Tuesday, 14 August 2007

อินดี้แปลว่า independent จริง ๆ


ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2537 เราได้ต้อนรับนางสาวไทยคนใหม่กับตำแหน่งสวยอย่างมีคุณค่าโดยเจ้าของมงกุฎอันใหญ่เบ้งชิ้นนั้นก็คือ อารียา สิริโสดา หรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากว่า “น้องป๊อป” 14 ปีที่ผ่านมา ป๊อปไม่ได้เจริญรอยตามนางสาวไทยรุ่นพี่ที่อาจจะแต่งงานมีลูกไปแล้ว แต่ป๊อปกลับทำอะไรหลายอย่างที่แตกต่าง จากนางสาวไทยเธอขยับไปชิมลางไปเป็นนักแสดง พิธีกร นางแบบ นักเขียน อาจารย์ ทหาร
และล่าสุด ผู้กำกับหนังสารคดี “เด็กโต๋” ที่เธอลงทุนทุบกระปุกทำกับเพื่อนอดีตผู้กำกับโฆษณาฝีมือเยี่ยมอย่างนก นิสา คงศรี ซึ่งกินใจทั้งคนดูและกรรมการจนได้รับรางวัลและได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประกวดภาพยนตร์นานาชาตินับหลายแห่ง สื่อจึงพร้อมใจกันตั้งฉายาให้เธอว่าเป็น “นางสาวไทยอินดี้” แห่งยุค ในช่วงที่ป๊อปทำเด็กโต๋เคยเอาเรื่องไปเสนอทุกค่ายแต่คำตอบก็คือ “เซย์โน” ป๊อปบอกว่าก็พอจะเข้าใจเรื่องธุรกิจ จะทำอะไรออกมาสักเรื่องจะต้องเป็นหนังตลาด มีสูตรของการทำหนัง มีพระเอกนางเอก แต่หนังของเธอเป็นแนวสารคดีมันเลยยาก แต่ป๊อปก็ยังมีความหวังว่าหนังแนวสารคดีจะมีความเป็นไปได้กับตลาด เธอยกตัวอย่าง โจอี้ บอย ออกเทปแรก ๆ ก็อยู่ค่ายเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เพลงฮิปฮอปกลายเป็นเมนสตรีมไปแล้ว ป๊อปเชื่อว่าหากทำอะไรด้วยใจ เอาใจมาถ่ายทอดมันก็จะออกมาโดนใจผู้ชม เหมือนกับเด็กโต๋ที่ได้พิสูจน์มาแล้วทั้งรางวัลทั้งฟีดแบ็กที่กลับมา สำหรับโปรเจคท์ต่อไป ป๊อปก็ยังเป็นนางสาวไทยอินดี้อยู่เช่นเดิมเพราะเธอกำลังทำสารคดี โดยแย้มให้ฟังว่าเธอเพิ่งกลับจากการทำสารคดีที่ภาคใต้ “ตอนนี้ยังไม่อยากจะบอกอะไรมาก เพราะยังทำไม่เสร็จ ไม่อยากสร้างแรงกดดันให้ตัวเอง การที่เราไม่ขอเงินจากนายทุนมันก็ไม่มีข้อแม้ดี สบายใจที่จะทำดี เหมือนเราเป็นแม่ครัว ถ้าไปทำในภัตตาคารก็ต้องทำสูตรของภัตตาคารให้คนส่วนรวมกิน แต่ถ้าทำให้ตัวเองกินก็อีกแบบนึง ถามว่าแม่ครัวได้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการหรือเปล่า ก็ไม่ได้นะ อย่างหนังแบบเราตัดต่อแค่นี้ ไม่ทำเพิ่มอีกแล้ว คุณจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของคุณ ฉันพอใจแบบนี้ ถ้ารสนิยมต้องกัน คนก็มาหาเราเอง เราเชื่ออย่างนั้น” สารคดีเรื่องใหม่ของป๊อปก็ไม่ง้อนายทุนอยู่เช่นเดิม แต่ป๊อปบอกว่าระบบนายทุนในวงการบันเทิงก็ไม่ได้ขัดแย้งกับการทำงานของเธอ “มันเสริมกันมาก ๆ เลยนะ อย่างตอนนี้เป็นพรีเซนเตอร์ให้หมากฝรั่งยี่ห้อนึง ก็เคี้ยวหมากฝรั่งไปเรื่อย ๆ ถ้าเราทำงานบริษัททุกวัน ก็คงไปทำสารคดีไม่ได้ แต่ถ้าทำงานแบบไม่ต้องทำบ่อย แต่ได้เงินเป็นก้อนและมีเวลาอิสระกว่า ก็ไปทำสารคดีได้ ทำสารคดีต้องทุ่มเทมาก ต้องมีอุปกรณ์ตัดต่อ กล้อง ของใช้ในออฟฟิศ ค่าน้ำมัน จิปาถะ เยอะอยู่นะ สิ่งที่เราทำตอนนี้กับที่ทำสารคดีมันเสริมกันได้ ดูแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน ไม่เคยคิดว่าจะเสริมได้ แต่มันช่วยกันจริง ๆ” กับภาพลักษณ์อินดี้ ป๊อปอธิบายว่า “อินดี้แปลว่า independent จริง ๆ ไม่อยากอินดี้หรอกนะ เดี๋ยวไม่มีใครเอา เอาอย่างนี้ ติสท์ก็แปลว่า artist คือมีความคิดของตัวเองที่ชัดเจน รู้ว่าจะเดินไปทางไหน อย่างนั้น ติสท์ อินดี้ ก็แปลว่าอาร์ทิสต์ที่อินดิเพนเดนท์ คนที่ทำอะไรเป็นอิสระ ชัดเจน” มาพูดถึงหนุ่ม ๆ ของป๊อปมั่งดีกว่า ป๊อปบอกว่าผ่านจุดสวย ๆ หล่อ ๆ มาแล้ว เหมือนขนมเค้กหน้าตาดูดีแต่รสชาติแห้ง กับเค้กกล้วยหอมที่หน้าตาธรรมดาแต่รสชาติ นุ่ม อร่อย เธอก็พร้อมจะเลือกเค้กกล้วยหอม เธอเลือกที่รสชาติมากกว่าหน้าตา ป๊อปยังแย้มว่าผู้ชายของป๊อปไม่ใช่มีปากแค่พูดว่า “อะไรก็ได้ตามใจเธอ” แต่จะต้องมีลูกล่อลูกชน โต้ตอบกันได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องมีกึ๋นถึงจะไปกันได้กับคนสวยมีสมองอย่างเธอ...!!.

Monday, 13 August 2007

The Brave One


บทสัมภาษณ์ นีล จอร์แดน (ผู้กำกับการแสดง)

