอื่นเขาไม่นึกอย่างนี้ เมื่อท่านไปถึงเมืองนอกแล้ว ท่านไปเจอความคิด
พวกนั้น (ในภาคสองของหนังสือ “ แม่เล่าให้ฟัง” ) ท่านก็เลยบอกว่า อ้าว ! งั้นฉันก็อาจ
จะไม่ผิดนัก แต่คนก็ไปเข้าใจผิด นึกว่าท่านนับถือพวกนี้ ท่านไม่ได้นับถือ มันคล้ายๆกับ
ว่าท่านยอมรับว่า อ้อ ! นี่ก็มีคนคิดเหมือนฉัน ก็เป็นเหมือนเพื่อนฉัน เราคิดอะไรเหมือน
กัน พระพุทธศาสนาก็ทำนองเดียวกัน คือท่านคิดอะไรต่ออะไรก่อน ถึงความดีอะไรต่างๆ
ท่านก็ไปดู อ้อ ! พระพุทธเจ้าทรงเก่งอย่างเหลือเกิน ทรงค้นพบของพวกนี้ เมื่อท่านเห็น
ด้วย ท่านก็นับถือของพวกนี้ แต่ท่านไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียว ท่านต้องคิดก่อนว่า อะไร
ถูก ไม่ถูกเหมือน ศีล ศีลข้อหนึ่งบอกว่าห้ามฆ่าสัตว์ คนถือว่า ฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่เราที่
กินเนื้อสัตว์นี่ ทำไมไม่บาป
เมื่อเร็วๆนี้เอง ฉันไปถามว่าแม่คิดตกหรือยัง? ท่านบอกว่ายังคิดไม่ตก แต่ท่านคิด
มากเรื่องศาสนา บางอย่างท่านเขียน ก็ต้องเขียนไป สมเด็จพระญาณฯก็ต้องเขียนไป
อย่างนั้น แต่บางข้อก็ยังเพี้ยนนิดหน่อย ที่พูดนี้จะเข้าใจหรือเปล่า ? ไม่ทราบว่าที่ถาม
มาต้องการอย่างนี้หรือเปล่า ? ที่จะถามฉันนี่มันยากหน่อย ถ้าเข้าใจแล้วก็ผ่านไปนะ

สู่อนาคต : สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนพระทัยการเมืองหรือไม่ ? เคยรับสั่งเรื่องการเมือง
กับพระโอสพระธิดาหรือไม่ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : เรื่องการเมืองนี่ท่านไม่สนพระทัย ก็อาจจะติดตามไปเฉยๆ แต่ก็ไม่ออกความเห็น
ไม่อะไร เพราะว่าสนใจก็ทำอะไรไม่ได้ และไม่ควรจะทำอะไร

สู่อนาคต : สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงรู้สึกอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : อันนี้ฉันตอบไม่ได้ อย่างที่ฉันบอกไว้ตั้งแต่ต้น และอันนี้ฉันก็ไม่คยถามท่าน และ
ถ้าถาม ท่านอาจจะไม่ตอบก็ได้

สู่อนาคต : สมเด็จพระราชชนนีและใต้ฝ่าพระบาท ได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บ่อยไหม ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ไม่บ่อย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ต่างจังหวัด แม่ก็อยู่ต่างจังหวัด
มากกว่ากรุงเทพฯ แต่ทุกครั้งที่กลับมาจากต่างจังหวัด และพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่
กรุงเทพฯ ท่านก็ไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวสักครั้งหนึ่งอย่างน้อย ส่วนฉันเองไม่ค่อยได้เฝ้า
ก่อนนี้ไป แต่เดี๋ยวนี้ ก็เรื่องเสียเวลา เพราะเดี๋ยวนี้งานฉันมันมากเหลือเกิน

สู่อนาคต : พระนัดดาพระปนัดดาได้เฝ้าสมเด็จพระบรมราชชนนีบ่อยไหมเพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : หลานนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ถ้าอยู่ที่นั่นก็ได้พบโดยมากก็พบ ส่วน
มากสมเด็จพระเทพรัตนฯท่านมีความรู้สึกรักญาติมาก ท่านก็อาจจะไปเฝ้ามากกว่า
องค์อื่น โดยเฉพาะถ้าท่านมีเวลาว่าง บางทีท่านก็ไปเฝ้าสมเด็จย่า ที่นี่ท่านก็เคยมาบ่อย

สู่อนาคต : สมเด็จพระบรมฯล่ะเพคะ เฝ้าบ่อยไหม ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : เดี๋ยวนี้น้อย มีบ้าง แต่ก็น้อยกว่าสมเด็จพระเทพรัตนฯ เมื่อก่อนนี้เมื่อยังเด็กกว่านี้ เคย
ตามเสด็จต่างจังหวัด แต่ใกล้ชิดหลานยาย (ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย) มากกว่า เพราะ
เล็กๆอยู่เมืองนอกด้วยกัน แต่เดี๋ยวนี้น้อยหน่อยเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งลูกของลูกสาว
มักใกล้ชิดกว่าของลูกชาย เพราะถึงอย่างไรก็เคยเลี้ยงมาบ้าง ส่วนของลูกชายนี่ไม่เคย
เลี้ยงเลย และท่านคิดว่าไม่ควรจะเป็นหน้าที่ของยายหรือย่าที่จะเลี้ยง ควรเป็นหน้าที่
ของพ่อแม่มากกว่า