ภาพยนตร์เรื่อง The Brave One
คำถาม: จุดไหนในภาพยนตร์เรื่อง The Brave One ที่เป็นผลสะท้อนทำให้คุณอยากจะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นภาพยนตร์?นีล : ครับ มันเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกเพราะโดยปกติแล้วผมจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมเขียนเรื่องเอง และอย่างจริงใจไปเลยนะ ผมมีหนังอยู่เรื่องหนึ่งแล้วที่ผมชอบแต่มีคนส่งบทเรื่องนี้เข้ามาทางไปรษณีย์ซึ่งธรรมดาแล้วผมจะไม่อ่านเรื่องที่ส่งเข้ามาแบบนี้ แต่ผมก็อ่านมันแล้วมันก็ตรงใจ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ตรงไปตรงมามากมันเป็นหนังของเมืองนิวยอร์ค แต่จะมีบางอย่างที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับครั้งแรกที่เอริก้าต้องยิงใครโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพสะท้อนของเธอในตอนนั้นตอนที่เธอเริ่มพูดเกี่ยวกับคนแปลกหน้าที่อยู่ในตัวเธอ ผมพบว่ามันมีบางอย่างที่คั่งแค้น เป็นธรรมดาและเป็นความโหดร้ายเอามาก ๆ เกี่ยวกับทุกอย่างเพราะงั้นผมถึงได้อ่านมันซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพราะผมไม่ไว้ใจในเสียงตอบรับของตัวเองกับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ในบางครั้งอาจเป็นเพราะคุณจะต้องเจอปัญหามากมายกับมัน ผมได้อ่านมันอีกรอบแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันน่าสนใจ ผมให้ภรรยาของผมช่วยดูด้วย ผมบอกกับเธอว่า อ่านนี่หน่อย ผมไม่ค่อยแน่ใจเพราะมันเป็นหนังแบบของชาวอเมริกันและมันไม่ใช่ผม แล้วเธอก็อ่าน เธอบอกกับผมว่าเธอเห็นว่ามันมีความน่าสนใจเหมือน ๆ กัน และผมก็ต้องอ่านมันซ้ำอีกก่อนที่จะพูดคุยกับโจเอล ซิลเวอร์กับโจดี้แล้วก็ทุก ๆ คน ผมหมายถึงเราต้องแสดงความเชื่อมั่นในการที่จะเลือกงานในรูปแบบนี้และผมก็ทำมันโดยมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แต่เป็นโลกของการทำหนังที่ผมรักเกี่ยวกับความเป็นอเมริกาซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ดอน ซีเกิ้ลได้ทำ บรรดาเรื่องราวที่ปลอกเปลือกลงที่จุดใหญ่ใจความของเนื้อเรื่องที่คุณจะได้เห็นเกี่ยวกับชีวิตในชนบทที่นี่ซึ่งผมชอบนะและนี่และคือความเป็นมันที่แท้จริงสำหรับผม
คำถาม: มันเป็นอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมทำงานกับโจดี้ และเธอทำอะไรให้เกิดขึ้นกับตัวละครตัวนี้บ้าง?นีล : ผมคิดว่าตัวละครตัวนี้นำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ธรรมดาออกมาจากความเป็นตัวของเธอ ผมรู้จักกับโจดี้มาหลายปีเพราะเราได้พูดคุยกัน ผมคิดว่าเมื่อสัก 15 ปีที่แล้วมาเห็นจะได้ที่เราคุยว่าจะทำงานกัน เธอมีบริษัทของเธอในตอนนั้นและมีบทภาพยนตร์ที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยที่เธอก็สนใจ จากนั้นเราก็ได้พูดคุยกันบ่อยครั้งแต่เราก็ยังไม่ได้โอกาสทำงานร่วมกันสักที เพราะงั้นมันเป็นส่วนหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเรื่องนี้ ในนาทีแรกที่ผมคิดถึงเธอให้มารับบทบาทนี้ มันก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความน่าสนใจที่บ้าคลั่งเอาทีเดียว เวทย์มนต์แม่มดที่จะกลั่นส่วนผสมออกมาได้ ผมหมายถึงว่าผมคิดว่าโจดี้เป็นเสมือนสมบัติที่มีค่าของชาวอเมริกัน ที่จริงแล้วเธอเป็นเหมือนสัญลักษณ์นะ เธอเข้าวงการแสดงตั้งแต่เธออายุแค่ 6 ขวบ เธอโตมากับวงการนี้เลยทีเดียวและภาพยนตร์ทำนองนี้ก็เติบโตขึ้นมากับเธอ ทั้งยังเป็นการได้ทำงานกับใครสักคนที่ทำหนังของตัวเองได้ เพราะงั้นเธอจึงมีความเข้าถึงและเข้าใจ เธอเป็นความปลื้มปิติจากการลอยตัวของขั้นตอนทั้งหมดทั้งปวงทีเดียวล่ะ คำถาม: คุณช่วยอธิบายการที่ตัวละครต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงตัวเองในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไหม?นีล : ตอนที่ผมได้พูดคุยกับโจดี้ เราสรุปกันว่ามันจะเป็นอะไรที่เธอจะต้องรู้สึกถูกครอบงำจากเสียงซึ่งมันก็ดีอยู่แล้วเพราะผมชอบตอนที่ตัวละครเดินเรื่องนั้นมันเหมือนเป็นศูนย์กลางทางความคิดทั้งหมดทั้งปวงในทางหนึ่ง โดยจะไม่มีความน่าติดตามจากความเป็นจริงที่ว่าเธอนั้นเกือบจะอัดเสียงตัวเองเข้าไป และสิ่งนี้ที่ชาวอังกฤษจะเรียกกันว่าเป็นเทรนสปอตเตอร์ – คนที่ถูกครอบงำจากสิ่งนี้จนเกือบที่จะไร้สมอง เพราะงั้นคุณจะมีบุคคลิกภาพของตัวละครที่ถูกครอบงำอย่างน่าอัศจรรย์และการถูกครอบงำนี้จะถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและร้ายแรงกว่ามากมายนัก เพราะงั้นมันจะกลายเป็นทั้งมีความสมจริงและความน่าสนใจในเวลาเดียวกัน
คำถาม: คุณได้ทำเทคนิคอะไรกับเสียงที่จะสะท้อนให้เห็นสิ่งนั้นหรือเปล่า?นีล : แน่นอน เยอะมาก ผมหมายถึงว่าเสียงนั้นมีความสำคัญมากในหนังเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่น ๆ ที่ผมได้เคยทำมาเพราะเธออัดเสียงต่างๆ เองและได้หลายอย่างจากการเปิดมันขึ้นมา มันยังเป็นความคิดที่จะอัดเสียงการเดินทางของเธอและอัดเสียงการฆาตกรรมของเธอเพราะพวกมันเป็นการฆาตกรรมจริง ๆ - เป็นการอัดเสียงการลงมือฆ่าคนของเธอ เพราะผู้คนที่ทำเรื่องเหล่านี้พวกเขามีแรงกระตุ้นที่จะเก็บมันไว้เป็นสถิติเพราะงั้นถือเป็นแรงจูงใจ พวกเรามีความสุขที่ได้ทำหนัง แต่เป็นความตื่นเต้นที่ได้เห็นความสมเหตุสมผลมากกว่าความคิดจากภายในของหญิงสาวฐานะปานกลางที่ต้องผ่านการเดินทางอย่างที่คลิ้นท์ อีสต์วูดเคยได้ผ่าน มันเป็นความเร้าใจ ผมรู้ว่ามันจะจบลงอย่างไรที่เป็นเนื้อเรื่อง ผมไม่แน่ใจว่าสีสรรค์ของตัวละครจะมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของการแก้แค้นและผมคิดว่าความซับซ้อนของเรื่องเกี่ยวกับการที่ส่วนหนึ่งของความเป็นเราอยากจะทำสิ่งเหล่านี้ ส่วนหนึ่งของเราเมื่อเราทำความผิดต้องการจะทำเรื่องราวโหดร้ายโดยสัญชาตญาณเพื่อเราจะแก้ไขให้มันถูกต้องโดยทันที แต่เราไม่ทำแบบนั้นเพราะความเป็นอารยะชนสอนเราว่าเราทำมันไม่ได้ เพราะงั้นการที่เราได้เห็นใครสักคนที่จะยอมทำตามความดิบที่มีอยู่ในตัวทางด้านความน่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นความสะใจในเวลาเดียวกัน
คำถาม: โจดี้อธิบาย ตัวละครที่เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดแสดงว่าเป็นคนดีคนสุดท้าย คุณเห็นด้วยหรือเปล่า ?นีล : แน่นอนเลยครับ ผมหมายถึงว่า เทอร์เรนซ์เป็นตัวแทนของตำรวจของนิวยอร์ค พวกเขาดูเหมือนว่าจะมีจริยะธรรมเอามาก ๆ จากที่ผมค้นคว้ามานะ ผมคิดว่าในประเทศอื่น ๆ คุณจะไม่มีความคิดของคนดีและคนเลวจากสีขาวและสีดำรวมทั้งเลวและดี และสิ่งที่ผมชมชอบเกี่ยวกับตัวละครทั้งสองตัวนี้คือการที่เขาทั้งสองต้องเข้ามาอยู่ในส่วนที่เป็นสีเทาด้วยตัวของพวกเขาเอง ผมหมายถึงตัวละครเอริก้าที่โจดี้แสดงนะ มันจะกลายเป็นเหมือนเตาหลอมของสีเทา และตัวละครเมอร์เซอร์ที่เทอร์เรนซ์แสดงเขาเป็นใครสักคนที่เคร่งครัดกับด้านผิดและด้านถูกคนเลวและคนดีว่าจะต้องอยู่กันคนละด้านและความเคร่งครัดนี้เกือบจะเอาชีวิตของเขาทีเดียว เพราะงั้นมันจะเป็น dichotomy เพราะหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวกับจิตใจและนี่คือเหตุผลที่ผมอยากจะทำมันออกมา มันค่อนข้างเกี่ยวโยงกับปัญหาด้านความขลาดในจิตใจอีกด้วยนะ
คำถาม: คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับการร่วมงานกับ เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดในฐานะนักแสดง อะไรที่คุณคิดว่าเขาเป็นคนที่ใช่ที่จะมารับบทบาทของเมอร์เซอร์?นีล : เทอร์เรนซ์เหรอ สิ่งแรกที่ทำให้ผมคิดคือตอนที่ผมได้ดูเรื่อง Hustle & Flow ผมได้เห็นผลงานของเขามาก่อนแต่ไม่เคยมีความคิดว่าเขาจะเป็นใครสักคนที่ใช่ที่จะมารับบทบาทตัวนำของเรื่อง เขาเป็นคนพิเศษ เขามีความรู้สึกของคนที่ชอบพนันขันต่ออย่างไม่มีใครเหมือน ผมหมายถึงว่าหน้าของเขาจะมีแววของความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา จริง ๆ นะ และเขาก็มีร่างกายที่ดูดี อย่างเดียวที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรัลเทอร์เรนซ์นั้นก็คือการทำให้เขาดูเลวและพยายามที่จะทำให้เขาดูมอมแมม เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเอาเสื้อสูทที่ดูแย่ที่สุดในโลกให้เขาสวม ก็ยังทำให้เขาดูเหมือนวาเลนติโนอยู่ดี แต่เขาเป็นนักแสดงที่สามารถอย่างไม่น่าเชื่อและหุ่นก็ยังดูดีเขายังเป็นคนที่ทำให้ผมนึกถึงมาร์ลอนแบรนโดทีเดียว ผมคิดว่าเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เทอร์เรนซ์เยี่ยมจริง ๆ และพวกเขาก็เป็นตัวละครที่มีความแตกต่างกัน ถึงจะเป็นเวลาที่พวกเขาต้องแสดงร่วมกันมุมมองของการแสดงก็ยังมาจากที่ ๆ แตกต่างกันอีกด้วย เพราะงั้นในฐานะของผู้กำกับการแสดงมันเป็นความน่าสนใจที่จะได้สังเกตุและดูแลเรื่องทั้งหมดทั้งปวงนี้
คำถาม: คุณเห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีรูปแบบของความเป็น Noir บ้างไหม ?นีล : ผมไม่ชอบคำว่า Noir นะ ผมชมชอบหนังหลายเรื่องที่เรียกตัวเองว่า Noir คุณเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไรใช่ไหม? ผมไม่ชอบหนังที่พยายามที่จะเป็น Noir ผมไม่ชอบหนังสีที่พยายามจะรวบรวมความรู้สึกของภาพดำและขาวเอาไว้ ถ้าผู้คนเรียกหนังประเภทนี้ว่าเป็น Noir มันจะต้องเป็นเพราะว่ามันมีความเป็น Noir มันจะต้องเกี่ยวกับสถานที่ดำมืดที่ไม่มีใครอยากจะไปที่นั่น มันจะต้องเกี่ยวกันเมืองที่แน่นอนว่ามีหนังหลายต่อหลายเรื่องที่เรียกตัวเองว่าเป็น หนัง Noir ในนิวยอร์ค แต่อันที่จริงแล้วหนังที่เรากำลังทำกันอยู่เป็นหนังสี เชื่อผมเถอะว่ามันเป็นความลานตาของสี ผมเห็นว่ามันเป็นฝันร้ายที่สีสดใสจริง ๆ นะ – ทั้งแสงและสีต่าง ๆ ที่ระเบิดกันเข้ามา; แสงอาทิตย์ก็ร้อนเกินไปและเงาดำก็ดูมืดทึมเกินไป เพราะงั้นถ้ามันเป็นหนัง Noir มันจะดูเป็นหนังประเภทนี้ที่แตกต่างไปอย่างมากในที่สุดแล้วนะ
คำถาม: คุณรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถ่ายทำในนิวยอร์คสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้?นีล : มันยอดเยี่ยมมาก และมันก็เป็นสถานที่ ๆ เต็มไปด้วยเส้นสาย ที่หนึ่งที่ผมเคยได้ทำงานมา ผมเคยทำหนังหนึ่งหรือสองเรื่องในอเมริกามาก่อนแต่ผมไม่เคยต้องอยู่ในแวดวงที่เส้นสายจะดูเป็นดราม่า ไม่ว่ามันจะเป็นแนวนอนหรือแนวตั้งก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายได้ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไรจริง ๆ แล้ว แต่มันจะมีความสุขในความเคลื่อนไหวที่ไม่น่าเชื่อแค่ตั้งกล้องที่ไหนก็ได้ที่นี่ นั่นคงจะเป็นเพราะสถานที่ถ่ายทำที่พวกเราเลือกนั้นเราเลือกกันอย่างระมัดระวัง จะมีความรู้สึกของความเป็นอเมริกา มันเป็นหนังอเมริกันเอามาก ๆ ผมบอกแบบนี้ก็แล้วกัน และผมก็หมายถึงในทางที่มองเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ชมได้ดูมัน พวกเขาก็จะเข้าใจได้
คำถาม: อะไรที่เป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับคุณในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้?นีล : พวกเขาส่งบทภาพยนตร์มาให้ผมและเขาอยากจะให้ผมทำมันขึ้นมาเอง ผมก็แค่ปรับเปลี่ยนฉากไปบ้าง และมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ผมประหลาดใจกับความเต็มเปี่ยมของทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ผมบอกอย่างนั้นดีกว่า ผมประหลาดใจกับการที่มันมีผลกับชีวิตในทางที่อาจจะเป็นเรื่องโชคหรืออาจจะเป็นเรื่องที่เราวางแผนมาดีก็ได้
คำถาม: คุณมีความรู้สึกอย่างไรเป็นส่วนตัวกับเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้?นีล : หนังของผมจะเป็นประเภทเข้าใจยากเป็นเรื่องราวสอนใจใช่ไหมครับ? หนังพวกนั้นจะค่อนข้างมืดไปสักหน่อย ผมจะชอบบรรดาตัวละครที่ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับหลายสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ ผมชอบตัวละครที่เผชิญหน้าระหว่างความมืดกับความสว่าง ผมจะชมชอบกับตัวละครที่ก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นของจริยธรรมเมื่อตอนที่พวกเขาจะต้องถามปัญหานี้กับจิตใจของตัวเอง ผมชอบประเภทที่กลางคืนจะสั้น ผมจะทำหนังคอมมิดี้ได้ไม่ดี และผมจะชำนาญมากกว่ากับความโหดร้าย เพราะงั้นผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีครบทุกรส และผมก็คิดว่ามันก็ยังไม่เท่าที่มันควรจะเป็นนะเพราะผมหมายถึงว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผมเขียนขึ้นมาเอง อย่างที่โจดี้พูดกับผมในตอนต้นว่า บางครั้งคุณทำสิ่งเหล่านี้แต่คุณกลับไปจบลงด้วยการทำอะไรบางอย่างที่คุณจะไม่เคยทำมาก่อนเลยและคุณก็นำเสนออีกส่วนหนึ่งของคุณที่แตกต่างออกไป เพราะงั้นมันเป็นความน่าสนใจเอามาก ๆ เพราะมันมีวัตถุประสงค์ ผมคิดว่าถ้าผมต้องเขียนเรื่องของผมขึ้นมาเอง อย่างเรื่อง The Crying Game หรือเรื่อง Breakfast on Pluto หรืออย่างเรื่อง Michael Collins มันจะมีสิ่งที่ทำให้ผมพอใจและผมก็พบว่ามันเร้าใจแต่อาจจะไม่ประทับใจกับคนทั้งโลกอย่างที่ผมรู้สึกก็เป็นได้ ในขณะที่คนหนึ่งเลือกเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมามันจะมีจุดประสงค์นะผมคิดว่า มันจะมีความกว้างที่อาจจะไม่ใช่เพียงแต่จะมาจากเรื่องราวที่เป็นส่วนตัวเท่านั้น
(7/31/2007 11:22:54 PM)

พระเอกเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา

บทประพันธ์ : ภูริทัตตา บทโทรทัศน์ : ปิยพร วายุภาพ กำกับการแสดง : ศุภฌา ครุฑนาค ดำเนินการผลิต : เมกเกอร์ เจ กรุ๊ป
ปรางค์กำลังช่วยปรายอดีตนางเอกลิเกผู้เป็นแม่แต่งองค์ทรงเครื่องชุดลิเกโดยมีกระปุกน้องสาวคนเล็กวัย 7 ขวบคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ อดีตปราย คือ ดาวประจำคณะลิเก แต่เพราะปัญหาชีวิตที่รุมเร้าหลังจากสามีตาย ปรายกลายเป็นคนติดเหล้า จนปรางค์ต้องรับหน้าที่เป็นทั้งแม่และพี่สาวให้กับน้องๆ แม้ว่าปรางค์จะขอร้องปรายอยู่หลายครั้งให้ปรายเลิกเหล้า แต่ปรายก็ไม่เคยทำได้สักที แต่ถึงอย่างนั้นเวลาปรายไม่เมา ปรายก็เป็นแม่ที่น่ารักและรักลูกมาก ทำให้ลูกๆ รักปรายและไม่เคยถือสาที่ปรายเป็นแบบนี้
บุญส่งเจ้าของคณะลิเกก็เรียกปรางค์ให้แต่งตัวเป็นสนม เพราะตัวแสดงขาด ปรางค์จึงรีบแต่งตัวด้วยความดีใจ ที่จะได้เงินค่าตัวสำหรับเป็นค่าอาหารมื้อเย็นในวันนี้ ส่วนปรายกลับออกไปแสดงลิเกทั้งที่ยังเมา ทำให้ชาวบ้านที่มาดูพากันไม่พอใจ รวมถึงบุญส่งด้วย จนกระทั่งกระปุกวิ่งเข้ามาหาปรางค์ด้วยความตกใจบอกว่าปกป้องน้องคนที่สองของปรางค์ ถูกนักเลงรุมทำร้ายหลังวัด ทำให้ปรางค์ต้องรีบไปช่วยปกป้อง ปรางค์และกระปุกต้องประคองปกป้องกลับเข้ามาหาปรายที่หลังโรงลิเก เมื่อกลับถึงบ้านปรายคาดคั้นถึงได้รู้ว่า ป้องไปแทงสนุกเกอร์ จนเกิดมีเรื่องมีราวกับนักเลง มีอยู่วันหนึ่งทุกคนกลับบ้านพบว่าเจ้าหนี้ของป้องกำลังค้นบ้านเพื่อเอาของไปใช้แทนหนี้ที่ป้องติดไว้ ปรายโมโหมากด้วยความเมาปรายจึงทุบตีป้องจนป้องโกรธ และหนีออกจากบ้านไป ปรางค์ห่วงแม่จึงตัดสินใจเอาเรื่องนี้ไปปรึกษานำโชคพระรองลิเกในคณะ ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของบุญส่ง นำโชคซึ่งหลงรักปรางค์มานานแล้ว จึงตัดสินใจรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดที่มีมาให้ปรางค์เพื่อให้ปรายเอาไปใช้หนี้
ขณะเดียวกัน ป้องหนีไปอยู่กับเพื่อนชื่อปื๊ดที่โดนไล่ออกจากโรงเรียน เลยชวนป้องเข้ากรุงเทพ ปรางค์ตามหาป้องจนมาเจอเพื่อนป้อง และได้รู้ว่าป้องหนีไปกรุงเทพกับปื๊ด บุญส่งทราบจึงย่องไปหาปรางค์ ขณะเดียวกันปรายกลับถึงบ้านเห็นบุญส่งกำลังจะข่มขืนปรางค์ ด้วยความโมโห ปรายใช้มีดแทงบุญส่ง ทำให้ปราย ปรางค์และกระปุก ตัดสินใจเก็บข้าวของเดินทางไปกรุงเทพ เมื่อปราย ปรางค์และ กระปุก มาถึงกรุงเทพฯก็โดนหลอกเอาเงินก้อนสุดท้ายไปหมด ปรางค์ตัดสินใจไปสมัครเป็นคนล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่อแลกก๋วยเตี๋ยวให้แม่กับน้องประทังความหิว แต่เพราะปรางค์มีหน้าตาสวยเลยทำให้ถูกลูกค้าลวนลามเลยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับลูกค้าจนถูกจับไปที่โรงพัก ขณะเดียวกันศรุตชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้กำกับโฆษณาชื่อดังและเป็นหุ้นส่วนบริษัทโฆษณาบารมี สตูดิโอ มาแจ้งความเรื่องที่รถโดนชนพร้อมกับณัฐฐาลูกสาวของบารมีเจ้าของบริษัทที่ศรุตทำงานอยู่ โดยมีแม่คือนฤมล เมื่อปรายเห็นหน้าณัฐฐาก็มีความรู้สึกแปลกเพราะณัฐฐามีอะไรบางอย่างคล้ายบารมี ทำให้ปรายนึกไปถึง เมื่อ20 ปีก่อน ที่ปรายกับบารมีรักกันและได้เสียกันจนปรายตั้งท้อง ปรายบอกเรื่องนี้กับบารมีจนเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณหญิงเพ็ญศรีแม่ของบารมี คุณหญิงเพ็ญศรีเลยใช้เงินฟาดหัวปรายให้ปรายไปทำแท้ง
ปรายจำเป็นต้องรับเงินมาเพราะในตอนนั้น ยายของปรายป่วยหนักจำเป็นต้องหาเงินมารักษายาย หลังจากนั้น บารมีก็ถูกส่งไปเรียนต่อเมืองนอก และไม่ได้ติดต่อกับปรายอีกเลย เมื่อปรายเริ่มท้องแก่ ทางวิทยาลัยจับได้จึงไล่ปรายออก ต่อมาปรายจึงตัดสินใจแต่งงานกับจักร ซึ่งมีอาชีพเป็นคนขับรถรับจ้าง แต่เพราะจักรหลงรักปรายมานานและยินดีรับลูกในท้องของปรายเป็นลูก ปรายจึงยินยอมตกลงปลงใจกับจักรในที่สุด จนมีลูกอีก2คน คือปกป้องและ กระปุก เมื่อศรุตพบกับปรางค์ก็รู้สึกประทับใจในความสวยของปรางค์รวมถึงความกตัญญูที่มีต่อแม่ ศรุตเห็นปรางค์และกระปุกกำลังลำบากเลยอาสาจ่ายเงินค่าปรับแทนปราย และยังให้เงินกระปุกไว้ซื้อข้าวกิน แต่ปรางค์ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณศรุต ศรุตจึงให้นามบัตรกับปรางค์ไว้บอกว่าถ้าปรางค์พร้อมจะคืนเงิน ให้มาหาเขาที่นี่ ก่อนที่ณัฐฐาจะดึงตัวศรุตออกไปด้วยความหึง ด้านป้องและปื๊ดสมัครไปทำงานเป็นช่างซ่อมรถที่อู่ ทำให้ป้องได้รู้จักกับใหญ่เจ้าของอู่ที่เบื้องหลังแอบรับแยกชิ้นส่วนรถที่ขโมยมาแล้วส่งไปขายต่างประเทศ ใหญ่สนใจรถสปอร์ตคันใหม่ของบารมีจึงให้ลูกน้องตาม เพื่อหวังจะฆ่าชิงรถ แต่ปรางค์ ปราย กระปุก เห็นเข้าจึงร้องเรียกให้คนช่วย เมื่อบารมีพบหน้าปรายครั้งแรกก็ตื่นเต้นดีใจ เพราะเป็นเวลา20ปีแล้วที่เขาและปรายไม่ได้พบกัน
ปรางค์รู้สึกแปลกใจที่แม่ไม่เคยพูดถึงผู้ชายคนนี้เลย ปรายตัดสินใจบอกความจริงกับบารมีว่าปรางค์คือลูกสาวของเขา บารมีดีใจมากจะรับตัวปรายปรางค์ รวมถึงกระปุกเข้าไปอยู่ที่บ้าน แต่ปรางค์บอกอยากเอาเงินส่วนหนึ่งไปคืนกับศรุต ขณะที่ปรางค์มาหาศรุตที่บริษัท ณัฐฐาขับรถผ่านมาเห็นจึงเข้าไปตบปรางค์ด้วยความหึง ปรางค์จึงคืนเงินให้ศรุตแล้วกลับบ้านไป ทิ้งให้ศรุตรู้สึกผิด
ในเวลานั้นเองคนงานชายคนหนึ่งรู้เข้า เลยแอบตามปรายไปที่บ้านพัก แล้วข่มขืนปรายก่อนจะขโมยเงินไปแล้วหนีไปในที่สุด ปรางค์กลับถึงบ้านเห็นคนงานพากันมามุงที่หน้าบ้านพัก และเห็นกระปุกนั่งร้องไห้กอดปราย ปรางค์เสียใจมาก จึงพาปรายและน้องออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ปรางค์พาปรายและกระปุก มาเช่าบ้านหลังหนึ่ง หลังจากนั้นปรางค์ก็ไปสมัครงานเป็นพนักงานเสริฟที่ร้านอาหาร ปรายสงสัยว่าทำไมปรางค์ถึงยังมาทำงานแต่ไม่ไปอยู่กับบารมี ปรางค์จึงเล่าเรื่องที่เธอไปพบคุณหญิงเพ็ญศรีและนฤมลที่บริษัทของบารมี บารมีนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับศรุต ศรุตจึงรับปากว่าจะช่วยดูแลปราย และลูกๆให้ รุ่งขึ้นศรุตไปที่บ้านพักคนงานเพื่อถามหาปรายและลูกๆ แต่ทราบเรื่องที่ปรายถูกคนงานข่มขืนและขโมยเงินไปจนหมดอีกด้วยศรุตรู้เรื่องจึงรีบบอกบารมี หลังจากปรางค์กลับมาจากที่ทำงานพบกระปุกไม่สบายมากจึงตัดสินใจไปหาบารมี แต่ศรุตเห็นจึงรีบช่วยเหลือพากระปุกไปโรงพยาบาล จนได้รู้ว่ากระปุกป่วยเป็นไข้สมองอักเสบ ศรุตเห็นปรางค์ทุกข์ใจ เลยยื่นข้อเสนอว่า จะช่วยหางานให้ปรางค์ โดยให้มาทำงานที่บริษัทเดียวกับเขา วันแรกที่ปรางค์มาทำงานก็ได้พบกับณัฐฐา ณัฐฐาโกรธมากที่ศรุตรับปรางค์เข้ามาทำงาน เลยหาเรื่องแกล้งปรางค์ แต่แล้วบารมีมาพบเข้าเลยบอกให้ณัฐฐารู้ว่า ปรางค์คือพี่สาวต่างมารดาของณัฐฐาเอง ณัฐฐาแกล้งปรางค์เมื่อมีงานถ่ายโฆษณาบนเกาะแห่งหนึ่ง ณัฐฐาถือโอกาสแกล้งปรางค์โดยทิ้งปรางค์ไว้บนเกาะคนเดียว เมื่อศรุตรู้เรื่องว่าปรางค์ถูกทิ้งไว้บนเกาะก็ขับเรือไปช่วยปรางค์ แต่พายุหนักทำให้ทั้งคู่ติดอยู่บนเกาะด้วยกัน ศรุตดูแลปรางค์ที่เป็นไข้ จนทำให้ปรางค์รู้สึกดีกับศรุต
ขณะที่ศรุตเองก็เริ่มรู้สึกชอบปรางค์เช่นกัน เมื่อบารมีรู้เรื่องว่าณัฐฐากลั่นแกล้งปรางค์ก็โมโหมาก เพ็ญศรีเห็นว่า ยิ่งผลักปรายและลูกออกจากชีวิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้บารมีสนใจพวกนั้นมากขึ้นเท่านั้นเลย เลยบอกให้บารมีพาทุกคนอยู่ในบ้าน แต่เพ็ญศรีกลับแกล้งให้ปรายและลูก ๆ ไปอยู่เรือนคนใช้ และให้ทำงานเยี่ยงคนใช้ในบ้าน บารมีเสียใจที่ทำให้ปรายและลูกลำบาก แต่ปรายยืนยันจะอยู่ที่นี่เพราะหวังว่าเพ็ญศรีจะใจอ่อนและยอมรับในตัวเธอสักวัน ด้านนำโชคออกจากคณะลิเกมากรุงเทพฯเพราะเจอบุญส่งแกล้ง และได้ไปสมัครเป็นนักร้องตามคาเฟ่ นำโชคพบโจรวิ่งราวและโจรวิ่งราวคือปกป้อง นำโชคเอากระเป๋ามาคืนเจ้าของกระเป๋า และตกใจที่เห็นปกป้องเปลี่ยนมากขนาดนี้ นำโชคตามป้องไปจนได้รู้ว่า ป้องติดการพนันอย่างหนัก อีกทั้งในตอนนี้เขาเริ่มหันมาเสพยาตามเพื่อนอีกด้วย ขณะที่นำโชคเมื่อเป็นนักร้องในคาเฟ่ได้ไม่นาน เขาก็มีโอกาสได้เป็นนักร้องลูกทุ่งและออกอัลบั้มของตัวเอง นำโชคจึงตัดสินใจกลับไปรับจำปามาอยู่ด้วย เมื่อกลับไปบ้าน เขาจึงได้รู้ว่าจำปาป่วยหนักแต่บุญส่งไม่เคยสนใจ ปล่อยให้จำปานอนซมนำโชคจึงพาจำปามาอยู่ที่กรุงเทพ ขณะที่ปรางค์เมื่อได้รู้ว่านำโชคเป็นนักร้องก็ไปหานำโชคที่ค่ายเทป นำโชคดีใจมากที่พบปรางค์ และเมื่อได้ฟังปรางค์เล่าถึงเรื่องที่ผ่านมาทำให้นำโชครู้สึกเป็นห่วงปรางค์จึงชวนปรางค์ไปอยู่ด้วย แต่เพราะลึกๆแล้วปรางค์ยังอยากทำงานกับศรุต และอยากอยู่ใกล้บารมี ทำให้ปรางค์ปฏิเสธนำโชคไป แต่ถึงอย่างนั้นนำโชคก็ยังหมั่นมาหาปรางค์อยู่เสมอ จนทำให้ศรุตเริ่มรู้สึกหึง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่มีการแคสนักแสดงหนังโฆษณา ลูกค้าของบริษัทบารมี เห็นปรางค์ก็ชอบใจเลยตัดสินใจให้ปรางค์มาเล่นหนังโฆษณาชิ้นนี้ ณัฐฐาไม่พอใจมากแต่เพราะเป็นลูกค้ารายใหญ่ทำให้ไม่สามารถขัดได้ ศรุตและบารมีจึงขอให้ปรางค์มาเป็นนางเอกหนังโฆษณาให้ เมื่อหนังโฆษณาออกฉาย ทำให้ปรางค์เริ่มมีงานถ่ายแฟชั่น มีงานโฆษณาตามามากขึ้นเรื่อยๆและในที่สุด บริษัทหนังแห่งหนึ่งก็ทาบทามปรางค์ให้มาเป็นนางเอกหนัง ขณะเดียวกันป้องเมื่อเห็นปรางค์มีชื่อเสียงก็กลับมาหาปรางค์ ทำให้ปราย ปรางค์ และกระปุกดีใจมาก ที่จะได้กลับมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวเหมือนเดิมปรางค์มาขออนุญาตบารมีย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเอง เพราะเกรงใจที่ป้องจะมาอยู่ด้วยอีกคน แต่บารมีไม่อยากให้ปรางค์ย้ายออกไป เพราะตอนนี้เพ็ญศรีเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ จึงอยากให้ปรางค์และปรายช่วยดูแล เนื่องจากนฤมลและณัฐฐา ห่วงแต่การออกงานสังคม จึงไม่สนใจที่จะดูแลเพ็ญศรี มีอยู่วันหนึ่งป้องเกิดอาการเสี้ยนยา ทำให้ปราย ปรางค์และกระปุกตกใจมาก ปรายพยายามจับป้อมมัดไว้เพื่อให้อดยา แต่ป้องอาละวาดหนัก ศรุตจึงพาป้องไปรักษาที่โรงพยาบาลและช่วยปรางค์ทำธุระทุกอย่าง ซึ่งยิ่งทำให้ณัฐฐาไม่พอใจที่ศรุต เพราะความอิจฉาณัฐฐาจึงให้ข่าวกับนักข่าวเพื่อแฉปรางค์ว่ามีกำพืดอย่างไร ทำให้ปรางค์ถูกแบนงานจนหมด มิหนำซ้ำยังวางแผนแกล้งให้นำโชคและณัฐฐามาเจอกันที่ห้องพักในโรงแรม จากนั้นก็ให้นักข่าวมาดักถ่ายรูปทั้งสองคนไว้