สู่อนาคต : สมเด็จพระบรมราชชนนีเคยรับสั่งเล่าตอนที่ทรงพบและได้เฝ้าสมเด็จพระบรมราาช
ชนกอย่างไรหรือไม่เพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ไม่เลย อันนี้ตรงกันข้าม ท่านไม่เคยเล่า คนต้องไปซักถึงจะพูด ท่านไม่เคยเล่าเองเลย
ที่ฉันทราบก็ไปอ่านอะไรต่างๆ แล้วไปถามท่าน ว่าจริงหรือเปล่าว่าที่พบกันที่สถานี
รถไฟที่สถานีเมืองบอสตัน ท่านก็บอกว่าจริง แค่นี้ ท่านไม่เล่า

สู่อนาคต : ในฐานะที่ทรงเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ ทรงอภิบาลใต้ฝ่าพระบาทพิเศษไปกว่าพระ
โอรสทั้งสองหรือไม่เพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : สองปีแรกที่ยังไม่มีน้อง ก็เป็นพิเศษแน่นอน แต่ทีหลังท่านก็ดูเท่าๆกันหมด แต่ก็ไม่เท่า
กันทีเดียว ตอนที่รัชกาลที่ ๘ ขึ้นมา และก็ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เพราะท่านพระอนา

มัยไม่ค่อยดีด้วย ก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ และเลยมีโอกาสได้คุยกันเรื่องบ้านเมือง ว่าเรา
จะต้องช่วยกันอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านไม่ได้คุยลักษณะว่า ลูกเป็นพระเจ้าแผ่นดินนะ
ท่านจะให้เป็นคนมากกว่า เป็นคนที่จะช่วยประเทศ ก็เลยมีโอกาสมากกว่า เพราะไม่
แข็งแรง แม่ก็ต้องเอาใจใส่มากกว่า

สู่อนาคต : พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ทรงมีส่วนคล้ายคลึงกับสมเด็จพระเทพรัตนฯหรือไม่ เพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ไม่เหมือนเลย ต่างกันมาก รัชกาลที่ ๘ ท่านเป็นคนเงียบมาก ไม่ยิ้ม ไม่อะไรเลย แต่อ่อน
โยนมาก สมเด็จพระเทพรัตนฯท่านรู้สึกร่าเริง การอบรมมาก็ต่างกันมาก นั่นเวลาเกิด
มาก็เป็นหม่อมเจ้า แต่หม่อมเจ้าเป็นไม่นานหรอก เป็นอยู่นิดเดียว เดือนสองเดือนก็เป็น
พระองค์เจ้า เราเป็นเจ้านายบ้านนอก เพราะเราไม่ค่อยได้เข้าพิธี เพราะแม่เลี้ยงเรา
เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ธรรมดาทีเดียว เพราะแม่ก็ยกย่อง ท่านหัดเรา ท่านใช้ราชาศัพท์
กับเราเพื่อให้เราทราบว่า เป็นเจ้า อย่างน้อยก็ให้เราเข้าใจราชาศัพท์ แต่ท่านก็เลี้ยงอย่าง
คนธรรมดา ให้คิดถึงคนอื่น ไม่ใช่เป็นเจ้า อย่างนี้มากกว่า

สู่อนาคต : แล้วพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘กับพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงคล้ายกันไหมเพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ท่านไม่คล้ายกัน แต่ก็เข้ากันได้อย่างดี เล่นอะไรทุกอย่างเหมือนฝาแฝด แต่ฝาแฝด
บางทีก็ไม่เหมือนกันเลย แต่นี่ท่านทำอะไรก็ทำด้วยกัน แม่ก็แต่งตัวให้เหมือนกัน
และก็ใกล้ชิดกันมาก เล่นอะไรก็เล่นอย่างเดียวกันตลอดเวลา คือตอนที่จะเล่นเรือ
ก็เล่นเรือด้วยกัน เล่นดนตรีก็เล่นด้วยกันทุกอย่าง ทำด้วยกันหมด และไม่ค่อยทะเลาะ
กัน ที่จำได้มีน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่จะทะเลาะกับฉันมากกว่า

สู่อนาคต : กับพระเจ้าอยู่หัวองค์ไหนเพคะ กับองค์ปัจจุบันหรือเปล่าเพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ : ไม่ใช่ ฉันทะเลาะกับรัชกาลที่ ๘ มากกว่า เพราะใกล้กัน อันที่จริงนิสัยเมื่อเล็กๆ รัชกาล
นี้กับฉันเหมือนกันมากกว่า แต่กับรัชกาลที่ ๘ นั้นไม่เหมือนกัน มาเข้าใจตอนที่ท่านโต
ขึ้นมากกว่า ตอนเล็กๆนั่นมันใกล้กัน สองปีก็รังแกกันมากกว่า ฉันออกจะรังแกท่าน
เพราะฉันโตกว่าจนถึงวันที่ท่านแข็งแรงมาก เมื่อสู้กันท่านชนะ ฉันเลยหยุด

สู่อนาคต : เมื่อใต้ฝ่าพระบาททรงเขียนเรื่อง “ แม่เล่าให้ฟัง ” นั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีท่าน
ทรงอ่านแล้วทรงมีพระวิจารณ์อย่างไรบ้างไหมเพคะ ?

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ : แม่ไม่ได้พูดว่าอะไร เพราะมันคล้ายๆท่านเกือบจะเป็นผู้แต่ง เพราะฉันสัมภาษณ์ท่าน
๑๐ นาที ๒๐ นาที จนกระทั่งท่านเบื่อแล้ว เมื่อเห็นหนังสือแล้ว ท่านก็บอกว่า ขอบใจ
แล้วท่านก็เปิดดูรูปหน่อยแล้วก็วาง เพราะว่าสัมภาษณ์ท่านอยู่เรื่อย ก็เหมือนคำพูดที่
ท่านเอามาลง ที่จริงท่านเป็น Co-author