รุ่งขึ้น ข่าวหนังสือพิมพ์บันเทิงพาดหัวทันทีถึงเรื่องที่นำโชคและปรางค์ไปมีอะไรกันที่โรงแรม ทำให้ศรุตเสียใจมาก ยิ่งทำให้ณัฐฐาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าศรุตรักปรางค์มากถึงเพียงนี้ แต่ในที่สุดแล้วทั้งนำโชคและปรางค์จัดแถลงข่าวกับนักข่าวว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่โตด้วยกันมา และไม่เคยทำอะไรเสื่อมเสียแบบนั้น จนกระทั่งเรื่องราวคลี่คลายไปด้วยดี คืนหนึ่งณัฐฐาไปเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่งได้เจอกับใหญ่ ณัฐฐาเห็นว่าใหญ่สนใจเธอจึงยอมตามใหญ่ไปที่คอนโดจนกระทั่งทั้งสองคนได้เสียกัน ใหญ่รับปากว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ แต่ต่อมาเขากลับแบล็คเมล์ณัฐฐาในภายหลัง ทำให้ณัฐฐาต้องยอมจ่ายเงินให้ใหญ่เพื่อแลกกับคลิปวีดีโอที่ใหญ่ถ่ายเก็บไว้ ขณะเดียวกันป้องหนีออกจากโรงพยาบาลเพราะทนเสี้ยนยาไม่ไหว จนต้องซมซานกลับไปหาใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ใหญ่ใช้ให้ป้องเป็นเด็กส่งยาจนป้องถอนตัวไม่ขึ้นจากยาเสพติด ด้านนฤมลพยายามบีบให้ปราย และลูกออกไปจากบ้าน แต่เพราะปรายเห็นแก่เพ็ญศรีที่กำลังป่วยเลยอยากอยู่ดูแลจนถึงที่สุด ต่อมาณัฐฐาเกิดอาการแพ้ท้องเมื่อไปตรวจจึงรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ก็กลุ้มใจมาก จึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยหลอกศรุตไปมอมเหล้าและให้ใหญ่ช่วยจัดฉากให้เหมือนกับว่าศรุตได้เสียกับเธอ ทำให้ศรุตต้องยอมรับผิดชอบณัฐฐา โดยยินดีหมั้นกับณัฐฐาไว้ก่อน และเมื่อณัฐฐาเรียนจบเขาจะขอแต่งงานทันที ขณะที่ปรางค์เมื่อได้รู้ว่าศรุตจะหมั้นกับณัฐฐาก็รู้สึกเสียใจมากส่วนนำโชคตัดสินใจขอปรางค์เป็นแฟน ปรางค์ต้องการจะลบความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนำโชค จึงยอมเป็นแฟนกับนำโชค
ปรายยังคงอยู่ในบ้านบารมีและช่วยกันดูแลเพ็ญศรีจนอาการดีขึ้น ขณะที่ปรายกลับป่วยมากขึ้น และเมื่อไปตรวจเธอจึงได้รู้ว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ปรายปิดบังความจริงไม่ให้ปรางค์รู้โดยอาศัยมอร์ฟีนบรรเทาอาการปวดของตัวเอง ต่อมาเพ็ญศรีเห็นว่าปรายป่วยแต่ก็ยังมาดูแลเธอ จึงทำให้เธอเริ่มใจอ่อนหันมาเอ็นดูทั้ง3แม่ลูก ทำให้นฤมลไม่พอใจ และหาทางขับไล่3แม่ลูกออกจากบ้าน จนปรางค์ต้องยอมพาแม่และน้องออกจากบ้านไป แต่คราวนี้เพ็ญศรีกลับบอกให้บารมีหาที่อยู่ใหม่ให้ปรายและลูก และให้หมั่นไปคอยดูแลปรายที่กำลังป่วย ซึ่งสร้างความเจ็บใจให้นฤมลเป็นที่สุด
ตลอดเวลาที่ศรุตเป็นคู่หมั้นกับณัฐฐา เขาได้แต่คิดถึงปรางค์และเมื่อได้รู้ว่าปรางค์คบกับนำโชคก็ยิ่งรู้สึกเสียใจไม่น้อย ทำให้ระหว่างศรุตและปรางค์เริ่มห่างเหินกันทั้งที่ปรางค์ต้องเจอกับศรุตที่บริษัททุกวัน ทางด้านใหญ่มาไถเงินณัฐฐา แต่ณัฐฐาปฏิเสธเพราะคิดว่ายังไงศรุตก็หมั้นกับเธอแล้ว ณัฐฐาจึงจ้างให้คนไปทำร้ายใหญ่เพื่อขู่ไม่ให้มารีดไถเงินเธออีก ทำให้ใหญ่โกรธณัฐฐาใหญ่จึงตัดสินใจเอาเรื่องที่ณัฐฐาได้เสียกับเขาและจัดฉากให้ศรุตต้องยอมหมั้นกับเธอไปบอกศรุต ทำให้ศรุตไปคาดคั้นเอาความจริงกับณัฐฐาในที่สุดศรุตจึงขอถอนหมั้นกับเธอ ณัฐฐาเสียใจมากจนตัดสินใจไปทำแท้ง ขณะเดียวกันนำโชคเองเมื่อได้คบกับปรางค์ก็รู้สึกว่าปรางค์ไม่ได้รักเขาเลย ในที่สุดนำโชคบอกเลิกปรางค์และบอกให้ปรางค์ทำในสิ่งที่หัวใจของปรางค์ต้องการ ก่อนจะบอกกับศรุตว่าเขายินดีมอบปรางค์ให้ศรุตดูแล และแล้วปรางค์กับศรุตจึงได้คบกัน ท่ามกลางความเจ็บแค้นของณัฐฐา จนณัฐฐาตัดสินใจฆ่าปรางค์ที่แย่งทุกอย่างไปจากเธอ ทั้งความรักจากพ่อ ย่า และศรุต ซึ่งในวันนั้นเองนำโชคแวะมาหาปรางค์พอดี เมื่อเห็นณัฐฐาถือปืนมาขู่จะยิงปรางค์ นำโชคจึงเอาตัวเข้าไปขวางวิถีกระสุน และถูกยิงตาย จากนั้นณัฐฐาก็ถูกจับเข้าคุก ขณะที่นฤมลเมื่อได้รู้เรื่องก็เสียใจจนเสียสติ ต่อมาใหญ่ถูกจับข้อหาค้ายาเสพติด ด้านป้องและปื๊ดจึงถูกจับไปอยู่บ้านเมตตา
ในที่สุดบารมีพาปราย และลูกกลับมาอยู่บ้านตามเดิม เมื่อเรื่องราวร้ายๆผ่านพ้นไป ปรางค์ก็ได้รับแสดงหนังฟอร์มใหญ่เรื่องหนึ่ง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง ในขณะที่ปรายคงอยู่ได้อีกไม่นานปกป้องรู้ก็ตกใจและเสียใจไม่น้อยที่ตลอดมาไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่ดี จึงตัดสินใจบอกแม่ว่าจะขอบวชให้แม่ บารมีและศรุตดีใจและซาบซึ้งใจมาก ปกป้องขอให้แม่ซึ่งแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเป็นคนโกนผมให้เค้าเป็นคนแรก ปรางค์จับกรรไกรใส่มือปรายและตัดผมให้ป้อง เพื่อให้แม่เห็นชายผ้าเหลือง และวันที่ปรางค์ได้รับรางวัล ปรางค์จะไม่ยอมไปรับเพราะห่วงปราย แต่ศรุตบอกว่า แม่คงดีใจที่ได้เห็นความสำเร็จของปรางค์ ปรางค์ตัดสินใจปรับรางวัล ในขณะที่โทรทัศน์ถ่ายทอด ปรายดีใจจนน้ำตาไหลด้วยความภูมิใจ อาการของปรายเริ่มแย่ลงกระปุกรีบโทรไปบอกปรางค์ให้รีบกลับมาหาแม่ เมื่อปรางค์มาถึงพอดีกับลมหายใจสุดท้ายของปราย ก่อนจากกันปรายของให้บารมีดูแลลูกเธอ และขอฝากให้ศรุตดูแลปรางค์ ศรุตบอกปรายว่าเขาขอแต่งงานกับปรางค์และดูแลลูก ๆ ของปรายแทนเธอเอง ปรายสิ้นใจอย่างสงบ หลังจากงานทำบุญของปรายเสร็จสิ้น ศรุตจึงขอหมั้นปรางค์กับบารมี เขาบอกว่าปรางค์เหนื่อยและลำบากมาตลอดชีวิตแล้ว ต่อไปเขาจะขอดูแลให้เธอมีความสุขและไม่ต้องลำบากอีกต่อไปนักแสดงและบทบาท
ปรางค์ แสดงโดย ภีรนีย์ คงไทยสาววัย20 ปี เป็นลูกสาวคนโตของปราย มีนิสัยแก่เกินอายุเพราะต้องดูแล น้องๆ แทนแม่ที่ขี้เมามาโดยตลอด เป็นคนรักครอบครัว และห่วงแม่ห่วงน้องมาก รักศักดิ์ศรี และสู้ชีวิต เป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในบ้าน แอบชอบศรุต แต่เพราะเป็นคนปากกับใจไม่ตรงกัน ทำให้ศรุตเข้าใจผิด เป็นคนห่วงความรู้สึกคนอื่นและขี้เกรงใจ จนทำให้ต้องไปคบกับนำโชคทั้งที่ความจริงแล้วคิดกับเขาเพียงแค่เพื่อน
ศรุต แสดงโดย สหรัถ สังคปรีชาชายหนุ่มอายุประมาณ26 ปี ทำงานเป็นผู้กำกับโฆษณา มีนิสัยอารมณ์ดี กวนๆ ปาก เสียบ้างเป็นบางครั้ง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง รักอิสระ และความถูกต้อง มี ความคิดไม่เหมือนใคร ไม่ชอบให้ใครบังคับ แต่ลึกๆแล้วเป็นคนขี้ใจน้อย ยิ่งเห็น ปรางค์ไปสนิทกับคนอื่นก็จะพาลประชดด้วยการหลบหน้า
นำโชค แสดงโดย พิเชษฐไชย ผลดีชายหนุ่มวัย 20 เศษๆ มีอาชีพเป็นนักแสดงลิเกในบทพระรอง เป็นลูกชายของ จำปาแล้เป็นลูกเลี้ยงของบุญส่ง มีนิสัยอ่อนโยน จิตใจดี รักแม่ และเห็นใจคนอื่น เกลียดบุญส่งเพราะเขาชอบทำร้ายแม่ แต่ต้องยอมอยู่ร่วมชายคาและเล่นลิเกให้ เพราะเห็นแก่แม่ แอบรักปรางค์และช่วยเหลือปรางค์มาโดยตลอด ตอนหลังหนี ออกจากบ้านมาอยู่กรุงเทพและได้เป็นนักร้องลูกทุ่ง
ปราย แสดงโดย จริยา แอนโฟเนแม่ของปรางค์ มีอายุประมาณ 30 ปลาย ๆ มีอาชีพเป็นนักแสดงลิเกในบทนางร้าย นิสัยเป็นคนรัก ครอบครัวมาก แต่เพราะมีปัญหาครอบครัวเลยทำให้เป็นคนติด เหล้า จนเหมือนกลายเป็นคนละคน ระหว่างตอนดื่มและไม่ดื่มเหล้า มักโทษ ตัวเองเวลามีปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว เป็นคนจริงใจ ปากกับใจตรงกัน ใจอ่อน ไม่ชอบอาฆาตพยาบาทใคร เพราะแม้จะเคยถูกเพ็ญศรีรังแกและเหยียดหยาม แต่ เมื่อเห็นเพ็ญศรีป่วย เธอก็ยินดีที่จะดูแลปรนนิบัติ ด้วยความสงสาร
ปกป้อง แสดงโดย อเล็กซ์ เรนเดลน้องคนที่สองของปรางค์ เป็นเด็กหนุ่มวัย15 ปี ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ดื้อ รั้น และไม่ฟังใคร ติดเพื่อนและเห็นเพื่อนเป็นฮีโร่ เพราะที่บ้านไม่มีผู้ชายที่จะเป็น แบบอย่างให้เขาได้ จนตอนหลัง เพื่อนพาไปเสียคนถึงกับติดยา และติดคุก จนกระทั่งมาเจอศรุตที่คอยดูแลช่วยเหลือ เลยเห็นศรุตเป็นแบบอย่าง และยอมกลับ เนื้อกลับตัว
กระปุก แสดงโดย ด.ญ.บัณฑิตา ศรีนวลนัถย์น้องสาวคนเล็กของปรางค์ อายุ 7ขวบ มีนิสัยติดแม่มาก ค่อนข้างขี้โรคเลยทำให้ ปรายและปรางค์ ห่วงมากเป็นพิเศษ แต่ลึกๆเป็นคนเข้มแข็ง เพราะถูกเลี้ยงมาอย่าง ลำบาก เลยกร้านโลก กว่าเด็กๆวัยเดียวกัน

บารมี แสดงโดย สันติสุข พรหมสิริชายหนุ่มวัย40 เศษๆ เป็นสามีคนแรกของปรายและเป็นพ่อของปรางค์ เป็นคนรัก และเชื่อฟังแม่ ขี้เกรงใจ จิตใจดี แต่ชอบยุติปัญหาด้วยการยอม เลยทำให้ถูกแม่บง การชีวิตมาโดยตลอด เคยรักกับปรายตอนสมัยหนุ่มๆ แต่เพราะถูกเพ็ญศรีขัดขวาง ต่อมาเลยต้องแต่งงานกับนฤมลซึ่งเป็นลูกสาวเศรษฐี เพื่อพยุงกิจการ ในครอบครัว ลึกๆแล้วยังรักปรายอยู่ จนกระทั่งมาเจอปรายและลูกเลยทำให้ยอมแข็งข้อกับเพ็ญ ศรี และ มีปัญหากับนฤมล

ณัฐฐา แสดงโดย วิรากานต์ เสณีตันติกุลหญิงสาววัย19 ปี เป็นลูกสาวของบารมีและนฤมล มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ชอบ เรียกร้องความสนใจ โมโหร้ายและเจ้าคิดเจ้าแค้น เป็นเพราะถูกย่าและแม่เลี้ยงมา อย่างตามใจ เลยคิดว่าตัวเองเป็น คนสำคัญที่สุดในบ้าน เวลาถูกขัดใจมักจะฟ้องย่า และแม่ หลงรักศรุตมานาน แต่ศรุตกลับมองเป็นเพียงน้องสาว เลยทำทุกอย่างเพื่อ เอาชนะศรุต จนกระทั่งถึงกับคิดจะฆ่าปรางค์ที่เป็น มารหัวใจจนสุดท้ายต้องติดคุก

นฤมล แสดงโดย วาสนา พูนผลหญิงวัย40 เศษๆ เป็นภรรยาของบารมีและเป็นแม่ของณัฐฐา รักและหลงลูกสาว มากจนเลี้ยงมาอย่างผิดๆ เป็นสาวสังคม ที่ภายนอกสร้างภาพว่าเป็นคนใจบุญ ชอบ ทำงานการกุศล แต่ลับหลังกลับนินทาว่าร้ายคนอื่น พื้นฐานเป็นลูกเศรษฐีมาก่อน เลย เอาแต่ใจตัวเองและใช้เงินเป็นเบี้ย ชอบข่มบารมีเพราะคิดว่ามีบุญคุณกับ ครอบครัวบารมีมาก่อน และยิ่งถูกเพ็ญศรีให้ท้ายก็ยิ่งไม่เห็นหัวใครเลยชอบรังแก ปราย และลูกๆ จนกระทั่งสุดท้ายต้องกลายเป็นคนเสียสติเพราะเห็นณัฐฐาฆ่าคน ตายจนต้องติดคุก

เพ็ญศรี แสดงโดย พิศมัย วิไลศักดิ์หญิงวัย60 เศษๆ เป็นแม่ของบารมี เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบสร้างภาพว่าตัวเอง ร่ำรวยทั้งที่ความจริง เคยทำธุกิจล้มมาก่อน แต่อาศัยเงินของลูกสะใภ้และธุรกิจที่ลูก ชายสร้างขึ้นใหม่เลยทำให้มีหน้ามีตา ใน สังคมได้อีก ทำให้เวลาอยู่บ้านจะเกรงใจ ลูกสะใภ้ ชอบบงการชีวิตลูกชาย แต่ตามใจหลานสาวอย่างณัฐฐาเป็นคนไม่ปล่อย วางเลยกลัวความล้มเหลว เคยเกลียดปรายมากจนกระทั่งป่วยเป็นอัมภาสแล้วปรายเป็นคนดูแล เลยแพ้ความดีของปรายในที่สุด

ใหญ่ แสดงโดย นิธิชัย ยศอมรสุนทรชายหนุ่มวัย20 ปลายๆ เป็นเจ้าของอู่รถยนต์ขนาดใหญ่ แต่เบื้องหลังทำธุรกิจค้ายา เสพติด และแยกชิ้น ส่วนรถยนต์ไปขาย ภายนอกเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เด็กๆมองเป็นฮี โร่ แต่เบื้องหลังกลับหลอกใช้เด็กหากิน โดยเฉพาะปกป้องที่ต้องตกเป็นเหยื่อของ ใหญ่ เป็นคนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา เคยหลอกจับณัฐฐา จนได้เสียกันแล้วมา แบล็คเมลล์ทีหลัง และทำให้ณัฐฐากับศรุตต้องเลิกกัน

บุญส่ง แสดงโดย ทองขาว ภัทรโชคชัย หนุ่มวัย40 เศษๆ เป็นเจ้าของคณะลิเก สามีของจำปาและพ่อเลี้ยงของบุญส่ง เป็น คนบ้าตัญหา ชอบลวนลามเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงในคณะของตัวเอง อยู่ บ้านชอบข่มภรรยาและซ้อมภรรยา เป็นไม้เบื่อไม้ เมากับนำโชคมาโดยตลอด ขี้โมโห ชอบใช้กำลัง

จำปา แสดงโดย อำภา ภูษิตหญิงวัย40 ปี เป็นแม่ของนำโชค อดีตเคยเป็นนางเอกคณะลิเก แต่ต่อมากลายเป็น ภรรยาของบุญส่ง เป็นคนรักลูกมาก และทนเพื่อลูกได้ทุกอย่าง แม้จะโดนบุญส่ง รังแกแต่ก็ทนเพื่อให้นำโชคมีบ้าน อยู่และไม่ลำบาก จนกระทั่งนำโชคได้เป็น นักร้องเลยยอมหนีมาอยู่กับนำโชคในที่สุด

ป้าแอ๋ว แสดงโดย เดือนเต็ม สาลิตุลหญิงวัย50 ปี เป็นภรรยาหัวหน้าคนงานก่อสร้างโครงการที่ปรายและปรางค์ไป ทำงาน เป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่คอยช่วยเหลือ ปรายและลูกมาโดยตลอด ปากจัด แต่จริงใจ ไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก

Link: http://www.bkkmobile.com/scripts/drama/drama.aspx?ID=133

การเข้าวงการดูจะเป็นความฝันของคนหลายคน

ไม่นานนี้ที่ผมได้เรียนการแสดง
เดี่ยวนี้การเข้าวงการดูจะเป็นความฝันของคนหลายคนนะครับ….

ทำให้บางคนต้องไปเป็นนักล่าฝัน บางคนต้องให้คุณลิขิต บางคนก็ต้องหันไปพึ่งคุณซอนย่า....ความฝันของพวกเขาเหล่านั้นดูจะน่าหลงใหลมากจนทำให้เราหลายๆคนอินไปกับโลกมายาเหล่านั้นด้วย....ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งตอนนี้กำลังอุทิศตนเพื่อการสู้รบในสงครามเวบบอร์ด สู้เพื่อพาสv9…เคยดูสารคดีเกี่ยวกับคนทำงานในวงการบันเทิงในเคเบิลทีวี....ได้ฟังความเห็นจากผู้กำกับโฆษณาคนหนึ่ง...เขาบอกว่าปัจจุบันดูคนอยากจะเข้ามาทำงานตรงนี้มากมาย...แต่เขาไม่ได้เข้ามาเพราะอยากทำงานจริงๆ เขาเข้ามาเพราะอยากได้ไลฟ์สไตล์ อยากกินในร้านเท่ห์ๆที่คนในวงการกินกัน อยากปาร์ตี้ อยากได้ภาพลักษณ์ที่ดี อยากอยู่ในสังคมที่คนหน้าตาดี เขาบอกว่า ผู้กำกับโฆษณาที่เก่งจริงๆเขาไม่ค่อยได้ทำอย่างนั้นหรอก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้เวลาไปกับงานซะเป็นส่วนใหญ่แต่ช่วงนี้ก็จะมีเพื่อนเก่าๆล้อผมเหมือนกันครับว่าเป็นคนในวงการ ไม่ใช่อะไรหรอกครับเพราะพวกมันเห็นผมไปเรียนคอร์สต่างๆที่เกี่ยวกับงานในวงการตลอดช่วงปี สองปีที่ผ่านมา...เริ่มตั้งแต่ ไปเรียน ดีเจ เขียนบท ล่าสุดกำลังเรียนทำหนังสั้น จริงๆแล้วก็ไม่ได้ ตั้งใจจะไปเป็นดาวโดดเด่นบนฝากฟ้า จะเป็นคนดัง จะอยู่ในแสงไฟอะไรหรอกครับ....ที่ไปหาคอรส์แปลกๆเรียนก็เพราะเหงาเท่านั้นเอง ความที่ทำงานที่บ้านวันๆก็ไม่ได้เจอคนอื่นๆเท่าไหร่ส่วนมากจะเป็นพ่อแม่น้อง พ่อน้องแม่ เกือบทั้งวัน คอร์สต่อไปที่อยากจะเรียนถ้ามีสอน ก็อยากเรียนวิชาโค้ชฟุตบอลเหมือนกัน แต่ก์ยังหาเรียนไม่ได้...ล่าสุดการไปเรียนหนังสั้นทำให้ผมรู้จักน้องๆที่น่ารักหลายๆคนครับ เพราะผมเกือบจะแก่สุดในชั้น...เป็นการเรียนที่น่ารักมากเพราะสอนหมดทุกขั้นตอนในการถ่ายทำไปจนถึงการแสดงทำให้ผมได้รู้จัก พี่คนหนึ่งครับ ชื่อพี่กอลฟ์ พี่เค้าเป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังไทยร้อยเรื่องที่ควรดูครับ พี่กอล์ฟ ทำหนังจนได้ไปประกวดที่เมืองนอกด้วยเงินทุนไม่ถึงหมื่น พี่เค้าเล่าให้ฟังว่ากรรมการชอบภาพที่สั่นไหวในหนังของพี่เขามากเหมือนเป็นการสั่นไหวที่สื่อถึงอารมณ์ตัวแสดงได้เป็นอย่างดี แต่เบื้องหลังการถ่ายทำคือตากล้องที่เป็นเพื่อนกับพี่เขาหัวเราะตัวแสดงขณะถ่ายเท่านั้นเองกล้องเลยสั่น อืม งานศิลปะนี่อยู่ที่การตีความของผู้เสพจริงๆนะ......พี่กอล์ฟดูจะเป็นคนเขียนบทที่มีพรสวรรค์มากครับ คือในคลาสแกผูกเรื่องโดยการด้นสดในห้องเรียนจนผมแปลกใจ คือดูก็รู้ฮะว่าแกเพิ่งคิดในห้องแต่ดูเรื่องที่แกคิดนะครับเริ่มจากแค่ เหตุการณ์หมากัดกัน.....เป็นหมาที่บ้านติดกัน...ทำให้เจ้าของบ้านทั้งสองหลังต้องมาทะเลาะกัน.....เจ้าของบ้านคนหนึ่งเป็นผู้ชาย..คนหนึ่งเป็นผู้หญิง.....ผู้ชายเป็นศิลปินที่มีภรรยาทำงานอยู่นอกบ้าน ภรรยาของเขายอมเสียสละเพื่อให้ผู้ชายได้เป็นนักเขียนที่ทำตามความฝัน แม้จะรู้ว่าฝันนั้นดูเลื่อนลอย ทำให้ภรรยาดูจะหงุดหงิดบ่อยๆ และ มักจะทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่เคยว่าทางเลือกของสามีแม้สักครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขารักเธอแต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทั้งคู่คุยกันน้อยลงทำให้เหมือนมีเยื่อบางๆระหว่างคนทั้งสอง เพราะบางทีคนที่ตามความฝันที่ไม่น่าจะเป็นจริงได้อาจจะเป็นคนที่ต้องการกำลังใจมากที่สุดก็ได้แต่ เขาก็ไม่เคยได้รับจากเธอผู้หญิงเป็นแม่บ้าน ที่สามีทำงานนอกบ้าน การที่งานรัดตัวทำให้เธอไม่ค่อยได้มีเวลาพูดคุยกับสามีเช่นเดียวกัน...การที่หมากัดกันทำให้ทั้งคู่ได้มารู้จักกัน...ผู้ชายก็ได้รับคำชมในงานศิลปะของเขาจาก ผู้หญิงที่มีเวลาชื่นชมกับงานของเขาได้ทั้งวัน ทำให้เขามีแรงใจที่จะไล่ตามความฝันต่อๆไปผู้หญิงก็ได้รับ การดูแลในชีวิตประจำวันต่างๆที่ไม่เคยได้รับจากสามีตัวเองเช่นการเปลี่ยนไฟซ่อมประตู การดูแลเล็กๆน้อยๆ.....มันเกิดเป็นความรัก.....ที่ผิดตัวละครทั้ง 4 ไม่มีใครผิด หมา2ตัวก็ไม่ผิดที่กัดกัน....ความรักนี้มันควรจะดำเนินไปอย่างไร ทั้งคู่ควรจะทำตามสิ่งที่ใจเรียกหา หรือ กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ต่างก็มีคนรักอยู่ แต่วิธีแสดงความรักอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาและเธอต้องการ ความรักของทั้งคู่ควรจะเป็นอย่างไรต่อไปจบแบบให้คนดูคิดต่อดีกว่านะ......โอโหพี่ แม่งเอาอะไรมาคิดวะ แค่ไอ้ด่างกับไอ้ตูบกัดกันกลายเป็นหนังรักเกาหลีดีๆเรื่องหนึ่งเลยนะเนี่ยผมก็เคยเรียนเขียนบทและเขียนอะไรจุกๆจิกๆมาบ้างแต่ยอมรับเลยว่า ยังห่างชั้นกับพี่เขาจริงๆ...วันนั้นพี่เขายังสอนการแสดงให้พวกเราอีกด้วยน้องคู่แรกแสดงเป็นคู่รักกันที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วต้องทักกันด้วยอารมณ์ ตื่นๆ ทั้งคู่แสดงได้ดี...มาถึงตาผมแล้ว คิดในใจว่าคงต้องได้รับบทผู้ร้ายใจโหด หรือ มาเฟียตลาดสดแน่ๆ ต่อให้ดีที่สุดก็คงเป็นได้ที่จะเป็นก็อดฟาเธอร์เพื่อยื่น “ข้อเสนอที่คุณปฏิเสธไม่ได้”(ถ้าเป็นปัจจุบันข้อเสนอนี้ต้องเป็นการขายแอมเวย์แน่นอน)ไม่ใช่เลยครับ“ปอนด์ เธอต้องเล่นบทเกย์ ที่ควงน้องนักศึกษาที่มาเจอเพื่อนเก่าที่เคยห้าวมาด้วยกัน แล้วต้องสื่ออารมณ์ปกปิดไม่อยากให้เข้ารู้ว่าเธอได้เปลี่ยนไป “ไม่ใช่ผู้ชาย”อีกต่อไปแล้ว.........................ทำไมจากก็อดฟาเธอร์ กลายเป็น เรื่องสัตว์ประหลาดไปได้ไงเนี่ยผมไม่เคยเกลียดเกย์นะครับ เพื่อนที่เป็นเกย์ผมก็มี แต่......ผมไม่ได้เป็นนะกลัวจริงๆ กลัวว่าพี่เค้าจะเห็นแววอะไรบางอย่างในตัวผม แต่ผมไม่ใช่นะ ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆสรุปก็ต้องเล่นครับ.....ปอนด์“เออ.....สวัสดี”เพื่อนเก่า“อ้าว เป็นไงไอ้เหี้ยปอนด์ไม่ได้เจอตั้งนาน”(ดูน้องเขาจะใส่ความในใจลงไปในบทด้วย)ปอนด์“อืมๆๆ สบายดี เป็นไงบ้างวะ”เพื่อนเก่า“แหมไอ้เหี้ย ทำเป็นหงิมๆ หน้าผ่องเชียวนะมึงเดี่ยวนี้ทำไรวะไอ้เหี้ย คิดถึงมึงจังว่ะ ไอ้เหี้ย” (เอะน้องไม่ต้องเรียกบ่อยขนาดนั้นก็ได้มั้งคนเข้าคงรู้ว่าสนิทกันแล้วล่ะ”ปอนด์“เออ สบายดีว่ะ เดี่ยวเรา เออ..กูต้องไปก่อนนะพอดีรีบวะ”เพื่อนเก่า“เห้ย ไอ้.........เออ จะรีบไปไหน ล่ะ แล้วนั่นน้องมึงเหรอ” (ผมเริ่มกำหมัดแล้วครับน้องคงเข้าใจว่าไม่ต้องเล่นเนี่ยนมากก็ได้”ปอนด์“เออ น้อง อืม...หลานน่ะ เออว่างๆแล้วค่อยเจอกันแล้วกันนะ”เพื่อนเก่า“อ้าว เออ......”(แล้วก็ทำท่าจะเดินจากไป)ตอนนั้นผมเริ่มอินกับบทตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ เพราะอยากให้รู้ว่ากูไม่ใช่เกย์นะเว้ยทั้งในการแสดงและชีวิตจริงคือมันเริ่มอายจริงๆแล้วล่ะครับจากที่เดินจากไปแล้วผมวิ่งเข้าไปหาเพื่อนเก่าแล้วทำท่าร่าเริงบอกว่า “อ้าวแล้วช่วงนี้มึงเป็นไงบ้างวะ”คือแทนที่จะจบแล้วกลับเล่นต่อเองครับ ทั้งห้องหัวเราะกันใหญ่น้องทุกคนที่เล่นด้วยก็ทำหน้างงๆ555คือถ้าผมตีบทนี้แตกจริงๆก็ไม่ใช่เพราะ เป็นเกย์จริงๆครับแต่เพราะอายจริงๆ... อายมากด้วย....เห้อ......พี่กอล์ฟนะพี่กอล์ฟ เข้าใจเลือกบทจริงๆ...

Link: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=manont&month=09-2005&date=15&group=1&gblog=9

Tokyo.Sora : ฟ้ายังมองเรา


พ้นจากอาคารบ้านเรือนขึ้นไปคือท้องฟ้ากว้างไกลไร้ขอบเขต ราวกับว่าฟ้าได้ครอบคลุมและคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องล่าง
ท้องฟ้าเหนือกรุงโตเกียวก็เช่นกัน... หญิงสาว 6 คน ซึ่งเราแทบไม่รู้จักชื่อของพวกเธอ ต่างคนต่างดำเนินชีวิตผ่านพ้นแต่ละวันท่ามกลางความเงียบ ความเหงา โปร่งเบาเลื่อนลอย ราวกับริ้วเมฆลอยลม
เดินทางผ่านฟากฟ้าอย่างเงียบเชียบไร้จุดหมาย หญิงสาวคนแรกเป็นนักเรียนชาวไต้หวันที่ยังพูดญี่ปุ่นไม่เป็น ชีวิตประจำวันของเธอคือการไปเรียนภาษาญี่ปุ่น ทำงานเป็นนางแบบในชั้นเรียนศิลปะ ซึ่งบางครั้งต้องเปลื้องเปลือยต่อหน้าคนแปลกหน้า ชีวิตประจำวันอีกอย่างหนึ่งคือการนั่งปล่อยเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ในร้านซักผ้า
ในระหว่างการรอคอยอันน่าเบื่อหน่าย ชายหนุ่มคนหนึ่งมาซักผ้าในร้านเดียวกัน เขานั่งรอพร้อมกับอ่านหนังสือเล่มสีฟ้า หญิงสาวมองเขา มองหนังสือที่เขาอ่านด้วยความตั้งใจ หลายวันต่อมาเธอจึงรู้ว่าหนังสือชื่อว่าอะไร เธอหาซื้อมาเปิดอ่าน แต่เธอจะเข้าใจได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นภาษาญี่ปุ่น อย่างน้อยระหว่างนั่งรอในร้านซักผ้า หนังสือสีฟ้าได้ช่วยให้ชายหนุ่มหันมาสนใจพูดคุยกับเธอ ชีวิตใช่ว่าจะว่างเปล่าเลื่อนลอยตลอดเวลา...เธอคงคิดเช่นนี้
หญิงสาวคนที่สอง พักอยู่ห้องข้างๆ หญิงสาวคนแรก เธอทำงานเป็นคนแจกสินค้าตัวอย่างหลายชนิด บางครั้งเธอต้องแต่งตัวรัดรูป กระโปรงสั้น ยืนต่อหน้ากลุ่มชายที่เป็นนายจ้าง ให้พวกเขาเพ่งพิศพิจารณาและวิพากษ์วิจารณ์เธอว่าดูดีหรือไม่ ก่อนจะส่งเธอไปแจกสินค้าเหมือนทุกครั้ง พูดและหยิบยื่นบางสิ่งบางอย่างให้แก่คนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปคนแล้วคนเล่า เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เรามักได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังตลอดเวลา เธอนั่งมองมันราวกับเพื่อนแก้เหงาคนหนึ่ง
หญิงสาวคนที่สามเป็นนักเรียนศิลปะ คลาสที่เธอเรียนอยู่เป็นคลาสวาดรูปคนเหมือน มีนางแบบสาวคนหนึ่งมายืนให้เธอเพ่งมองและนำมาไว้บนกระดาษในรูปของลายเส้นและแสงเงา เมื่อคลาสมาถึงการวาดรูปเปลือย เด็กสาวสนใจกับลายเส้นส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ เธอก้มมองหน้าอกของตัวเองราวกับว่าไม่เคยใส่ใจมันมาก่อน
ช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อนชายร่วมชั้นคนหนึ่งแสดงความสนใจตัวเธอ เขาขอวาดรูปโดยให้เธอเป็นแบบ เธอจึงหาซื้อฟองน้ำเสริมมาใส่ เมื่อเธอคบกับเขา เขามักขอเธอจูบ และดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะต้องการมากกว่านั้น หญิงสาวคนที่สี่เป็นพนักงานเสิร์ฟในคอฟฟี่ช็อปซึ่งแทบไม่มีลูกค้า เธอแอบรักนายจ้างหนุ่ม ช่วงเวลาว่างๆ ในร้านกลายเป็นช่วงเวลาที่เธอกับเขาไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
บางครั้งเรื่องที่เขาเล่าทำให้หญิงสาวหัวเราะเริงร่า แต่บางคราเรื่องเล่ากลับทำให้เธอร้องไห้ หญิงสาวคนที่ห้าชื่อ "โยโกะ" ทำงานในบาร์ เธอบอกกับลูกค้าว่าชื่อของเธอแปลว่าใบไม้ โยโกะมีความตั้งใจจะเป็นนักเขียน เมื่องานเขียนชิ้นหนึ่งของเธอเข้ารอบสุดท้ายในการประกวด นำพาบรรณาธิการหนุ่มเข้ามาในชีวิตเธอ เขาคอยให้คำแนะนำปรึกษา แต่งานเขียนชิ้นต่อมากลับยังทำได้ไม่ดีนัก
สิ่งที่โยโกะต้องการถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือคือเรื่องราวของ "ยูกิ" ตัวละครที่เธอสร้างขึ้นจากชื่อของหญิงสาวที่ทำงานในบาร์เดียวกับเธอ เธอพยายามสร้างยูกิให้เป็นอีกโลกหนึ่งของตนเอง เป็นโลกที่สดใส สวยงาม ซึ่งเธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน จนบรรณาธิการบอกว่าเรื่องของเธอขาด "ความมืด" ซึ่งเธอยอมรับ
หญิงสาวคนที่หกเป็นสาวบาร์ชื่อยูกิ เธอบอกกับลูกค้าว่าชื่อของเธอแปลว่าหิมะ นอกจากทำงานในบาร์แล้ว ยูกิเป็นช่างสระผมในร้านเสริมสวยหรูหรา เธอพยายามเรียนรู้การตัดผม แต่กลับไม่เคยได้รับโอกาส ชีวิตของเธอไม่ได้สดใสสวยงามอย่างที่โยโกะสร้างแรงบันดาลใจจากชื่อของเธอ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองได้มาพบกัน พูดคุยทำความรู้จักและทำความเข้าใจในชีวิตของแต่ละคน จนราวกับว่าต่างคนต่างได้เพื่อนเข้ามาเติมเต็มชีวิต
แต่โชคร้าย ยูกิจากไปกะทันหันด้วยเหตุที่คนสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย โลกสวยงาม สดใส ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของโยโกะจึงพังทลายตามไปด้วย พ้นจากอาคารบ้านเรือนขึ้นไปคือท้องฟ้ากว้างไกลไร้ขอบเขต ราวกับว่าฟ้าได้ครอบคลุมและคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องล่าง ท้องฟ้าเหนือกรุงโตเกียวก็เช่นกัน...
หญิงสาวต่างแหงนมอง...บางสิ่งบางอย่างอาจผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ท้องฟ้ายังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ Tokyo.Sora เป็นหนังญี่ปุ่นปี 2002 กำกับโดย อิชิกาวา ฮิโรชิ ผู้กำกับหนังโฆษณาที่หันมาจับงานหนังเป็นครั้งเรื่องแรก
หนังมีบทสนทนาน้อยมาก ไร้พล็อตเรื่องให้จับต้อง ตกแต่งด้วยดนตรีประกอบเพียงน้อยนิด แต่แทนที่ด้วยเสียงบรรยากาศรายรอบไม่ว่าจะเป็นเสียงรถรางแล่นกึงกัง เสียงโทรทัศน์ เสียงพัดลม ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเงียบเหงาของตัวละครยิ่งขึ้น หนังดำเนินเรื่องด้วยภาพชีวิตของหญิงสาวทั้ง 6 คน ให้เราได้เฝ้ามองความเป็นไปของพวกเธอ ความนิ่งเงียบไร้พล็อตนี่เองที่อาจทำให้ผู้ชมเบื่อได้ง่ายๆ อาจต้องใช้ความอดทนพอสมควรกว่าจะผ่าน 2 ชั่วโมงมาได้ อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพที่ใช้องค์ประกอบแบบงานโฆษณาช่วยให้หนังมีเสน่ห์ให้ค้นหา
ฟ้าคือสัญลักษณ์ที่หนังบอกกล่าวไว้ตั้งแต่ในชื่อเรื่อง ฉากภายนอกเราจึงเห็นท้องฟ้าเป็นองค์ประกอบตลอดเวลา ส่วนฉากภายใน หลายครั้งหนังใช้แสงฟุ้งจากหน้าต่างเป็นตัวแทนของท้องฟ้า จนรู้สึกเหมือนกับว่ามีท้องฟ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางฉากทำให้ผู้เขียนนึกไปถึง All about Lily Chou-Chou ของชุนจิ อิวาอิ ซึ่งว่าด้วยความเปลี่ยวเหงาสับสนคล้ายๆ กัน
ดูหนังเรื่องนี้อาจทำให้เหงายิ่งขึ้น แต่บทจบของเรื่องราวก็ทำให้อุ่นใจได้ว่าชีวิตไม่ว่างเปล่าเกินไปนัก

โครงการประกวดหนังสั้นใต้ร่มเงาสมานฉันท์

คณะทำงานโครงการประกวดหนังสั้นใต้ร่มเงาสมานฉันท์ เชิญ 4 ผู้กำกับชื่อดังจากสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และพระไพศาล วิศาโล พระนักกิจกรรม ผู้เผยแพร่หลักคิดและแนวทางการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีตามหลักศาสนธรรม ผ่านหนังสือและบทความต่างๆ และเป็นกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ตัดสิน 2 รางวัลเกียรติยศ แก่ผู้กำกับที่ผู้เข้ารอบสุดท้าย 11 ทีมที่คณะทำงานคัดเลือกจากผู้ส่งแนวคิดเข้าประกวดในโครงการนี้ทั้งสิ้น 308 แนวคิด วันที่ 23 พฤษภาคมนี้ เวลา 15.00 น. ที่สำนักงานนิตยสารไบโอสโคป รัชดาภิเษก 22 และวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ ทั้ง 11 ทีมจะคัดเลือกหนังสั้นในหมู่พวกเขากันเองอีกหนึ่งรางวัล ซึ่งผู้ได้รับคัดเลือกทั้ง 3 รางวัลจะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท เพื่อเป็นทุนทำหนังเรื่องต่อไป โดยจะประกาศผลและมอบรางวัลอย่างเป็นทางการโดยคุณอานันท์ ปันยารชุน ประธานกอส. วันที่ 28 พฤษภาคม ที่โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ รามา (อาร์ซีเอ.)4 ผู้กำกับชื่อดัง ตัดสินหนังส่งเสริมสันติวิธี• ทรงยศ สุขมากอนันต์เป็นผู้กำกับหนังเรื่องล่าสุดคือ “เด็กหอ” หลังจากที่มีผลงานร่วมกับเพื่อนๆ ในเรื่อง "แฟนฉัน" เมื่อปี 2546 ในเครือของแกรมมี่ ในนามบริษัทจีเอ็มเอ็มไทหับ จำกัด หรือจีทีเอช จบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2536-2539 มีผลงานผ่านตามากมาย อาทิ ปี 2540 หนังสั้น เรื่อง “วันพักที่รักวุ่น” 2541 เขียนสคริปต์ รายการสารคดี “กระจกหกด้าน” 2543 ผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณา บริษัท ฟีโนมีนา (โปรดักชั่นฮาส์) 2545 หนังสั้น ด.เด็ก ช.ช้าง (รางวัลชนะเลิศ รัตน์ เปสตันยี) และร่วมกับเพื่อนกำกับหนังเรื่อง “แฟนฉัน”• ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุลนับเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดในวงการหนังไทยขณะนี้ก็ว่าได้ หลังจากจบภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2545 ก็มีผลงานหนังเรื่องยาวเป็นของตัวเอง คือเรื่อง คน ผี ปีศาจ เข้าฉายเดือนกุมภาพันธ์ 2547 เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญในโครงการ ยักษ์เล็ก ทางเลือกที่ถูกเปิดขึ้น สำหรับคนทำหนังเลือดใหม่ของ สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล ทั้งรับผิดชอบในตัวบทภาพยนตร์ และทำหน้าที่ในส่วนของการกำกับการแสดง หลังจากมีผลงานหนังสั้น หนังสารคดี มาก่อนหน้านี้อย่างมากมาย อาทิ บ้านเก่า, ดงรกฟ้า, ลมเยาวราช, มอเตอร์ไซด์ฮ่าง, ลี้ (ได้รับการคัดเลือก ให้เข้าฉายในเทศกาลซันแดนซ์ปี 2004), 2003 (หนังสารคดีที่คว้ารางวัลรองชนะเลิศ จากการประกวดหนังสั้น ของมูลนิธิหนังไทย ประจำปี 2546)• พิมพกา โตวิระถูกหล่อหลอมวิชาภาพยนตร์ จากคณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเป็นคอลัมนิสต์บทความด้านภาพยนตร์ในเซ็กชั่น Focus หนังสือพิมพ์ The Nation กำกับหนังสั้น “แม่นาค” ได้รับรางวัล Special Jury Prize จากเทศกาล Image Forum Festival ปี 1998 ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเคยเป็น Program Director ในเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพฯ ครั้งที่ 4 และหนังยาวเรื่องแรกซึ่งกำกับและเขียนบทเองคือ “ One night husband” หรือชื่อไทย “คืนไร้เงา” และเรื่องนี้จึงทำให้เธอถูกติดป้ายเป็นผู้กำกับแนวสตรีนิยมคนหนึ่งของเมืองไทย ก่อนที่จะไปทำหนังเด็กเรื่องแรกของเธอ "Taxi the Hero\” กับโครงการชวนเด็กดูหนัง ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อปี 2548 ขณะนี้กำลังซุ่มทำหนังการเมืองอยู่ คงต้องติดตามผลงานชิ้นต่อไปของเธอ• สุทธากร สันติธวัชเคยมีบทบาทเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์, คนทำหนังสือหนังอย่าง Screen, หนังและวิดีโอ และ Filmview และเจ้าของโครงการฉายหนังนอก กระแสตลาด สุทธากร สามารถทำให้งานของเขาได้รับการยอมรับอย่างมากจากคอหนัง กระทั่งขอบเขตงานที่เขารับผิดชอบ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของคนทำงานในแวดวงวิจารณ์หนัง หลายต่อหลายคน สำหรับในวันนี้แม้จะไม่มีงานวิจารณ์หนังออกมาบ่อยนัก แต่ผลงานพ็อคเก็ตบุ๊ค เกี่ยวกับหนังที่เขาทำเช่น 'เดียวดายอย่างโรแมนติค' งานวิเคราะห์หนังหว่องกาไว ก็ยังคงเป็นที่คอหนังทั้งหลายให้ความสนใจไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมกันนั้นกับบทบาทใหม่ที่เราได้พบล่าสุด คือการเป็นผู้กำกับหนังรีเมค จากงานวรรณกรรมคลาสสิค “แผลเก่า” ของไม้เมืองเดิมสู่ “ขวัญ-เรียม” เมื่อปี 2544 นั่นเองหนังสั้น “ใต้ร่มเงาสมานฉันท์” 11 เรื่องรอบสุดท้าย• Dream Team ผู้กำกับ: มาวิน หลีเส็น (20 นาที)• Good Morning ผู้กำกับ : มนต์ศักดิ์ หินประกอบ (19 นาที)• ระหว่างทาง ผู้กำกับ: รัฐ จำปามูล (5 นาที)• เด็กชายแฮมเบอร์เกอร์ ผู้กำกับ: ศิวดล ระถี (30 นาที)• ปอเนาะ ผู้กำกับ: ฮาริส มาศชาย (12 นาที)• Weight of a Gun ผู้กำกับ: ศศะ คงวิจิตร (24 นาที)• ธาดา ผู้กำกับ: เสรีย์ หล้าชนบท (19 นาที)• ฉันมิตร ผู้กำกับ: ณัฐรินทร์ บุญชู (19 นาที)• จาก...สันติภาพ ถึง...สันติภาพ ผู้กำกับ: สันติภาพ อินกองงาม (9 นาที)• เพียงความธรรมดาของเส้น ผู้กำกับ: ขวัญแก้ว เกตุผล (11 นาที)• โรงเรียนวัดนาปรือ ผู้กำกับ: สุวิศาล ขวัญทองชุม ( 8 นาที)

Cut Sleeve Boys


เลิกแอบเสียที / วิทยา แสงอรุณ Metro Life นสพ. ผู้จัดการวันเสาร์ vitadam2002@yahoo.com
7-8 July 2006ไม่ใช่หนังโหดแนวซาดิสม์ แต่เป็นหนังตลกมันส์ๆ จากผู้กำกับไฟแรงที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับสังคมเกย์ในเมืองใหญ่ได้อย่างโหดๆ “Ray Yeung” เป็นผู้กำกับหนังโฆษณามือรางวัล เขาเริ่มหันมาจับหนังสั้น ก่อนจะได้ทำหนังยาวเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแรกในชีวิตเขา แถมยังเป็นผู้อำนวยการจัดงานเทศกาลหนังเกย์และเลสเบี้ยนในฮ่องกงติดต่อกันหลายปีอีกด้วย แต่ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในอังกฤษพอดูจบ คุณจะพบว่า ผู้กำกับหนุ่มผู้นี้มีอะไรมากมายอยู่ในใจและอยากให้คุณเก็บไปคิดต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งทางวัฒนธรรมตะวันออก-ตะวันตก ตัวตน และภาพลักษณ์ของเกย์ในมุมมองของเกย์กันเองและมุมมองระหว่างชาติ ซึ่งเปิดไปสู่ประเด็นอื่นๆ อีกในหลายมิตินอกเหนือไปจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตแบบสุขนิยมล้นเหลือผ่านตัวละครที่ชื่อ “Mel” กับ “Ash” สองเกย์เอเชี่ยนวัยกลางคนที่ไปใช้ชีวิตหลั่นล้าในลอนดอน ในงานศพเพื่อนรักคนหนึ่งซึ่งจากไปอย่างกะทันหันเพราะดันไปหาความสำราญแบบเสี่ยงๆในห้องน้ำสาธารณะ “เมล” กับ “แอช” เลยเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองว่า ต้องการอะไรกันแน่ นอกจาก เซ็กซ์ สุรา ปาร์ตี้ ยา และเสื้อผ้าแบรนด์เนม?เกย์หนุ่มหุ่นเฟิร์มอย่างเมลพร่ำบอกตัวเองว่า ฉันต้องดูดีอยู่เสมอ และวิ่งตามเทรนด์แฟชั่นอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แถมยังหงุดหงิดเวลาเจอใครแต่งตัวไม่อินเทรนด์อีก ส่วนเรื่องความรัก ไม่ต้องพูดถึง เขามักจะบอกใครๆ ว่า ชีวิตเกย์ต้องออกแบบได้ ไม่เห็นต้องทำตามใคร ขณะที่แอช เกย์แนวสาว นิสัยดีมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่งค้นพบว่า การจะได้เจอคนที่ถูกใจสักคน ย่อมต้องแลกกับอะไรสักอย่าง ชีวิตการเป็นเกย์ “หน่วยรับ” ของเธอ จะต้องไม่เจอ “หน่วยรับ” ด้วยกันอีกต่อไป หล่อนจึงประกาศก้องว่า ฉันต้องแต่งหญิง!ความป่วนในชีวิตวุ่นของทั้งสองมาปะทุขึ้นเมื่อได้เจอกับสองหนุ่มกับอีกหนึ่งกะเทยชาวอังกฤษโดยบังเอิญ “ทอดด์” (Todd) เป็นหนุ่มชนบทเพิ่งหลงเข้าเมืองเพื่อตามหาความรัก (ถ้าคุณนึกถึงบทหนุ่มหน้าใสวัย 17 จาก Formula 17 ที่มาเจอเสือหิวในเมือง ก็ไม่ผิดกติกา) อีกคนที่น่าสนใจมากคือ “รอสส์” (Ross) หนุ่มหล่อล่ำ พูดน้อย อารมณ์ดี ภายนอกดูเงียบขรึม แต่ภายในกลับมีความลับดำมืดที่รอการค้นพบ และคนสุดท้าย แฟนของรอสส์ “ไดแอน” (Dianne ชื่อเดิมคือ แดน) สาวแปลงเพศผิวหมึกผู้มีอารมณ์ขันเหลือเฟือ แค่การแนะนำตัวเธอเองก็ไม่เบา ในฉากที่เขาพูดกับแอช“I’m Diane. He is Ross. Together we are Diana Ross.” (Diana Ross นักร้องอเมริกันผิวสี ขวัญใจของเหล่าเกย์)Cut Sleeve Boys เป็นหนังใหม่แกะกล่อง ออกฉายทั่วโลกปี 2006 นี้เอง ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล และฉายด้วยดีวีดี เวลาคุณดูแรกๆ จะรู้สึกแตกต่าง แต่พอดูๆ ไปสักพัก คุณจะลืมว่า นี่ไม่ใช่แผ่นฟิล์ม ฉายที่กรุงเทพฯ เมื่อต้นปี ในงานเทศกาลหนังฯ มีไม่กี่รอบ และเต็มทุกรอบ ชื่อหนังนำมาจากเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์จีน ในสมัยนั้น สัมพันธ์ระหว่างชายกับชายเป็นเรื่องธรรมดาในราชวงศ์หนึ่ง จักรพรรดิพระองค์หนึ่งตื่นจากบรรทมแล้วพบว่า สนมหนุ่มน้อยที่อยู่เคียงข้างกำลังหลับทับชายเสื้อของพระองค์อยู่ ด้วยความรักและทะนุถนอม จักรพรรดิจึงบรรจงตัดฉลองพระองค์ส่วนนั้นออก เพื่อให้หนุ่มน้อยหลับใหลต่อไปอย่างเป็นสุขดังนั้นคำว่า “The Passion of Cut Sleeve” จึงนำมาใช้หมายถึงชายรักชาย ผู้กำกับหนุ่มยังเล่าอีกด้วยว่า ยังมีอีกคำหนึ่งที่ผู้ศึกษาเรื่องโฮโมฯ ต้องสนใจ คือคำว่า “The Half-Eaten Peach” ซึ่งมาจากเรื่องเล่าอีกเช่นกัน เมื่อจักรพรรดิจากอีกราชวงศ์หนึ่ง ได้รับลูกท้อที่ชิมแล้วว่าอร่อยจากคนรักชาย ท่านถึงกับตื้นตันที่คนรักแบ่งปันความอร่อยนั้นให้ ไม่เก็บไว้คนเดียว
Cut Sleeve Boys เป็นหนังที่ตั้งคำถามแรงๆ เกี่ยวกับตัวตนหรืออัตลักษณ์ทางเพศได้อย่างแยบยล เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน และกล้าที่จะประกาศท้าทายว่า จะรักใคร ชอบใคร ก็ควรจะรัก และพอใจสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่คอยปฏิเสธตัวตน และบอกให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการให้เป็นถ้าคุณไปดูแล้วพูดว่า “เสียดายหนุ่มรอสส์นะ ไม่น่าเลย” สงสัยต้องไปดูอีกรอบล่ะครับ เผื่อจะชินกับสิ่งที่เขาเป็น เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตเราแทบทุกวัน เพราะคนเรา โดยเฉพาะพ่อแม่ มักคาดหวังอยู่เสมอว่า ลูกต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเลยนึกถึงจดหมายฉบับหนึ่งเร็วๆ นี้ ผู้เขียนเป็นผู้หญิง ประเมินจากเนื้อความที่เขียนแล้วพบว่า น่าจะไม่ใช่วัยรุ่นที่ยังสับสน เธอเล่าว่า มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่นับถือกันเป็นพี่สาว-น้องชาย มาเปิดเผยตัวกับเธอ หลังจากนั้น ถึงแม้ดูเขามีความสุขมากขึ้น แต่ก็มีพฤติกรรมบางอย่างที่เธอรับไม่ได้ ผมไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่า พฤติกรรมบางอย่างที่รับไม่ได้นั้นเป็นยังไง แนวไหน แต่สิ่งที่เธอเขียนย้ำบ่อยๆ ก็คือ ตัวเธอเองไม่ได้รังเกียจคนที่เป็นเกย์หรอกนะ ไม่ได้ต่อต้านพวกเขา แต่รับไม่ได้ ผมรู้สึกงงๆ ว่า ตกลงแล้ว ทัศนคติของเธอต่อเรื่องนี้คืออะไรกัน?ความรู้สึกที่ผมได้รับจากจดหมายฉบับนั้นทำให้ผมคิดถึงความรู้สึกของ “แอช” ที่วันหนึ่งค้นพบว่า หนุ่มรอสส์ที่ตัวเองหลงชอบและมีอะไรกันไปแล้วนั้น มีความแตกต่างจากสิ่งที่เคยคิด และหากรับไม่ได้ ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ในจุดนี้ และในอีกหลายมิติในหนัง คุณอาจจะเห็นเป็นอย่างอื่น แต่ผมรู้สึกทันทีตอนดูจบว่า ผู้กำกับหนังเรื่องนี้กำลังตบหน้าเกย์อยู่ หลังจากจับเกย์มานั่งลงแล้วเขย่าๆ ๆ ไปหลายทีก่อนหน้านั้นอาจจะถึงเวลาแล้วสำหรับเกย์ที่คลั่งไคล้ หรือติดปาร์ตี้ หลงเสพยา และคิดว่า เซ็กซ์เป็นส่วนสำคัญที่ต้องทำสถิติไว้ให้สูงๆ เข้าไว้ ควรไปดูหนังเรื่องนี้ ลองปล่อยให้เขาตบ ตบ ตบ สักสองสามที แล้วเราก็จะมีสติคืนมาส่วนนายแอส จะตัดสินใจอย่างไรกับหนุ่มรอสส์? นายทอดด์จะทำให้นายเมลคิดได้หรือไม่? แล้วไดแอนล่ะ หล่อนจะเป็นกะเทยแปลงเพศอย่างเดียวเหรอ? ไปค้นหากัน หนังเข้าวันที่ 20 ก.ค. นี้ ที่ House RCA ดูตัวอย่างหนังที่ www.cutsleeveboys.com
แล้วอย่าเพิ่งคิดเป็นอย่างอื่น

Designer VS Brand Pioneer

พัชทรี ภักดีบุตร Designer VS Brand Pioneer
สุภัทธา สุขชู Positioning Magazine พฤศจิกายน 2548พัชทรี ภักดีบุตร หรือ “รี่” 1 ใน 12 ดีไซเนอร์ชื่อดังที่รวมอยู่ในพ็อกเกตบุ๊ก “Born To Be Designer” เธอคือดีไซเนอร์มือเอก และหุ้นส่วนสาวแห่ง “เกรย์ฮาวด์ (Greyhound)” ผู้ได้รับมอบหมายให้ set-up แบรนด์คอนเซ็ปต์ของ “เกรย์ (Grey)” น้องใหม่ในเครือ และเป็นหัวเรือใหญ่ของ “เอิบ” ผลิตภัณฑ์ Home-Spa ที่เธอก่อร่างขึ้นมากับมือ วนเวียนอยู่ในแวดวงดีไซน์กว่า 10 ปี วันนี้ รี่มีข้อสรุปชีวิตการทำงานว่า เธอมีความสุขมากที่ได้ดึงเอาจิตวิญญาณ ความเชื่อ ความชอบ และตัวตน ออกมาสะท้อนในดีไซน์อย่างเต็มที่ โดยที่ยังได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี “ดีไซเนอร์ก็เหมือนศิลปิน พอเริ่มโตก็อยากลองทำอะไรแบบของเรา อยากดึงจิตวิญญาณและตัวตนของเราออกมามากขึ้น” แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ข้อสรุปอีกข้อก็คือ ประสบการณ์และการเรียนรู้เป็นบันไดสำคัญ…หลังเรียนจบด้านการตลาดจากอังกฤษ รี่เริ่มต้นทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ให้กับ Leo Bernett บริษัทโฆษณาชื่อดัง ที่นี่เองเธอจึงได้รู้จักกับ ภาณุ อิงคะวัต เถ้าแก่แห่งเกรย์ฮาวด์ รี่ทำงานโฆษณาร่วม 4 ปี จึงลาออกเป็นฟรีแลนซ์ แต่ด้วยความชอบแต่งตัวของเธอที่โดดเด่นเข้าตา ภาณุจึงชวนมาร่วมหุ้นและเป็นดีไซเนอร์ให้เกรย์ฮาวด์ราว 9 ปีก่อน ด้วยปรารถนาจะมีกิจการของตัวเองก่อนอายุ 30 ปี รี่จึงจุดคบไฟแห่งอาชีพแฟชั่นดีไซเนอร์ให้ลุกโชน อันเป็นช่วงที่เกรย์ฮาวด์ก็เตรียมบุกตลาดเสื้อผ้าผู้หญิงอย่างจริงจัง เธอจึงเป็นเสมือนเข็มทิศควานหาทางที่เหมาะสม ระหว่างสไตล์เกรย์ฮาวด์ เทรนด์ตลาด และลูกเล่นที่แฝงตัวตนของเธอ ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาช่วยเธอได้ดี “จากที่เรียนการตลาดและทำงานโฆษณา เราก็เลยมี commercial concept บ้างไม่ใช่มีแค่ pure art” รี่เป็นอีกแรงสำคัญที่ผลักดันเกรย์ฮาวด์จนโด่งดังทั้งตลาดภายในและนอกประเทศเรื่อยมา กระทั่งภาณุให้เธอช่วยคิดเสื้อผ้า hi-fashion ขึ้นมา 1 เซต เพื่อโชว์ในงานแฟชั่นที่ฝรั่งเศส และก็ได้เสียงตอบรับดีมาก แต่ด้วยความยากในการผลิต เทคนิคที่เยอะกว่า ลวดลายที่ละเอียดกว่า accessories ที่มากกว่า วัสดุที่แปลกตากว่า เสื้อสไตล์นี้จึงไม่อาจขายในระดับเดียวกับเกรย์ฮาวด์ จึงกลายเป็นที่มาของแบรนด์ใหม่คือ เกรย์ เพราะเป็นผู้บุกเบิก รี่จึงทุ่มเวลาทั้งหมด set-up และดูแลแบรนด์เกรย์ “ตอนทำเกรย์ฮาวด์ เราทำงานให้กับแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว เราจึงเข้ามาเพื่อทำให้แมตช์กับสิ่งที่เขาวางไว้ แต่เกรย์เราจับตั้งแต่ต้น จึงพูดได้เต็มปากว่าขายความเป็นตัวตนของเรา และจากประสบการณ์ที่สะสมมาก็ทำให้เราไม่ต้องใส่ใจการตลาดมากเท่าตัวตนจริงๆ ของเรา” เกรย์เป็น conceptual design ที่มีสไตล์แบบ oriental chic คือเน้นความน่าหลงใหลของรูปแบบเอเชีย ทั้งความเชื่อ วัฒนธรรม ค่านิยม เทคนิค ภายใต้โครงสร้างเสื้อผ้าที่ผสมแนวตะวันตก ทั้งปวงนี้มาจากความเป็นเอเชียบวกกับความโมเดิร์นที่รี่รับเข้ามาในชีวิต จากการสังเกต การอ่าน การเดินทาง ฯลฯ โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่ซาบซึ้งกับงานศิลปะและความเป็นเอเชียมากเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือ พร้อมจะแปลกแยกจากเทรนด์ ประสบการณ์ตอนเซตคอนเซ็ปต์แบรนด์เกรย์ รี่ได้รับบทเรียนสำคัญคือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด “ทุกครั้งที่ทำงาน เรามักจะหลงทาง หรือแกว่งตามเทรนด์และสิ่งที่เกิดรอบตัวได้ง่าย แต่ถ้าเรายึดมั่นในคอนเซ็ปต์ที่ชัด อย่างน้อยมันจะช่วยให้เราวกกลับเข้ามาสู่พระอาทิตย์ดวงนี้ของเรา” สำหรับเอิบ ถือเป็นตัวตนในอีกมุมของรี่ที่สะท้อนศิลปะในการสร้างความรื่นรมย์และคุณภาพชีวิตของเธอได้ดีมาก “พี่เป็นคนชอบธรรมชาติ งานศิลปะ เครื่องหอม ชอบดูแลตัวเองจากธรรมชาติ และก็ work hard จนไม่มีเวลา แต่ก็ play hard คือกินดื่มเที่ยวและดูแลตัวเองในแบบที่ต้องได้ทั้งประโยชน์ พร้อมความรื่นรมย์ที่ครบทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไปพร้อมกัน” เอิบเปิดตัวเมื่อ 6 ปีก่อนในตลาดต่างประเทศ แต่เพิ่งเปิดตัวในรีเทลเมืองไทยไม่ครบ 3 ปีดี ทว่าความเคลื่อนไหวของเอิบกลับขยายตัวช้าลง ซึ่งบทเรียนครั้งนี้ รี่สรุปว่า “เพราะพื้นฐานสินค้ามันดีมาก การจะทำอะไรใหม่ๆ ให้ตื่นเต้นเร้าใจย่อมยากขึ้นโดยปริยาย ฉะนั้นปีหน้าเราคงต้องเตรียมตัวมากขึ้น ทางด้านครีเอทีฟที่ต้องลึกและกว้างขึ้น ร่วมกับแผนกิจกรรมการตลาดที่จริงจัง เพื่อรองรับกับ Erb Club ที่เพิ่งเปิดตัวปีนี้” นอกจากเกรย์และเอิบ รี่ยังเป็นคอลัมนิสต์ให้อิมเมจลงคอลัมน์ Trend Focus โดยแบ่ง 2 วันในวันธรรมดาเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเกรย์ฮาวด์ อีก 3 วันทำงานเป็นของเอิบ ซึ่งใน 5 วันนี้ เธอจะแวบไปเล่นโยคะ หาหมอ ออกงานสังคม ซื้อต้นไม้ ฯลฯ ส่วนเสาร์อาทิตย์เป็นวันพักผ่อนแบบที่เรียกว่า “เปื่อยอยู่กับบ้าน” เธอชอบเล่นกับสุนัขแสนรักทั้ง 4 ตัว ปลูกต้นไม้ ดูนก และสังสรรค์กับเพื่อนที่บ้านทุกวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวิธีชาร์จพลังที่ดีที่สุด รี่เคยตั้งเป้าเกษียณอายุการทำงานเมื่อครบ 40 ปี แต่แล้วเธอก็เลื่อนมาที่อายุ 45 ปี เพราะยังสนุกกับงานและการเผยตัวตนผ่านงานดีไซน์ โดยถ้าวันนั้นมาถึง เธอวางแผนจะกลับไปใช้คอมพิวเตอร์อีกครั้ง หลังจากที่วางมือจากเมาส์และแป้นมาร่วม 10 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอกลัวจะติดและกลัวจะต้องเสียชีวิตทางสังคมที่เธอแสนจะหวงแหน… ขณะที่ชีวิตข้างหนึ่งต้องวิ่งวุ่นตามกระแสแฟชั่น ซึ่งเธอเรียกว่า “โลกมายา” แต่อีกด้าน เธอเรียกหาความสงบทุกครั้งที่มีโอกาส เช่น สวดมนตร์เมื่อรถติด รอหมอมาตรวจ ฯลฯ เรียกว่าทุกครั้งที่อยู่กับตัวเอง เธอจะต้องขัดเกลาสติด้วยการสวดมนตร์ เพื่อใช้ความสงบและสติวิเคราะห์กระแสมายาเหล่านั้น และนำสติออกไปใช้เผชิญกับโลกภายนอก เพื่อจะได้ทำปัจจุบันตรงนั้นให้ดีที่สุด ซึ่งเป็นปรัชญาดำเนินชีวิตของเธอ ตะกอนความคิดที่รวมตัวเป็นผลึกแห่งประสบการณ์จากการใช้สติวิเคราะห์สิ่งต่างๆ รอบตัวผ่านมุมมองเวลา เหล่านี้ทำให้ตัวตนและจิตวิญญาณของรี่แข็งแกร่งและชัดเจนขึ้น จนเธอพร้อมที่จะผลักดันสิ่งที่อยู่ภายใน และสะท้อนความเป็นเธอออกมาเป็นศิลปะบนดีไซน์ของเกรย์และเอิบ “ทั้ง 2 แบรนด์พี่สร้างมา ถึงวันนี้พี่ก็ว่าพี่ชัดมาก” Profile Name : พัชทรี ภักดีบุตร Age : 38 ปี Education : ปริญญาตรีสาขาการตลาด จาก Richmond University, London ประเทศอังกฤษ Career Highlights : - ปัจจุบัน หัวหน้าทีมดีไซเนอร์แบรนด์ Greyhound และแบรนด์ Grey - MD บริษัท ปรมาลาภา จำกัด (เจ้าของแบรนด์ Erb) - กราฟิกดีไซเนอร์ บริษัท Leo Bernett จำกัด Family : สมรสแล้ว สามี อภิชัย ภักดีบุตร อาชีพผู้กำกับหนังโฆษณา